รัฐบาลอธิบายละเอียดยิบ เหตุผลเดินหน้า “เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์” พร้อมชี้เป็นโอกาสดึงเม็ดเงินจากการท่องเที่ยวมหาศาลได้ทั้งปี
วันที่ 4 มิ.ย. 2568 นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และนายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ร่วมกันแถลงภาพรวมโครงการ “Thailand Entertainment Complex : มหานครแห่งประสบการณ์ระดับโลก เพื่อคนไทยทุกคน” โดยชี้ให้เห็นถึงโอกาสของการท่องเที่ยวไทยและอธิบายถึงเหตุผลว่า ทำไมรัฐบาลต้องทำเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์
นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ตัวเลขนักท่องเที่ยวตลอด 15 ปีของไทย โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2010 ว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยติดอันดับโลกประเทศที่มีนักท่องเที่ยวเข้าประเทศมาโดยตลอด ถึงแม้ช่วงโควิดนักท่องเที่ยวจะหายไปบ้าง แต่ช่วงปี 2023-2024 ก็ทำสถิติกลับมาติด 10 อันดับโลกใหม่ได้ แต่ถึงจำนวนนักท่องเที่ยวจะมีมาก แต่รายได้ต่อหัวที่เข้ามาใช้จ่ายในประเทศกลับไม่เพิ่ม เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งกับดักการท่องเที่ยวของประเทศไทย จึงถึงเวลาที่ต้องสร้างโอกาสครั้งใหม่ พัฒนาการท่องเที่ยวที่ทำให้รายได้ต่อหัวนักท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้น

ทางด้าน นายศึกษิษฏ์ กล่าวว่า เพื่อเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว รัฐบาลเดินหน้าการท่องเที่ยวด้วยการวางเป้าหมายใหม่ๆ กำหนดยุทธศาสตร์ใหญ่ที่จะทำการท่องเที่ยวแบบไม่รอฤดูกาล และเน้นการท่องเที่ยวที่สร้างขึ้นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นแผนงานการดึงอีเวนต์ระดับโลกเข้ามาในประเทศ เช่น F1 วิจิตรเจ้าพระยา มหาสงกรานต์ Splash FIVB Volleyball Women’s Nations League, การท่องเที่ยวที่เน้นการสร้างคุณค่า เช่น การทำ THACCA, 5 Must Do in Thailand, Health & Wellness Tourism และ Man-Made Destination เช่น กระเช้าภูกระดึง, Cruise Terminal และ Entertainment Complex โดย เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ เป็นเพียงหนึ่งในกลยุทธ์ที่หลากหลายในหมวดการยกระดับการท่องเที่ยวเท่านั้น
ขณะที่ เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ไม่ใช่แค่โซนบันเทิง แต่เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้ประเทศตลอดปี ทำให้ประเทศไทยไม่มี Low Season เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ เป็น Man-Made Destination ที่จะรวมไว้ตั้งแต่สวนสนุก/สวนน้ำ, พิพิธภัณฑ์, สเตเดียมอเนกประสงค์ในร่ม, พื้นที่สีเขียวเพื่อการพักผ่อนของประชาชน, พื้นที่ส่งเสริมวัฒนธรรมไทยและสินค้า OTOP, โรงแรม 5 ดาว, ศูนย์นวัตกรรมสำหรับสตาร์ทอัพและธุรกิจแห่งอนาคต, ห้างสรรพสินค้าครบวงจรและโรงภาพยนตร์, คอนเสิร์ตฮอลล์ระดับเวิลด์คลาส, ศูนย์ประชุมและพื้นที่จัดนิทรรศการขนาดใหญ่, ร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์, ท่าจอดเรือยอชท์และท่าเรือสำราญ, กาสิโน (ภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวด) ฯลฯ
ทั้งหมดนี้ ผู้ประกอบการไทย SME ไทย จะได้รับประโยชน์ตรงนี้อย่างแน่นอน และผมคิดว่านี่คือโอกาสที่ประเทศไทยไม่ควรจะพลาดไป ประเทศไทยไม่ใช่ที่แรก เพราะที่ผ่านมา ‘เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์’ ถูกพูดถึงและเป็นโครงการที่หลายประเทศกำลังมุ่งไป โดยคาดการณ์โอกาสในตลาดเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์สูงถึง 54 ล้านล้านบาท/ปี ขอยกตัวอย่างข้อมูลรายได้ต่อปีจากสถานบันเทิงครบวงจรปี 2022 ของประเทศเวียดนาม คือ 1.8 แสนล้านบาท/ปี, เกาหลีใต้ 3.2 แสนล้านบาท/ปี, สิงคโปร์ 4.3 แสนล้านบาท/ปี, ญี่ปุ่นที่กำลังจะเปิดในปี 2030 เป็นต้น
ขณะที่ข้อมูลตัวเลขจากประเทศเพื่อนบ้าน แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน ส่วนโมเดลการสร้างเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ของไทย คือ โมเดลเหมือนสิงคโปร์ UAE และที่ญี่ปุ่นกำลังทำ นั่นคือจำกัดจำนวน เช่น ให้มีจำนวนน้อย แล้วบังคับให้การลงทุนเป็นการลงทุนขนาด mega size เท่านั้น (XXL 100,000 ล้านบาทขึ้นไปเท่านั้น) ซึ่งโมเดลนี้จะมาพร้อมกับการลงทุนขนาดใหญ่ที่เข้ามา สิ่งที่เราจะได้คือการยกระดับตัวอุตสาหกรรมขึ้นมาทั้งหมด และมาพร้อมกับมาตรฐานการกำกับดูแลระดับโลกด้วย เพราะเราต้องการดึงมาตรฐานระดับโลก ดึง global best practice เข้ามา ประกอบกับ local governance ของเรา เพื่อสร้างมาตรการในการป้องกัน มาตรฐานในการกำกับดูแลที่เข้มแข็งที่สุด
ทั้งนี้ จุดที่เราศึกษาอยู่ใกล้กับแหล่งคมนาคมขนส่ง และที่สำคัญคืออยู่ใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ เพราะเราตั้งใจว่า เมื่อมี Entertainment Complex แล้ว นอกจากเราจะดึงเม็ดเงินลงทุนเข้ามา เราต้องการให้ผู้คนมาเที่ยวที่นี่แล้วก็ไปเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวข้างๆ ด้วย โดยกระจายรายได้ออกไปให้ทุกภาคส่วนกว้างขวางที่สุด
นายศึกษิษฏ์ ย้ำว่า Entertainment Complex ไม่ใช่การพนันออนไลน์ เป็นคนละเรื่อง แยกกันอย่างชัดเจน ใน พ.ร.บ. ระบุไว้ชัดเจนว่า พนันออนไลน์ไม่อนุญาตให้เกิดขึ้นในนี้ และรัฐบาลก็เดินหน้าปราบปราม และกำจัดพนันออนไลน์ด้วย ซึ่งเราปิดเว็บไซต์ไป 90,000 กว่าเว็บฯ ปิดบัญชีม้าไปประมาณ 700,000 กว่าบัญชี วันนี้เราต้องการการลงทุนที่เรียกว่า on land คือลงทุนเป็น land-based Entertainment Complex ที่มีการลงทุนเกิดขึ้นจริง ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานจริง มีเงินเข้ามาในประเทศจริง มีการจ้างงานจ้างอาชีพจริงๆ
ส่วนเรื่องของกาสิโน ผมขอย้ำว่าไม่ใช่ทุกคนที่เข้าได้ และกาสิโนจะอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวดตามกฎหมาย และมาตรฐานการดูแลระดับโลก ตั้งแต่มาตรการดูแลผู้เล่นในกาสิโน, การห้ามเข้า, มีการลงทะเบียนและติดตามผู้เล่น รวมถึงมีมาตรการดูแลเพื่อสังคม เช่น การสนับสนุนทุนการศึกษา, การทำ CSR เพื่อสังคม และการป้องกันเยียวยาด้วย
ขอยืนยันว่า เป็นการลงทุนที่ไม่ต้องใช้เงินภาษีจากพี่น้องประชาชน เพราะเป็นการลงทุนโดยเอกชน แต่สิ่งที่จะได้คือเราจะเกิดรายได้ตั้งแต่ช่วงก่อสร้าง วัสดุก่อสร้างเกิดขึ้นในไทยแน่นอนสินค้า โต๊ะ ตู้ เตียง ต่างๆ ผ้าห่ม หมอน ต่างๆ ของเมืองไทยแน่นอน และการจ้างงานทุกอย่างเป็นคนไทย 100% ส่วนหลังเปิดให้บริการแล้วก็จะสามารถช่วย GDP ไปได้ ถึง 0.2-0.8% ตามการคาดการณ์ ซึ่งผมคิดว่าสามารถสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจได้สูงกว่านี้ด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ จะสร้างรายได้ให้การท่องเที่ยว 1-2 แสนล้านบาท จากกิจกรรมที่ที่พูดไปข้างต้น คือ คอนเสิร์ตขนาดใหญ่ ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า สวน สวนสนุก มิวเซียม เรือยอร์ช สิ่งเหล่านี้สามารถยกระดับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของเราได้ชัดเจน จะเกิดการจ้างงาน 9,000-15,000 อัตรา เพราะสิงคโปร์ แค่มารีน่าเบย์แซนด์เจ้าเดียว ก็เกิดการจ้างงานกว่า 12,000 เข้าไปแล้ว ทั้งยังเพิ่มการใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ประมาณการว่า 22,300 บาท/คน/ทริป เพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวขึ้น 5-20% ต่อปี เพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวช่วง Low Season ขึ้น 13% ทำให้การท่องเที่ยวสม่ำเสมอทั้งปี

อย่างไรก็ตาม ไทม์ไลน์การลงทุนยังอีกยาวไกล ปัจจุบันเราอยู่ที่จุดเริ่มต้น คือการทำกฎหมายเท่านั้น เฉพาะแผนการทำงานคาดว่าจะกินเวลาราว 3 ปี และทุกนาทีที่เสียไป เท่ากับโอกาสที่ประเทศไทยเสียไปเช่นกัน.
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.thairath.co.th/news/politic/2862519&ct=ga&cd=CAIyHGRmMjMzNDMzN2E0NjM2ZDg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw2ViGWFR6YkEwolZgNkdimT