- หน้าแรก
- เศรษฐกิจ
วิกฤติศรัทธา ‘แท็กซี่ไทย’ ทำนักท่องเที่ยวหนี !

“มาสเตอร์การ์ด” ระบุว่ากรุงเทพฯ เป็นหนึ่งในสี่เมืองที่นักท่องเที่ยวถูกฉ้อโกงมากที่สุด โดย 48% เกิดจากแท็กซี่และรถเช่า ปัญหาแท็กซี่ไม่กดมิเตอร์ส่งผลให้นักท่องเที่ยวจีนหันไปต่างประเทศ เช่น เวียดนามแทน กระทบเม็ดเงินจากภาคการท่องเที่ยวหนัก
“มาสเตอร์การ์ด” ระบุว่ากรุงเทพฯ เป็นหนึ่งในสี่เมืองที่นักท่องเที่ยวถูกฉ้อโกงมากที่สุด โดย 48% เกิดจากแท็กซี่และรถเช่า ปัญหาแท็กซี่ไม่กดมิเตอร์ส่งผลให้นักท่องเที่ยวจีนหันไปต่างประเทศ เช่น เวียดนามแทน กระทบเม็ดเงินจากภาคการท่องเที่ยวหนัก
การท่องเที่ยวถือเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทยตลาดหลายทศวรรษที่ผ่านมา แต่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นต้นมาทั้งตัวเลขและเม็ดเงินจากภาคการท่องเที่ยวก็ยังไม่กลับมาเท่าเดิม เปรียบเทียบง่ายๆ คือในปี 2561 ก่อนการแพร่ระบาดเม็ดเงินจากภาคการท่องเที่ยวอยู่ที่ 2 ล้านล้านบาท แต่ในปีที่แล้วภาคการท่องเที่ยวสร้างเม็ดเงินให้เศรษฐกิจอยู่ที่ 1.67 ล้านล้านบาท
หนึ่งปัจจัยสำคัญที่กดดันภาคการท่องเที่ยวของประเทศไทยคือรายงานล่าสุดจากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจของมาสเตอร์การ์ด ชี้ว่า กรุงเทพฯ เป็นหนึ่งในสี่เมืองที่นักท่องเที่ยวถูกฉ้อโกงมากที่สุด โดย 48% ของการฉ้อโกงเกิดจากแท็กซี่และรถเช่า รองลงมาคือร้านอาหาร ปัญหาการฉ้อโกงนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากแท็กซี่ที่ปฏิเสธการกดมิเตอร์ ได้สร้างวิกฤตความเชื่อมั่นและส่งผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรมต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะตลาดใหญ่อย่างนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับฐานราก
นายอดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” เมื่อวันที่ 22 พ.ค. ว่า ปัญหาแท็กซี่ไม่กดมิเตอร์ไม่ใช่เรื่องใหม่ โดยย้อนกลับไปเมื่อมีการนำระบบแท็กซี่มิเตอร์มาใช้ในช่วงปี 2535 นั้นได้รับการตอบรับอย่างดี เพราะรถใหม่และมีมาตรฐาน แต่ในช่วง 10 ปีหลัง ปัญหาก็เริ่มหนักขึ้น สมาชิกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวที่ดูแลลูกค้าต่างชาติ โดยเฉพาะตลาดอาหรับ มักได้รับคำร้องเรียนว่าแท็กซี่ไม่ยอมกดมิเตอร์ หรือเรียกเก็บเงินเพิ่มกลางทาง ปัญหานี้สั่งสมมานาน และเป็นที่รับรู้ในวงกว้าง จนปรากฏเป็นข้อมูลแรกๆ เกี่ยวกับความเสี่ยงด้านการท่องเที่ยวไทยเมื่อค้นหาในแพลตฟอร์มต่างๆ รวมถึง ChatGPT
“เหตุผลเบื้องหลังของปัญหานี้ถูกมองว่าเกิดจากการบังคับใช้กฎหมายที่ขาดประสิทธิภาพ และวัฒนธรรมการเอาอย่าง ผู้ที่ทำผิดกฎแต่สามารถต่อรองราคาและมีรายได้มากกว่ากลับไม่ถูกลงโทษอย่างจริงจัง ในขณะที่ผู้ที่พยายามรักษามาตรฐานกลับลำบาก ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้หลายคนพยายามหารายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นหลัก นักท่องเที่ยวต่างชาติกลายเป็นช่องโหว่ เพราะส่วนใหญ่มาเที่ยวเพียงไม่กี่วัน ไม่สะดวกที่จะเสียเวลาฟ้องร้องหรือดำเนินการทางกฎหมาย”
สัดส่วนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาประเทศไทย
นายอดิษฐ์กล่าวต่อว่า วิกฤตความเชื่อมั่นในแท็กซี่มิเตอร์สาธารณะนี้ได้นำไปสู่การหันไปใช้บริการทางเลือกอื่นๆ โดยเฉพาะแอปพลิเคชันเรียกอย่าง Grab แม้บริการผ่านแอปอาจมีราคาสูงกว่า แต่ผู้โดยสารยอมจ่ายเพราะให้ความเชื่อมั่นมากกว่าในด้านราคาที่มาตรฐาน การเลือกประเภทรถ และมาตรฐานการบริการที่ดีกว่า ซึ่งมักมาจากเจ้าของรถที่ให้บริการเอง ความสะดวกสบายในการเรียกใช้บริการผ่านแอปโดยไม่ต้องยืนรอข้างถนนก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ
ผลกระทบที่เป็นรูปธรรมของปัญหานี้คือการลดลงของนักท่องเที่ยวบางกลุ่ม โดยเฉพาะตลาดจีน แม้สาเหตุหลักที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนไม่มาไทยอาจมาจากประเด็นความไม่ปลอดภัยที่ใหญ่กว่า เช่น คอลเซ็นเตอร์ หรือการลักพาตัว แต่กระแสเชิงลบเกี่ยวกับปัญหาแท็กซี่ที่ไม่กดมิเตอร์และประเด็นการฉ้อโกงอื่นๆ ก็ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของประเทศโดยรวม ปัญหาแท็กซี่ยังคงเป็นคอมเมนต์เชิงลบอันดับต้นๆ บนโซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มรีวิวการท่องเที่ยวต่างๆ ในหลายภาษา ซึ่งข้อมูลเหล่านี้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มตลาด Chinese Speaking เช่น ฮ่องกง ไต้หวัน มาเลเซีย สิงคโปร์ ทำให้เกิดทัศนคติเชิงลบต่อประเทศไทย
นายอดิษฐ์อธิบายว่า การที่นักท่องเที่ยวจีนจำนวนมากลดลงส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจฐานราก แม้รายได้จากการท่องเที่ยวโดยรวมอาจไม่ลดลงมากนัก เพราะนักท่องเที่ยวกลุ่มยุโรปหรืออาหรับมีการใช้จ่ายสูงขึ้น แต่การใช้จ่ายของกลุ่มนี้ไม่ได้กระจายลงสู่ระดับล่างเหมือนนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งมีการใช้จ่ายกับการกินดื่มจำนวนมาก ส่งผลให้ร้านอาหารริมทาง เยาวราช หรือตลาดสดที่เคยคึกคักกลับซบเซา นี่คือผลกระทบที่เห็นได้ชัดเจนจากความไม่เชื่อมั่น
เมื่อเปรียบเทียบกับเวียดนาม แม้รายงานจากสถาบันวิจัยเศรษฐกิจจากมาสเตอร์การ์ดจะระบุว่าเวียดนามมีการฉ้อโกงสูงกว่าไทยคืออยู่ในอันดับที่ 2 แต่นายอดิษฐ์แสดงความคิดเห็นว่า สิ่งที่แตกต่างคือ เวียดนามไม่มีกระแสเชิงลบแพร่กระจายบนโซเชียลมีเดียในตลาดเป้าหมายอย่างจีนเท่าประเทศไทย นักท่องเที่ยวจีนจึงมองว่าเวียดนามมีความพร้อม ความสดใหม่ ปลอดภัยกว่า (ในแง่ของการรับรู้จากข่าวสาร) และมีต้นทุนการท่องเที่ยวที่ถูกกว่า ทำให้เวียดนามสามารถดึงฐานตลาดจีนไปได้
เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว มองว่าปัญหานี้เป็นเรื่องน่ากังวล และเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งดำเนินการแก้ไข โดยเน้นที่การบริหารจัดการและการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งบางประเด็นสามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้งบประมาณ ยกตัวอย่างเช่น การเร่งบังคับใช้กฎหมายและมีบทลงโทษที่จริงจังสำหรับผู้ทำผิด หรือพิจารณาปรับโครงสร้างค่าบริการแท็กซี่ให้สอดคล้องกับค่าครองชีพ เพื่อให้คนขับมีรายได้ที่เหมาะสมและสามารถลงทุนในการปรับปรุงคุณภาพบริการและตัวรถได้ รวมถึงการกำหนดมาตรฐานและราคาตามประเภทของรถ
นายพงศ์พล นิสยันท์ นักศึกษาฝึกงานของกรุงเทพธุรกิจมีส่วนช่วยในการหาข้อมูลในการจัดทำบทวิเคราะห์ชิ้นนี้
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1181630&ct=ga&cd=CAIyHGRmMjMzNDMzN2E0NjM2ZDg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw3wDyukJY8F_Hv7Tja0W9O1