“รัฐเร่งงัดไม้ตาย ปิดจุดบอด กระตุ้นท่องเที่ยวไทย” – สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย

 “รัฐเร่งงัดไม้ตาย-ปิดจุดบอด-กระตุ้นท่องเที่ยวไทย”-–-สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
 “รัฐเร่งงัดไม้ตาย ปิดจุดบอด กระตุ้นท่องเที่ยวไทย” – สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย

  “มาตรการกระตุ้นท่องเที่ยว ถือเป็นท่าไม้ตายสุดท้าย ที่รัฐบาลควรจะทำในช่วงนี้ อย่างที่เรารู้กันว่าช่วงที่ผ่านมาทางสถานการณ์ท่องเที่ยว สถานการณ์เศรษฐกิจเจอภาวะช็อกมาหลายเรื่องมาฝีแตกอีกครั้ง คือ ช่วงสถานการณ์แพร่ะระบาดโควิด-19 จึงทำให้ภาพทุกอย่างรุนแรงขึ้น”

  “วสวัตติ์ โอดทวี ผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจประจำทำเนียบรัฐบาล ฐานเศรษฐกิจ” ให้มุมมอง “มาตรการรัฐ ฟื้นต่างชาติเชื่อมั่นท่องเที่ยวไทย” ใน “รายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว” ว่า 

“สังเกตได้ชัด หลายพื้นที่นักท่องเที่ยวบางตา” 

  วสวัตติ์ กล่าวว่า หากเดินทางไปสถานที่ท่องเที่ยวหลายๆ แห่ง จะรู้สึกได้ทันทีว่าช่วงนี้นักท่องเที่ยวบางตาลง  โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน เดิมทีจะเห็นกรุ๊ปทัวร์จีนในทุกที่โดยเฉพาะย่านใจกลางเมือง ถือเป็นกลุ่มใหญ่ รวมทั้งพื้นที่หลายจังหวัดพบว่านักท่องเที่ยวจีนลดลงจริงๆ สอดคล้องกับผลสำรวจสถิติปัจจุบัน 

.

“ททท. รวบรวมสถิตินักท่องเที่ยวไตรมาสแรก 68 จีนลดฮวบ”

  ข้อมูลล่าสุดที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ( ททท.) รวบรวมตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 – 20 พฤษภาคม 2568 ระบุ นักท่องเที่ยวต่างชาติทะลุ 13 ล้านคนไปแล้ว แต่หากไปดูในรายละเอียด จะพบว่านักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง 1% เกือบ 2% หลายๆ คนอาจมองว่า 1% น้อยไปหรือไม่ ซึ่งความจริงก็น้อยแต่ถือว่าไม่ปกติ เพราะปกตินักท่องเที่ยวต่างชาติ มักเดินทางเข้าประเทศไทยทุกเดือน เท่าที่เก็บสถิติมีตัวเลขเป็นบวกเสมอ  โดยกลุ่มประเทศที่ลดลงมากที่สุดอย่างรวดเร็ว คือ ประเทศจีนเพราะเป็นตลาดใหญ่ เดิมทีประเทศไทยในสถานการณ์ช่วงก่อนและหลังโควิด-19 มีการฟื้นตัวจากการท่องเที่ยว จากตลาดเอเชียรวมทั้งจีน ในสัดส่วนประมาณ 60% ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมด เป็นตลาดระยะใกล้ ส่วนตลาดระยะไกลคืออเมริกาและยุโรปมีสัดส่วน 40% 

.

“อดีตหนัง Lost in Thailand ดึงนทท. จีนอยากสัมผัสวัฒนธรรมเชียงใหม่ ตัวเลขพีค 11 ล้านคน”

  กว่าร้อยละ 60 หากดูข้างในจะเห็นว่า ประเทศจีนถือครองตลาดค่อนข้างสูง สัดส่วนประมาณ 28% – 29% ในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะช่วงปี 2012 ซึ่งมีหนังที่กำลังเป็นกระแสมากคือเรื่อง Lost in Thailand  ส่งผลให้มีกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยสูงมาก  มีจุดหมายปลายทางที่จังหวัดเชียงใหม่  โดยยอดสูงสุดของนักท่องเที่ยวจีนคือ 11,000,000 คนในช่วงปี 2562 แต่หลังจากนั้น เกิดเหตุโรคระบาดโควิด-19 ทำให้นักท่องเที่ยวจีนเริ่มลดลงเรื่อยๆ แม้ในช่วงที่ผ่านมาจะเพิ่มขึ้นมาบ้างแต่ยังไม่ถึงเป้าหมายที่วางไว้  เพราะตอนนี้ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนลดลงเหลือเพียงร้อยละ 10 เท่านั้น 

.

“นทท.จีนเที่ยวไทยลดลง เฉลี่ยต่อวันเกือบไม่ถึงหลักหมื่น”

  วสวัตติ์ บอกว่า แต่ละเดือนมีนักท่องเที่ยวจีน เดินทางเข้าไทยเฉลี่ยวันหนึ่งหลักหมื่น แต่ระยะหลังมานี้พบนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศไทยลดลงต่อวัน ไม่ถึง 10,000 คน  แม้ว่าจะเข้าสู่ในช่วงโลว์ซีซั่น โดยล่าสุดวันที่ 20 พฤษภาคม ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศไทยเพียง 8,500 คน ถือเป็นตัวเลขที่น่าตกใจ เพราะไทยยังต้องพึ่งพาจีนเป็นตลาดใหญ่  หากเดินทางออกไปสถานที่ท่องเที่ยวหลายๆ แห่ง จะรู้สึกได้ว่าช่วงนี้นักท่องเที่ยวบางตาลง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน เดิมทีเรามักเห็นทุกที่โดยเฉพาะย่านใจกลางเมือง รวมทั้งหลายพื้นที่ตามจังหวัดแหล่งท่องเที่ยวหัวเมืองก็ลดลงเช่นกัน สอดคล้องกับสถิติตัวเลขนักท่องเที่ยวในปัจจุบัน 

.

 “ไทยเข้าสู่ซุปเปอร์โลว์ซีซั่น-นทท.จีนแห่ไปญี่ปุ่น ไม่เข้าไทย”

  วสวัตติ์ กล่าวถึง สาเหตุที่ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงอย่างผิดปกติ ประเด็นแรก คือ เข้าสู่ช่วงโลว์ซีซั่น หรือซุปเปอร์โลว์ คือไม่ปกติจากหลายสาเหตุ บางคนอาจมองว่าเป็นจุดอิ่มตัวหรือไม่ ความจริงแล้วหากย้อนดูตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยวจีน ที่ออกนอกประเทศของเขาจำนวนไม่ลดลง โดยเฉพาะช่วงเทศกาลใหญ่ๆ เช่น ช่วงตรุษจีนพบมีการเดินทางออกเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ ไม่เลือกเดินทางมาเที่ยวประเทศไทย แต่เลือกเดินทางไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีนักท่องเที่ยวเพิ่มทวีคูณ

.

“ปมอุ้มหวัง ซิง ตอกย้ำ ไทยเป็นทางผ่านของอาชญากร”

ประเด็นที่ 2 กรณีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่อุ้ม “หวัง ซิง” ดาราจีนหายตัวไปจากชายแดนไทย บริเวณ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก โดยอ้างว่ามาเที่ยวเมืองไทยแล้วโดนจับไปที่ไหนสักแห่ง แม้ใครก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องที่เกิดในประเทศไทย แต่อยู่ในฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน แต่ก็กระทบภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทย  ที่ถูกมองว่าเป็นทางผ่านของอาชญากร  เมื่อเกิดเรื่องขึ้นรวมถึงการเผยแพร่ข่าวที่ตอกย้ำ ยิ่งสร้างความกังวลใจความไม่ปลอดภัยกับนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนที่จะเดินทางเข้าไทย

.

“แผ่นดินไหว ตึก สตง.ถล่ม-คนตายอื้อ สะท้อนความไม่ปลอดภัย”

  ประเด็นที่ 3  กรณีแผ่นดินไหว แม้จะเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติ แต่เหตุการณ์อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่มถือเป็นเคราะห์ซ้ำกำซัดต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทย เพราะมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ภาพที่ถูกนำเสนอเผยแพร่ผ่านสื่อต่างๆ และความเคลื่อนไหวในโลกโซเชียลอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงเรื่องของความไม่มั่นใจถึงความปลอดภัยในการเดินทาง เพราะสิ่งแรกที่นักท่องเที่ยวจะเดินทางไปต่างประเทศ คือ เรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก 

.

“จำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มอาเซียนลดลง” 

  วสวัตติ์ บอกว่า นอกจากนี้นักท่องเที่ยวกลุ่มประเทศอาเซียน มีจำนวนลดลงไม่ต่างกัน ทั้งที่เดิมทีเป็นตลาดหลักของไทย  ที่ต้องมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี แต่ปีนี้พบว่าตัวเลขล่าสุด นักท่องเที่ยวประเทศเวียดนามลดลง 15%  ลาวลดลง 14% กัมพูชา 13 % และมาเลเซียประมาณ 2% กว่าๆ สะท้อนการประเมินได้ว่าทั้งปี ตัวเลขที่รัฐบาลไทยบอกว่าอยากกระตุ้นตัวเลขนักท่องเที่ยวให้ได้ 35 ล้านคนกว่าๆ ถือว่าเป็นเรื่องท้าทายหรือไม่ เพราะแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยว่า 35% จะเป็นไปได้ขนาดไหนหากสถานการณ์บ้านเมืองยังเป็นเช่นนี้

.

“ระยะทาง-อัตราค่าเงิน ปัจจัยนทท.จีน เลือกท่องเที่ยว” 

  ทั้งนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับตลาดนักท่องเที่ยวจีนในประเทศไทย ช่วงที่ผ่านมาเรื่องของการท่องเที่ยวถือว่าเป็นกลไกหลัก ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ  ที่ผ่านมาประเทศไทยพึ่งพานักท่องเที่ยวจีนเป็นหลัก สิ่งแรกที่นักท่องเที่ยวจีนเลือกที่จะเดินทางไปเที่ยวคือ ตำแหน่งภูมิภาคอยู่ใกล้ๆ  สอดคล้องกับจำนวนตัวเลขนักท่องเที่ยวจีน ที่เดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นและเกาหลี อยู่ในอันดับต้นๆ นอกจากนี้เรื่องของค่าเงิน เพราะอัตราค่าเงินหยวนเมื่อเทียบกับประเทศท่องเที่ยวภูมิภาคใกล้ๆ คือ ญี่ปุ่นซึ่งมีค่าเงินเยนอ่อน การเดินทางไปท่องเที่ยวใกล้และถูกจีนจึงเลือกเดินทางไป

.

“ปัญหาซุกใต้พรมถูกตีแผ่  ส่งผลนักท่องเที่ยวชะงัก” 

  วสวัตติ์ บอกว่า  กรณีปัญหาที่ซุกใต้พรมพูดไม่ได้ แต่มีบางเรื่องหลุดออกมาคือ ความปลอดภัยการท่องเที่ยวในประเทศไทย  เช่น กรณีแท็กซี่บังคับเหมามิเตอร์ เปิดประตูบานแรกเจอปัญหาแท็กซี่โกงค่ามิเตอร์ คิดว่านักท่องเที่ยวยังรู้สึกสนุกกับการท่องเที่ยวต่อหรือไม่  หากเป็นช่วง 20 -30 ปีก่อน ที่ยังไม่มีโซเชียลแต่เป็นการบอกกันแบบปากต่อปากคงไม่เป็นไร แต่ยุคนี้โลกโซเชียลมีบทบาทกับภาพลักษณ์การท่องเที่ยวและทุกวงการ  เพราะเพียงโพสต์ทีเดียวก็กระจายข้อมูลไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว เมื่อคนเห็นก็กลายเป็นภาพจำ เกิดความวิตกกังวลความกลัว หากต้องตัดสินใจเดินทางมาเที่ยว  นอกจากนี้ภาพลักษณ์ของสถานที่ท่องเที่ยวไทยมักจะเจอพ่อค้า แม่ค้าหรือไกด์เถื่อน แม้ว่าที่ผ่านมารัฐบาลจะมีมาตรการดูแลปราบปรามค่อนข้างเยอะ แต่กลับเด็ดขาด จึงกลายเป็นปัญหาสะสมที่ยากจะแก้ไข แต่ปัจจุบันไม่ใช่ไทยประเทศเดียว เพราะปัญหาลักษณะนี้เกิดขึ้นทั่วโลกเช่นกัน

.

“รอดูตัวเลขปี 68 ททท.ตั้งเป้านักท่องเที่ยวเพิ่ม 6.7 ล้านคน”

  สำหรับปี 2568 ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ตั้งเป้าไว้ อยากผลักดันให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นให้ได้ 6.7 ล้านคน แต่ดูจากสถานการณ์แล้ว ถ้ายังวิกฤตเช่นนี้ ตัวเลขที่ตั้งไว้ 6.7 ล้านคน ถือว่าท้าทายอยู่ไม่น้อย  “การกระตุ้นท่องเที่ยวต้องเป็นท่าไม้ตายสุดท้าย ที่ควรจะทำในช่วงนี้ เรื่องการฟื้นการท่องเที่ยวอย่างเร่งด่วนนั้นพูดง่าย แต่การทำนั้นทำยากและต้องใช้เงิน อย่างที่เรารู้กันว่าช่วงที่ผ่านมาทางสถานการณ์ท่องเที่ยว สถานการณ์เศรษฐกิจเจอภาวะช็อกมาหลายเรื่องมาฝีแตกอีกทีก็ คือ ตอนโควิดทำให้ภาพทุกอย่างรุนแรงขึ้น” วสวัตติ์ กล่าว

.

“ฟื้นท่องเที่ยวมี 2 ขา ต้องลด-แลก-แจก-แถมจัดเต็มทุกอย่าง”

  วสวัตติ์ กล่าวถึง มาตรการฟื้นฟูภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของไทย มี 2 ขา คือ ในประเทศและต่างประเทศ กรณีต่างประเทศการฟื้ฟูนจำเป็นต้องใช้เงินค่อนข้างเยอะ  เพราะต้องจัดทำโครงการขึ้นมาเพื่อกระตุ้นตลาด ให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาบ้านเรา เป็นการลด-แลก-แจก-แถมจัดเต็มทุกอย่าง ซึ่งล่าสุดททท.พยายาม คิดโครงการที่จะช่วยฟื้นตลาดท่องเที่ยว โดยเฉพาะตลาดจีนซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลัก 

.

ททท.เตรียมชูโครงการ “สวัสดีหนีห่าว” 29 พ.ค.นี้ หวังเอาใจคนจีน-พร้อมเปิด จว.เมืองหลัก,เมืองรองเที่ยวได้”

ล่าสุด นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ประกาศเปิดตัวโครงการ“สวัสดีหนีห่าว” เอาใจนักท่องเที่ยวจีน  พร้อมดึงอินฟลูเอนเซอร์และกลุ่มทัวร์ ที่เป็นเอเจนซี่ต่างๆ ในจีนหลายๆ มณฑลเข้ามาดูประเทศไทย เพื่อให้เห็นภาพว่าเป็นอย่างไร  โดยงานดังกล่าวเตรียมเปิดตัววันที่ 29 พฤษภาคมนี้  พร้อมเชิญนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดงาน นอกจากนี้ยังมีมาตรการอื่นๆ เช่น เตรียมหารือกับสายการบินต่างๆ เพื่อเจาะตลาดในพื้นที่ รวมถงเพิ่มเที่ยวบินในเมืองหลัก-เมืองรอง และเมืองน่าเที่ยวต่างๆ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางสะดวก กลับเข้ามาเที่ยวไทยให้มากขึ้น  รวมถึงเตรียมหารือกับสำนักงานต่างประเทศช่วยเรื่องประชาสัมพันธ์ถึงการเดินทางท่องเที่ยวประเทศไทย ทั้งนี้ทางททท. พยายามคิดแคมเปญบอกว่าเป็น “ช่วงพรีซีซั่น” ประเทศไทยกำลังฝนตกพื้นที่เขียวชะอุ่มและท่องเที่ยวได้หลายฤดู

.

“ตลาดในประเทศเตรียมฟื้น เที่ยวไทยคนละครึ่ง- จ่อเสนอโครงการสัปดาห์หน้า”

  ส่วนมาตรการกระตุ้นตลาดการท่องเที่ยวในประเทศ ททท.พยายามชงประเด็น ขอเอี่ยวงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ขณะนี้งบกลางค้างอยู่มากกว่า 157,000 ล้านบาท  เพื่อขอดึงงบก้อนนี้มาเป็นบูสเตอร์ช็อป คือฉีดกระตุ้นขึ้นมา โดยวางวงเงินของบประมาณ 3,100 – 3,500 ล้านบาท  เพื่อนำมากระตุ้นในประเทศ และอีกโครงการที่จะฟื้นขึ้นมา โดยเบื้องต้นชื่อโครงการยังไม่ชัดเจน แต่คาดว่าจะใช้ชื่อว่า “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” เพราะติดหูติดตลาดแล้ว  ทั้งนี้จะเดินหน้าเรื่องกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ ให้สิทธิ์รับส่วนลดสำหรับผู้ที่เข้าไปจองใช้สิทธิ์ เป็นส่วนสนับสนุนจากรัฐบาล ตั้งแต่ 10% – 50% รวมประมาณ 1,000,000 สิทธิ์ โดยอยู่ระหว่างเตรียมเสนอกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง  และคณะกรรมการกลั่นกรองกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งคาดว่าจะมีการเสนอภายในสัปดาห์นี้

.

“ท่องเที่ยวเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ควบคู่ส่งออก”

  “การทำตลาดร่วมในพื้นที่ เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างๆ เพื่อดึงให้คนท่องเที่ยวภายในประเทศมากขึ้น ถือเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยประคับประคอง ให้การท่องเที่ยวไม่ดิ่งไปจนถึงเกิดภาวะวิกฤต เพราะการท่องเที่ยวกลายเป็นเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการส่งออกของประเทศไปแล้ว เพราะหากดูการส่งออกผสมกับการท่องเที่ยว กินสัดส่วนผสมในจีดีพีประมาณ 70% ซึ่งนักท่องเที่ยวมีสัดส่วนจีดีพีอยู่ที่ประมาณ 17 ถึง 18% ดังนั้นทุกคนต้องช่วยกันลุ้นการท่องเที่ยวในช่วงปลายปีนี้ ว่าจะสามารถกระตุ้นให้ฟื้นตัวกลับมาได้หรือไม่และมาตรการต่างๆ ที่ออกมาแล้วใครจะได้ใช้บ้าง เชื่อว่าเร็วๆนี้จะได้ข้อสรุป” วสวัตติ์ กล่าว

.

“ภาคเอกชนชี้ รัฐกระตุ้นให้ตรงจุด ลดงบประมาณละลายแม่น้ำ”

  วสวัตติ์ บอกว่า  ข้อเสนอของภาคเอกชนที่รวบรวมได้มีหลายเรื่อง หากกระตุ้นให้ตรงจุดถือว่าไม่ใช่การเอางบประมาณไปละลายแม่น้ำ โดยที่ผ่านมามีภาคเอกชนเสนอมาตรการหลายเรื่องที่น่าสนใจ เช่น สนับสนุนธุรกิจโรงแรม เพราะถือว่าเป็นธุรกิจที่สำคัญ และอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว เพราะการเข้ามาในประเทศและการออกเดินทางนอกประเทศ ต้องสร้างความประทับใจตั้งแต่หน้าด่าน รวมถึงการสร้างความสะดวกสบายให้กับนักท่องเที่ยว ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ซึ่งหลายประเทศก็ยึดหลักนี้ในการมัดใจนักท่องเที่ยวเช่นกัน

.

“รอดูเอกชน เสนอ ความเห็นรัฐ-ททท.ตอกย้ำ ท่องเที่ยวไทยต้องสะดวก-สบาย”

  “ททท. ย้ำมาตลอดเรื่องการสร้างการท่องเที่ยวอย่างสะดวกสบาย เช่น เดินทางเข้าสบายไม่รอนาน มีขั้นตอนที่เป็นมิตรกับนักท่องเที่ยว ตรงนี้น่าจะเป็นสิ่งที่สำคัญมาก รวมทั้งเรื่องการสร้างความเชื่อมั่น แม้ต้องใช้เวลาในการกอบกู้ภาพลักษณ์ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เกินความสามารถ นอกจากนี้เรื่องของความปลอดภัย ประเทศไทยต้องสร้างภาพลักษณ์ที่สร้างความมั่นใจกลับมา  แม้จะไม่เทียบเท่ากับญี่ปุ่น แต่ก็ควรดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่  โดยเชื่อว่าอย่างน้อยนักท่องเที่ยวก็จะตัดสินใจเดินทางมาประเทศไทย เพราะมีอีกหลายอย่างที่สนองความต้องการของนักท่องเที่ยวได้ทุกกลุ่ม อาจจะไม่ใช่แค่เรื่องของสีสัน แต่เรื่องของประเพณีและแบรนด์ต่างๆ ที่จะช่วยเรื่องการท่องเที่ยวช่วงปลายปีได้ ซึ่งหากเอกชนจะเสนอรัฐบาลก็ต้องรอดูทิศทางอีกครั้งว่าาจะออกมาอย่างไร”     วสวัตติ์ กล่าวปิดท้าย

ติดตาม “รายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว” ทุกวันอาทิตย์ เวลา 11.00-12.00 น.โดย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และคลื่นข่าว MCOT News FM 100.5 

———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://tja.or.th/view/activities/radio-tja/1454741&ct=ga&cd=CAIyHGRmMjMzNDMzN2E0NjM2ZDg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw2uiN8RZZH8w-HJtiVfV4mL

Related Post

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *