ส.อ.ท. ห่วงผลกระทบภาษีสหรัฐฯ ชี้ผู้ประกอบการต้องปรับตัว เร่งหาตลาดใหม่ พร้อมจับตาแนวโน้มเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง ลุ้น ‘จีน’ กู้ท่องเที่ยว”
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ให้ความเห็นถึงประเด็นการเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ว่า ส.อ.ท. ได้ติดตามสถานการณ์การเจรจาเรื่องภาษีนำเข้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด โดยขณะนี้เหลือเวลาอีกไม่ถึง 40 วันที่ไทยจะต้องเร่งเจรจาต่อรอง หลังจากที่สหรัฐฯ ได้ขยายเวลาการบังคับใช้มาตรการดังกล่าวออกไป 90 วัน
ส.อ.ท. ประเมินว่า หากสหรัฐฯ คงอัตราภาษีที่ 10% การส่งออกของไทยจะเติบโต 0.3-0.9% และ GDP อยู่ที่ 1.4-1.9%
แต่หากสถานการณ์เลวร้ายที่สุด สหรัฐเก็บภาษี 36% การส่งออกอาจติดลบถึง 2% และ GDP อาจต่ำกว่า 1%
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ขณะนี้ยังมีความผันผวน เนื่องจากมีผู้นำเข้ารายใหญ่ของสหรัฐฯ ยื่นต่อศาลโต้แย้งคำสั่งเก็บภาษีดังกล่าว ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าการเก็บภาษีไม่ถูกต้อง แต่ต่อมาศาลอุทธรณ์ได้สั่งให้คงการเก็บภาษีไว้ก่อน ทำให้สถานการณ์ยังไม่แน่นอน
การคาดการณ์เศรษฐกิจจำเป็นต้องประเมินอีกครั้ง หลังทราบผลการเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐฯ รวมถึงการเปรียบเทียบผลการเจรจาของสหรัฐฯ กับประเทศคู่แข่งของไทยในภูมิภาค เช่น เวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย
สำหรับการรับมือของผู้ประกอบการไทย นายเกรียงไกรแนะนำว่า ภาคเอกชน โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรม ได้มีการปรับตัวและเห็นสัญญาณการเติบโตของการส่งออกในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือผู้ประกอบการต้องเตรียมความพร้อมรับมือกับกฎระเบียบใหม่ที่อาจเกิดขึ้น และที่สำคัญที่สุดคือการเร่งหาตลาดใหม่เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ ขณะที่ภาครัฐเองต้องใช้นโยบายซื้อของไทย ใช้ของไทย จากผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SME เพื่อให้ธุรกิจของคนไทยอยู่รอด
ส.อ.ท. ได้ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ในการประชุมกับทูตการค้าทั่วโลก เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและโอกาสในตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น ตะวันออกกลาง ลาตินอเมริกา อินเดีย และเอเชียใต้ สิ่งที่ภาคเอกชนต้องการจากภาครัฐคือการบูรณาการข้อมูลด้านการตลาดจากทูตพาณิชย์ทั่วโลกแบบ Real-time เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถปรับกลยุทธ์ได้อย่างทันท่วงที รวมถึงการร่วมมือกันในการเจาะตลาดใหม่ๆ
นอกจากนี้นายเกรียงไกร ยังกล่าวถึงแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังว่า จะขึ้นอยู่กับผลการเจรจาเรื่องภาษีกับสหรัฐฯ เป็นสำคัญ โดย ส.อ.ท. มองสถานการณ์ออกเป็น 2-3 ฉากทัศน์ หากไทยสามารถเจรจาต่อรองลดภาษีจาก 36% เหลือ 10% ได้ เศรษฐกิจไทยก็จะยังสามารถเติบโตได้ แต่หากลดได้ไม่มาก หรือประเทศคู่แข่งลดได้มากกว่าไทย ก็อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยอย่างมาก
ขณะที่สถานการณ์การท่องเที่ยวก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตา โดยเฉพาะจำนวนนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักในปีนี้ แต่ในช่วง 4 เดือนแรกกลับลดลงเกือบ 30% เนื่องจากข่าวลือด้านลบและความไม่ปลอดภัยในประเทศไทย
เป็นหน้าที่ของผู้ที่เกี่ยวข้องที่จะต้องเร่งแก้ไขปัญหา สร้างความเข้าใจและประชาสัมพันธ์ให้ทั่วถึง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวจีน หากนักท่องเที่ยวจีนกลับมาได้ตามเป้าหมาย จะเป็นปัจจัยบวกต่อ GDP ของไทย
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่นักท่องเที่ยวจีนลดลง นักท่องเที่ยวจากยุโรป ตะวันออกกลาง และโดยเฉพาะอิสราเอล กลับเข้ามาทดแทนมากขึ้น และมีกำลังซื้อสูง ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีต่อภาคการท่องเที่ยวไทยในช่วงนี้
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.posttoday.com/smart-sme/724831&ct=ga&cd=CAIyHGRmMjMzNDMzN2E0NjM2ZDg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw3zzL_PCKKELu0JICr2hGhe