เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. นายทรงศัก สายเชื้อ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาการถือครองหรือครอบครองที่ดินและอสังหาริมทรัพย์โดยตัวแทนอำพรางของคนต่างด้าว หรือ “นอมินี” โดยระบุว่า สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน (สผผ.) กำลังเดินหน้าผลักดันกฎหมายเพื่อจัดการปัญหานี้อย่างจริงจัง ปัญหาดังกล่าวพบว่ากำลังแพร่กระจายไปแทบทุกประเภทธุรกิจ โดยเฉพาะตามแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ และมีแนวโน้มที่จะสร้างความเสียหายต่อระบบและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างมหาศาล
ลุยตรวจวิลล่าหรูเกาะสมุย พบใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัย แต่เปิดบริการห้องพัก VVIP คืนละ 5 หมื่น

ปัญหาการใช้ “นอมินี” นี้ ถูกตีแผ่โดยเดลินิวส์ กรณีทุนต่างชาติเข้ามาครอบครองที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เช่น อาคารวิลล่าหรูใน อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ในนามบริษัทนิติบุคคลสัญชาติไทย โดยพบว่ากลุ่มชาวต่างชาติเหล่านี้ มักนำวิลล่าหรูไปให้บริการห้องพักรายวันในราคาสูง ซึ่งเข้าข่ายการประกอบธุรกิจโรงแรมที่พักโดยไม่ได้รับอนุญาต และการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ต่อมา สผผ. ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนและดำเนินการเข้าตรวจสอบ จึงพบว่าปัญหาดังกล่าว ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่เกาะสมุย แต่ได้ขยายตัวไปในวงกว้าง
นายทรงศัก ชี้แจงว่า ต้นตอของปัญหาเกิดจากการที่ชาวต่างด้าวพยายามใช้ช่องว่างของ พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ปี 2542 ซึ่งเดิมมีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกและส่งเสริมการลงทุน ให้เป็นประโยชน์แก่ตนเอง ทำให้ประเทศชาติขาดรายได้ที่ควรจะได้รับ อย่างกรณีในเกาะสมุย การสืบสวนพบว่าชาวต่างชาติที่มาถือครองที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ในนามนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์เพื่ออยู่อาศัย แต่กลับนำไปปล่อยเช่าในลักษณะรายวัน มีการติดต่อจองห้องพักและจ่ายเงินตรงไปยังเจ้าของวิลล่า ทำให้เม็ดเงินเหล่านี้ไม่ได้เข้าสู่ระบบภาษีของประเทศไทย นอกจากนี้ มาตรการทางกฎหมายตาม พ.ร.บ. ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในปัจจุบัน ยังมีโทษเพียงเล็กน้อย ทำให้ผู้กระทำผิดไม่เกรงกลัว

เพื่อแก้ไขปัญหาระยะยาวให้เกิดความยั่งยืน สผผ. ได้ทำข้อเสนอแนะไปยังรัฐบาล ผ่านรัฐสภาและวุฒิสภา ให้มีการยกร่างพระราชบัญญัติตัวแทนอำพราง (นอมินี) โดยมีสาระสำคัญคือการเพิ่มบทลงโทษที่รุนแรงแก่ผู้กระทำผิด ทั้งชาวไทยและชาวต่างด้าว เช่น การ ยึดทรัพย์สิน ที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง ให้ตกเป็นของแผ่นดิน หากพิสูจน์ได้ว่าการได้มาซึ่งทรัพย์เหล่านั้นมาจากการกระทำผิด ส่วนมาตรการระยะสั้น คือการเร่งแก้ไขกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยให้รัฐบาลออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อจัดตั้งกลไกการทำงานระดับชาติ มีหน่วยงานหลักในการประสานงาน เช่น กรมพัฒนาธุรกิจการค้า หรือจัดตั้งหน่วยงานใหม่ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าด้วยกัน
นายทรงศัก ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า ในสัปดาห์หน้า ตนจะเข้าหารือกับอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพื่อวางแนวทางการทำงานในการทำข้อตกลงร่วมกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถบังคับใช้กฎหมายได้อย่างทันท่วงทีและปกป้องผลประโยชน์ของชาติ โดยจะนำ “สมุยโมเดล” ซึ่งเป็นการบูรณาการการบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่ อ.เกาะสมุย มาเป็นต้นแบบในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่อื่นๆ ด้วย.

———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.dailynews.co.th/news/4805564/&ct=ga&cd=CAIyHGRmMjMzNDMzN2E0NjM2ZDg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw1sMcJ4OnrZ6wOCypZn4hpQ