23 พ.ค. 2025 เวลา 8:00 น.
ความเป็น ‘ดินแดนในฝัน’ ของอเมริกา ที่แม้จะไม่ได้อยู่ก็ขอให้ได้มาเที่ยวสักครั้ง กำลังสั่นคลอนอย่างหนัก นโยบายทรัมป์ทำหลายประเทศมองสหรัฐ ‘ไม่ต้อนรับคนต่างชาติ’ คาดฉุดการท่องเที่ยวอเมริกาปีนี้วูบกว่า 1.25 หมื่นล้านดอลลาร์
ความเป็น ‘ดินแดนในฝัน’ ของอเมริกา ที่แม้จะไม่ได้อยู่ก็ขอให้ได้มาเที่ยวสักครั้ง กำลังสั่นคลอนอย่างหนัก นโยบายทรัมป์ทำหลายประเทศมองสหรัฐ ‘ไม่ต้อนรับคนต่างชาติ’ คาดฉุดการท่องเที่ยวอเมริกาปีนี้วูบกว่า 1.25 หมื่นล้านดอลลาร์
บลูมเบิร์กเผยสหรัฐกำลังจะเจอกับปีแห่งการท่องเที่ยวที่ย่ำแย่หนักข้อมูลล่าสุดของสภาการเดินทางและการท่องเที่ยวโลก (WTTC) ระบุว่า สหรัฐอาจสูญรายได้จากการท่องเที่ยว 1.25 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2568 และคาดว่าการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวอาจลดลงต่ำกว่า 1.69 แสนล้านดอลลาร์ภายในสิ้นปีนี้
ตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวลดลง 7% เมื่อเทียบแบบปีต่อปี และร่วงลงมากถึง 22% นับตั้งแต่การท่องเที่ยวในสหรัฐแตะระดับสูงสุดในปี 2562
สถานการณ์นี้ทำให้สหรัฐอยู่ในสถานะที่แตกต่างจากประเทศอื่นอย่างเห็นได้ชัด จากเขตเศรษฐกิจ 184 แห่งทั่วโลกที่ WTTC วิเคราะห์ร่วมกับออกฟอร์ด อีโคโนมิกซ์ พบว่า สหรัฐเป็นเพียงเขตเศรษฐกิจเดียวที่คาดว่าจะสูญเสียรายได้จากการท่องเที่ยวในปีนี้
จูเลีย ซิมป์สัน ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) WTTC กล่าว “ประเทศอื่นๆ กำลังปูพรมต้อนรับกันอย่างพร้อมเพรียง และดูเหมือนว่าสหรัฐกำลังติดป้าย ”ปิดแล้ว” ที่หน้าประตูบ้านพวกเขา”
ซิมป์สันเตือนด้วยว่า ผลที่ตามมาอาจร้ายแรงมาก โดยอ้างอิงข้อมูลจาก WTTC และออกซ์ฟอร์ด อีโคโนมิกซ์ ระบุว่า ภาคการเดินทางและการท่องเที่ยวของสหรัฐเป็นภาคส่วนที่ใหญที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในระดับโลก ซึ่งมีมูลค่าสูงเกือบ 2.6 ล้านล้านดอลลาร์ และการท่องเที่ยวทั้งทางตรงและทางอ้อมคิดเป็นสัดส่วน 9% ของเศรษฐกิจอเมริกา
อนึ่ง การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวถือเป็นส่วนหนึ่งของรายได้โดยตรงจากการท่องเที่ยว ขณะที่รายได้ทางอ้อมคือผลกระทบที่ส่งผลให้คนทำงานในธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยวสามารถใช้จ่ายได้มากขึ้น
ภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของสหรัฐมีการจ้างงาน 20 ล้านตำแหน่ง และสร้างรายได้ภาษีให้กับรัฐบาลสหรัฐ 5.85 แสนล้านดอลลาร์ในแต่ละปี หรือราว 7% ของรายได้ภาษีทั้งหมดที่รัฐบาลได้รับ ซึ่งซิมป์สันย้ำว่า รายได้ดังกล่าวถือเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจสหรัฐเลยก็ว่าได้
‘อเมริกามาก่อน’ พาลงเหว
ด้วยอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของสหรัฐที่เผชิญกับปัญหามาหลายปี ซิมป์สันเตือนว่า การเปลี่ยนแปลงทัศนคติของผู้คนเป็นอีกปัจจัยที่เปลี่ยนรอยร้าวในเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของอเมริกาให้กลายเป็นหุบเหวลึก
ข้อมูลการเดินทางระหว่างประเทศของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ ระบุว่า นักท่องเที่ยวได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากนโยบายและวาทะ “อเมริกาต้องมาก่อน” ของรัฐบาลสหรัฐชุดปัจจุบัน
“สิ่งที่เรากำลังเห็นอยู่ตอนนี้คือการเปลี่ยนแปลงทางความรู้สึก ซึ่งน่าเศร้ามาก” ซิมป์สันกล่าว และเสริมว่า “ผู้บัญญัติกฎหมายไม่ควรสับสนหรือมองว่าการท่องเที่ยวกับปัญหาการอพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายเป็นเรื่องเดียวกัน ระบบที่ซับซ้อนสามารถสร้างสมดุลระหว่างทั้งสองเรื่องนี้ได้ โดยไม่ทำให้ (ประเทศ) กลายเป็นเกาะที่ไม่มีใครอยากไปเยือน”
จากข้อมูลล่าสุดในเดือนมี.ค.2568 พบว่า จำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มที่เดินทางมามากที่สุดในสหรัฐลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยจำนวนนักท่องเที่ยวจากสหราชอาณาจักรลดลง 15% เมื่อเทียบเป็นรายปีเยอรมนีลดลง 28% เกาหลีใต้ลดลง 15% และตลาดนักท่องเที่ยวที่สำคัญอื่นๆ ทั้งถึงสเปน ไอร์แลนด์ และสาธารณรัฐโดมินิกัน ก็ลดลง 24-33%
ประตูสู่สหรัฐจ่อซบเซา
รายได้ที่ลดลงจะไม่ส่งผลกระทบต่อทุกพื้นที่ในสหรัฐเท่าๆ กัน แต่จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อเมืองหลักที่เป็นประตูเข้าสู่สหรัฐ (major US gateways) และพื้นที่ท่องเที่ยวตามแนวชายแดนแคนาดาเช่น นครนิวยอร์กอันกว้างใหญ่
เมื่อวันที่ 8 พ.ค.หน่วยงานการท่องเที่ยวของนิวยอร์กได้ปรับลดคาดการณ์เชิงบวกในปี 2568 ซึ่งเป็นปีที่เคยคาดว่าจะฟื้นตัวจากผลกระทบของโรคระบาดโควิด-19ได้เต็มที่ที่สุด
หน่วยงานท่องเที่ยวคาดการณ์ว่า นักท่องเที่ยวโดยรวมอาจมาเยือนลดลง 400,000 คน และการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวอาจลดลง 4 พันล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับปี 2567
แม้นิวยอร์กคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวมาเยือนทั้งหมด 64 ล้านคนในปีนี้ และคาดว่านักท่องเที่ยวในประเทศจะเพิ่มขึ้น 400,000 คน แต่ก็คาดนักท่องเที่ยวต่างชาติอาจลดลง 800,000 คน ซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่จะมาเยี่ยมชม 5 เขตสำคัญของเมือง
อย่างไรก็ดี นิวยอร์กยังคงมองบวกว่านักท่องเที่ยวต่างชาติอาจพักผ่อนนานขึ้นและใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งในปี 2024 นักท่องเที่ยวต่างชาติสร้างรายได้ให้กับเมืองราวครึ่งหนึ่งของรายได้ 51,000 ล้านดอลลาร์ที่เมืองนี้ได้รับจากการท่องเที่ยว
เคธี โฮชุล ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กเผยว่า ตัวเลขที่ตกต่ำนี้ขยายวงไปยังภูมิภาคทางเหนือของรัฐด้วย โดยธุรกิจท่องเที่ยวประมาณ 66% ใน “พื้นที่ตอนเหนือ” ของนิวยอร์ก ซึ่งใกล้กับกรุงออตตาวาและเมืองมอนทรีออล ในแคนาดา มียอดจองจากชาวแคนาดา “ลดลงอย่างมาก” ในปีนี้
ตามรายงานข่าวเผยแพร่เมื่อวันที่ 29 เม.ย. โฮชุลระบุว่า ตัวเลขดังกล่าว ได้รับผลกระทบมาจากคำปราศรัยของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เกี่ยวกับความต้องการให้แคนาดามาเป็น “รัฐที่ 51” ของประเทศ และได้รับผลกระทบจากนโยบายด้านภาษีศุลกากร ซึ่งธุรกิจในพื้นที่ตอนเหนือราว 26% ได้ปรับลดพนักงานแล้ว เพื่อตอบสนองต่อการท่องเที่ยวที่ซบเซาลง
ต้องรอเวลาฟื้นตัวอีกหลายปี
ความเสียหายด้านการท่องเที่ยวถือว่าร้ายแรงมาก ขณะนี้ WTTC คาดการณ์ว่า การท่องเที่ยวของสหรัฐอาจต้องใช้เวลานานอย่างน้อยจนถึงปี 2573 จึงจะสามารถฟื้นตัวกลับมาอยู่ในระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดโควิดได้ หากสถานการณ์ไม่เลวร้ายลงไปกว่านี้
ซิมป์สันกล่าวว่า ผู้คนในอุตสาหกรรมยังได้ทราบถึงกฎหมายหนึ่งที่มีการเสนอขึ้น ซึ่งจะทำให้ค่าใช้จ่ายในการขออนุญาตเดินทางทางอิเล็กทรอนิกส์ (ESTA) ของสหรัฐเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นระบบที่มีความจำเป็นสำหรับนักท่องเที่ยวจากประเทศที่เข้าร่วมโครงการยกเว้นวีซ่าที่กำลังวางแผนเดินทางไปสหรัฐ
ปัจจุบันระบบดังกล่าวมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 21 ดอลลาร์ต่อคน (ราว 700 บาท) แต่อาจปรับเพิ่มขึ้นเป็น 40 ดอลลาร์ต่อคน (ราว 1,330 บาท) หากมีการนำกฎหมายนี้มาใช้
“สิ่งสำคัญของการท่องเที่ยวคือ มันมีความยืดหยุ่นมาก” เธอกล่าว “หากคุณกดปุ่มที่ถูกต้อง มันก็จะดีดตัวกลับ แต่การเพิ่มต้นทุนต่อ ESTA จะยิ่งทำให้ผู้คนไม่กล้าเสี่ยงมากขึ้น” ซิมป์สันเตือน
เรื่องนี้เป็นค่าใช้จ่ายที่สหรัฐหาอะไรมาชดเชยได้ยาก ตอนนี้ 90% ของเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในสหรัฐมาจากการเดินทางภายในประเทศ หรือจากการที่คนอเมริกันเที่ยวใน 50 รัฐ ซึ่งยังคงทำให้ภาคการท่องเที่ยวเติบโตได้ยาก
ซิมป์สันเสริมอีกว่า ขณะเดียวกันประเทศอื่นๆ ทุกประเทศต่างพยายามดึงดูดให้ผู้คนเดินทางไปเยือนได้ง่ายขึ้นด้วยการให้สิทธิประโยชน์ใหม่ๆ เช่น วีซ่าดิจิทัล
“อินเดียกำลังได้รับความนิยม ตะวันออกกลางกำลังได้รับความนิยม จีนกำลังได้รับความนิยม ยุโรปกำลังไปได้สวย” ซิมป์สันกล่าว “มีแต่ชาวอเมริกันเท่านั้นที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังและต้องสูญเสีย”
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.bangkokbiznews.com/world/1181540&ct=ga&cd=CAIyHGRmMjMzNDMzN2E0NjM2ZDg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw32vdF2IJVi5Ty38hHuPsTo