ทีเอชเอ ยื่นคัดค้าน ร่าง พ.ร.บ.โรงแรมฉบับใหม่ ผ่อนคลายกม.กระทบเชื่อมั่นท่องเที่ยว

ทีเอชเอ ยื่นคัดค้านร่าง พ.ร.บ.โรงแรมฉบับใหม่

นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) เปิดเผยว่ากับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า สมาคมโรงแรมไทย ได้ยื่นหนังสือแสดงความคิดเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติโรงแรมและสถานที่พักค้างคืน พ.ศ. …. ที่เสนอโดยนายณัฐพล โตวิจักษณ์ชัยกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 โดยคัดค้านในหลายประเด็นสำคัญ ที่อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวและความเชื่อมั่นด้านปลอดภัยของนักท่องเที่ยว โดยคัดค้านใน 4 ประเด็นหลัก ได้แก่   

ประเด็นที่ 1 การจำกัดจำนวนห้องพักสถานที่พักค้างคืน ซึ่งสมาคมโรงแรมไทยไม่เห็นด้วยกับการกำหนดให้สถานที่พักค้างคืนมีจำนวนห้องพักได้ไม่เกิน 29 ห้อง และพักอาศัยได้ไม่เกิน 58 คน ตามที่ระบุในร่างกฎหมาย แต่เห็นว่าควรจำกัดไว้ที่ไม่เกิน 8 ห้อง และพักอาศัยได้ไม่เกิน 30 คน ตามกฎกระทรวงที่มีอยู่เดิม

เนื่องจากอาคารประเภทโรงแรมเป็นอาคารที่ผู้ใช้อาคารไม่มีความคุ้นชินกับแผนผังอาคารและระบบความปลอดภัยต่างๆ ทำให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย สมควรให้อาคารที่มีห้องพักเกิน 8 ห้อง ต้องใช้หลักเกณฑ์ควบคุมอาคารอย่างเข้มงวด เพื่อความปลอดภัยแก่ผู้ใช้อาคาร

จึงจำเป็นต้องเข้าเงื่อนไขในกฎกระทรวงกำหนดลักษณะและระบบความปลอดภัยของอาคารที่ใช้ประกอบธุรกิจโรงแรม พ.ศ. 2566 และเกณฑ์อาคารสาธารณะตามกฎกระทรวงฉบับที่ 55 ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคารอย่างเคร่งครัด

ประเด็นที่ 2 สมาคมฯไม่เห็นด้วยกับการกำหนดให้ “ห้องพัก” เป็นสถานที่พักค้างคืนในคำจำกัดความ โดยเห็นว่าการจดทะเบียนควรทำในรูปแบบทั้งอาคาร เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนผู้อยู่อาศัยโดยรอบและเพื่อความปลอดภัยของผู้เข้าพัก เนื่องจากไม่สามารถทราบสภาพ และความปลอดภัยของอาคารที่ห้องพักนั้นตั้งอยู่ได้อย่างชัดเจน

ไม่ควรยกเลิกคณะกรรมการส่งเสริม และกำกับธุรกิจโรงแรม-ค้านนำบ้านพัก ห้องชุด มาทำเป็นโรงแรม

ประเด็นที่ 3 สมาคมโรงแรม ไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกคณะกรรมการส่งเสริม และกำกับธุรกิจโรงแรม เนื่องจากจะทำให้ขาดผู้ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายเดิม และการพิจารณาตัดสินใจในด้านต่างๆ จะไม่สามารถทำได้อย่างรอบด้าน

ประเด็นที่ 4 สมาคมโรงแรม คัดค้านมาตรา 29 วรรค 3 ที่อนุญาตให้นำบ้านพักในหมู่บ้านจัดสรร หรือห้องพักในอาคารชุดมาทำเป็นโรงแรม โดยการอนุญาตจากนิติบุคคลหมู่บ้านหรือนิติบุคคลอาคารชุด เนื่องจากเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค เพราะผู้ที่ซื้อบ้านหรือห้องพักข้างเคียงไม่ทราบข้อมูลว่าในอนาคตจะมีการนำส่วนหนึ่งของโครงการมาใช้เป็นโรงแรม จึงควรปกป้องสิทธิของสมาชิกผู้อยู่อาศัยในโครงการหมู่บ้าน และอาคารชุด

เปิด 3 ประเด็นที่พอรับได้

สำหรับประเด็นที่สมาคมโรงแรมไทย เห็นด้วยในร่างพรบ.ดังกล่าว มี 3 ประเด็น ได้แก่ ประเด็นที่ 1 สมาคมโรงแรมไทย เห็นด้วย กับการกำหนดให้มีการแยกประเภทการประกอบธุรกิจสถานที่พักค้างคืน ออกจากการประกอบธุรกิจโรงแรม ก็ต่อเมื่อมีการจำกัดจำนวนห้องพักไม่เกิน 8 ห้อง และพักอาศัยได้ไม่เกิน 30 คน

ประเด็นที่ 2 สมาคมโรงแรมเห็นด้วยกับการกำหนดให้ค่าธรรมเนียมที่ได้รับไว้ตามพระราชบัญญัตินี้ไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน โดยให้ค่าธรรมเนียมใบอนุญาต ใบแทนใบอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต ค่าปรับ และค่าธรรมเนียมการประกอบธุรกิจโรงแรมและสถานที่พักค้างคืนตกเป็นของท้องถิ่นที่โรงแรม หรือสถานที่พักค้างคืนนั้นตั้งอยู่ เพื่อให้เกิดการพัฒนาสาธารณูปโภคต่างๆ ในท้องถิ่นที่ตั้งของโรงแรม 

ประเด็นที่ 3 สมาคมฯเห็นด้วยกับการกำหนดเพดานอัตราค่าธรรมเนียมตามที่ระบุในร่างพ.ร.บ.นี้

ยันพ.ร.บ.โรงแรมปี 2547 ไม่มีปัญหา แต่มีปัญหาในการบังคับใช้กฎหมาย

นายเทียนประสิทธิ์ ยังกล่าวต่อว่า รัฐบาลมีหน้าที่อันดับแรกที่จะต้องทำให้นักท่องเที่ยวเชื่อมั่นในความปลอดภัยในการมาท่องเที่ยวประเทศไทย หากไม่เชื่อมั่นในความปลอดภัยแล้ว จำนวนนักท่องเที่ยวจะลดลงเป็นอย่างมากดังเช่นตลาดจีนในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อภาพรวมในการท่องเที่ยวทั้งหมดทั่วประเทศ จึงไม่สมควรประนีประนอม หรือ ผ่อนคลายบังคับใช้กฎหมายโรงแรม ในด้านการให้ความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว

อีกทั้งสมาคมโรงแรมไทยเห็นว่าการประกอบธุรกิจโรงแรมตามพระราชบัญญัติโรงแรม พ.ศ. 2547 ไม่มีปัญหา แต่มีปัญหาในการบังคับใช้กฎหมาย จึงไม่มีความจำเป็นการเสนอร่าง พรบ.ฉบับนี้ และเห็นว่าควรมีการกำกับดูแล อาคารที่ไม่เป็นโรงแรม หรือสถานที่พักค้างคืนมากกว่า