ดุสิตธานี เสาหลัก “ท่องเที่ยวไทย” กับเส้นทาง 9 ปี ที่ไม่เคยง่าย ของ“ศุภจี สุธรรมพันธุ์”

ดุสิตธานี-เสาหลัก-“ท่องเที่ยวไทย”-กับเส้นทาง-9-ปี-ที่ไม่เคยง่าย-ของ“ศุภจี-สุธรรมพันธุ์”
ดุสิตธานี เสาหลัก “ท่องเที่ยวไทย” กับเส้นทาง 9 ปี ที่ไม่เคยง่าย ของ“ศุภจี สุธรรมพันธุ์”

ในวันที่ใครๆ ก็พูดถึงหุ้น DUSIT ไม่ใช่เพราะผลประกอบการหวือหวา แต่เพราะเกือบถูก “ขึ้น SP” หยุดการซื้อขายอย่างเป็นทางการ ในตลาดหุ้นไทย 

จนนำมาซึ่งคำถามสำคัญ ที่สาธารณชนทั่วไป ยากจะเข้าใจ ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่? กับ “ดุสิตธานี” กลุ่มธุรกิจสำคัญ ที่บุกเบิกอุตสาหกรรมโรงแรมไทย สร้างภาพลักษณ์ดังไกลระดับโลกให้กับประเทศมาช้านาน จนไม่ต่างจากการเป็นผู้ร่วมวางรากฐานให้ระบบท่องเที่ยวไทย ยั่งยืนมาจนถึงทุกวันนี้ 

จากจุดเริ่มต้นที่มาจากวิสัยทัศน์ของ “ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย” ซึ่งก่อตั้งโรงแรมดุสิตธานีแห่งแรกบนถนนสีลมเมื่อปี 2513 ความโดดเด่นของโรงแรมนี้ไม่ได้อยู่ที่ความหรูหราเท่านั้น แต่คือการผสมผสานวัฒนธรรมไทยเข้ากับมาตรฐานการบริการระดับโลก จนกลายเป็นหนึ่งในโรงแรมหรูที่เป็นหน้าตาของประเทศไทยในยุคที่การท่องเที่ยวยังเพิ่งตั้งไข่

ปมจากบอร์ดสู่ความเชื่อมั่นที่สั่นคลอน

ย้อนไปปมปัญหาทุกอย่างเริ่มต้นจากการประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2568 ที่ไม่อนุมัติงบการเงินประจำปี 2567 และยัง “ค้างวาระ” การแต่งตั้งผู้สอบบัญชี ทำให้เสี่ยงสูงต่อการนำส่งงบไตรมาส 1/2568 ไม่ทันเวลา

ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของความเชื่อมั่นที่สั่นคลอน ดุสิตธานีภายใต้การนำของ CEO หญิงแกร่งอย่าง “ศุภจี สุธรรมพันธุ์” พร้อม ทีมผู้บริหาร เข้าเจรจากับตลาดหลักทรัพย์นับครั้งไม่ถ้วน จนสามารถนำส่งงบการเงินไตรมาสแรกได้ทันเวลา

หุ้น DUSIT จึงรอดพ้นจากเครื่องหมาย SP อย่างเฉียดฉิว และในที่สุด วันที่ 28 พฤษภาคม ผู้ถือหุ้นก็ลงมติอนุมัติผู้สอบบัญชีปี 2568 ปิดฉากวิกฤติระยะสั้นที่สั่นคลอนศรัทธา และเกิดเป็นข่าวใหญ่โต โยงใยถึงความขัดแย้งภายใน ที่ไม่มีใครให้คำตอบได้ว่าจริงเท็จแค่ไหน 

“ศุภจี” กับภารกิจเปลี่ยนดุสิตธานี จากธุรกิจขาเดียว ให้กลายเป็นพอร์ตหลากหลาย

แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าข่าวเชิงเทคนิคทางบัญชี และข่าวร้อนในโลกตลาดหุ้นที่ยังคงเกิดขึ้นรายวัน รวมไปถึงความเชื่อมั่นจากผู้ถือหุ้นทั้งหมด ที่ผู้บริหารต้องเรียกกลับมาให้เต็ม 100% อีกครั้ง

คือ เบื้องหลังความพยายามของหญิงคนหนึ่ง อดีตผู้บริหารแห่ง IBM และ Temasek Holdings ที่ใช้เวลา 9 ปี ย่างเข้าปีที่ 10 ในการ “พลิกเกม” สร้างตำนานบทใหม่ ให้กับ “ดุสิตธานี” ด้วยธงเป้าหมาย ว่าต้องการ “รื้อ”และ”สร้าง” เปลี่ยนผ่านธุรกิจขาเดียว ที่มีเพียงรายได้จากโรงแรมเป็นหลัก (90%) ไปสู่ธุรกิจไลฟ์สไตล์ระดับท็อปให้ได้ ในวันที่โลกไม่เหมือนเดิม 

บทความนี้ ชวนเปิดเรื่องราวของ “ศุภจี สุธรรมพันธุ์”ผู้หญิงที่เคยถูกตั้งคำถามว่า “จะบริหารโรงแรมไทยได้อย่างไร ในเมื่อไม่ได้มาจากสายโรงแรม?” กับเส้นทาง 9 ปีที่เธอบอกว่า ไม่มีคำว่า “ง่าย” ในพจนานุกรม 

“ศุภจี” ปรากฎตัวต่อหน้าสื่อมวลชนหลายสำนัก เป็นครั้งแรกวันนี้ (13 มิ.ย.2568) โดยเปิดใจหลายประเด็น ทั้งข่าวบวกและลบ เพื่อสื่อสารถึงข้อเท็จจริงต่างๆที่เกิดขึ้น 

เธอยอมรับว่า วันนี้ ดุสิตธานี กำลังเผชิญหน้ากับวิกฤติความเชื่อมั่นที่เกิดขึ้นกับบริษัท แต่ทุกอย่างกำลังจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ซึ่งเป็นหน้าที่ของทีมบริหารที่จะต้องอธิบาย และนำพาธุรกิจให้เดินหน้าต่อไปด้วยความโปร่งใส 

แต่ประเด็นสำคัญ ต้องการเน้นย้ำว่า ขณะนี้กลุ่มธุรกิจได้เข้าสู่เฟส “ปลดล็อค” ซึ่งเป็นช่วงที่ 3 (2566-2568) ตามยุทธศาสตร์ 9 ปี ของการTransform องค์กรเก่าอายุเกินครึ่งศตวรรษ เรียบร้อยแล้ว 

จากโรงแรมเดียว สู่ธุรกิจโรงแรมหลายแบรนด์, อาหาร, การศึกษา, และอสังหาริมทรัพย์ผสมผสาน (Mixed-use) โดยมีโครงการดุสิตเซ็นทรัลพาร์ค (Dusit Central Park ) บนที่ดินเดิมของโรงแรมดุสิต ถือเป็นภาพแทนของการ “กล้ารื้อเพื่อสร้างอนาคต” 

9 ปี 3 ไทม์ไลน์ จุดเปลี่ยนของแบรนด์ไทยอายุเกือบ 50 ปี

จากจุดเริ่มต้น เฟสที่ 1 ช่วงสร้างฐาน (2559-2561) 3 ปีแรกไทม์ไลน์ของการสร้างคน ทั้งวัฒนธรรมองค์กร ทัศนคติ การพัฒนาทักษะพนักงาน พัฒนากระบวนการทำงาน เตรียมความพร้อมด้านเทคโนโลยี สร้างศักยภาพของสินทรัพย์กลุ่มดุสิตธานี และยกระดับศักยภาพของแบรนด์ดุสิตธานีให้ตอบโจทย์ทุกเซกเมนต์

“ในวันที่รับตำแหน่ง CEO เมื่อช่วงปี 2559 มีอยู่ไม่กี่โจทย์ คือ 1.จะทำอย่างไร ให้ดุสิตธานี มีรายได้เพิ่มขึ้น ไม่กระจุกตัวอยู่ขาเดียว  2.ทำอย่างไรให้ขยายธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว และใช้ทุนน้อย สุดท้าย 3.ทำอย่างไรให้พอร์ตโฟลิโอกระจายเสี่ยงอย่างสมดุล ด้วยต้นทุนที่น้อยที่สุด” 

ก่อนก้าวเข้าสู่เฟสที่ 2 Take Off (2562-2565) บนความท้าทายขั้นสุด เพราะ COVID-19 ระบาดทั่วโลก และ “ดุสิตธานี” ก็ไม่รอดพ้น ได้รับผลกระทบหนัก เช่นเดียวกับธุรกิจโรงแรมทั่วโลก ซึ่งเป็นช่วงของการลงทุน ขยายบริการที่หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ ธุรกิจการศึกษา 

พร้อมๆ กับการขยายสู่ธุรกิจอาหาร ด้วยการจัดตั้งบริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด รวมถึงการเดินหน้าขยายโครงการ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” มูลค่า 46,000 ล้านบาทด้วย 

นั่นเอง ทำให้ดุสิตธานี ต้องปรับกลยุทธ์ เร่งสำรองเงิน เพื่อให้มีกระแสเงินสดที่เพียงพอ ด้วยการตัดสินใจขายทรัพย์สินบางส่วนออกไปเพื่อปรับโมเดลทางการเงินใหม่ ยื้อและ “ประคอง” ให้องค์กรเดินต่อไปได้ 

และดูเหมือนการผ่านร้อนผ่านหนาวอันโชกโชนของดุสิตธานี และ ความตั้งใจแน่วแน่ของ “CEO หญิงแกร่ง” กำลังจะเป็นผล เข้าสู่เฟสที่ 3 ได้สำเร็จ ด้วยผลประกอบการ ที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง (แม้ยังติดลบ)

ดุสิตเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารจากโรงแรมรายเดียว มาเป็นเครือข่ายโรงแรมในและต่างประเทศ ผ่านแบรนด์ในเครือ เช่น dusitD2, ASAI และ Dusit Princess จนสำเร็จ 

จากที่เคยมีโรงแรม 27 แห่งใน 8 ประเทศ ปัจจุบัน ณ ไตรมาสแรกปี 2568 กลุ่มดุสิตธานีมีโรงแรมและวิลล่าภายใต้การบริหารจัดการรวม 294 แห่ง จำนวนห้องพักรวม 12,909 ห้อง ใน 18 ประเทศ เป็นโรงแรม 55 แห่งและวิลล่าหรู 239 แห่ง และในปี 2568 และจะรับรู้รายได้จากโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ เต็มปี หลังจากเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2567

เจาะผลประกอบการ “ดุสิตธานี” (หุ้นDUSIT)

รายได้รวม

  • ปี 2562 : 3,320  ล้านบาท
  • ปี 2563 : 3,443  ล้านบาท
  • ปี 2565 : 5,130  ล้านบาท
  • ปี 2566 : 6,410  ล้านบาท
  • ปี 2567 : 11,345 ล้านบาท

กำไรสุทธิ

  • ปี 2562 : -1,011 ล้านบาท
  • ปี 2563 : – 945 ล้านบาท
  • ปี 2565 : – 502 ล้านบาท
  • ปี 2566 : – 570 ล้านบาท
  • ปี 2567 : – 237 ล้านบาท 

“ยอมรับว่า 9 ปีที่ผ่านมา ไม่ง่าย แต่แม้กลุ่มดุสิตธานีจะเผชิญกับปัจจัยท้าทายและความยากลำบาก ทั้งจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ วิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมถึงการตัดสินใจยุติการให้บริการโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ แห่งเดิม เพื่อสร้างโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ แห่งใหม่ ซึ่งก็ล่าช้ากว่ากำหนดที่ตั้งใจเปิดบริการไปกว่า 2 ปี แต่ตลอดเส้นทางที่เราต้องเผชิญนั้น คณะกรรมการ ฝ่ายบริหาร รวมถึงพนักงานทุกคนของกลุ่มดุสิตธานี ก็ได้ร่วมแรงร่วมใจกัน ผลักดันให้แผนกลยุทธ์ 9 ปีที่วางไว้ สามารถเป็นไปตามเป้าหมายได้อย่างน่าพอใจ “ 

ดุสิตผ่าปมปัญหา “ขาดทุน” เพราะภาระดอกเบี้ย 

“ศุภจี สุธรรมพันธุ์” ระบุว่า จะเห็นได้ว่า ในปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวมสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ที่ 11,204 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2566 คิดเป็น 74.8% โดยมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย  (EBITDA) 1,650 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 91.4% (YoY)

แต่ผลสุทธิ ที่ขาดทุน -237 ล้านบาท จนนำไปสู่ การไม่รับรองงบการเงินนั้น มึเหตุผลสำคัญ ที่มีที่มาที่ไปชัดเจน เนื่องจากที่ผ่านมา บริษัทฯ มีภาระดอกเบี้ยจ่ายหุ้นกู้ที่ออกและเสนอขายเพื่อรองรับสภาพคล่องทางการเงินในช่วงโควิด-19 และดอกเบี้ยเงินกู้ยืม ประมาณ 281 ล้านบาท 

รวมถึงดอกเบี้ยของหนี้สินจากสัญญาเช่าตามมาตรฐานการรายงานการเงินฉบับที่ 16 (TFRS 16) ประมาณ 297 ล้านบาท รวมเป็นต้นทุนทางการเงินประมาณ 578 ล้านบาท จึงทำให้มีตัวเลขขาดทุนสุทธิในปี 2567 อยู่ที่ 237 ล้านบาท 

“จะเห็นได้ว่า หากเราไม่รวมต้นทุนดอกเบี้ยจ่าย ธุรกิจของเราก็ยังมีกำไรจากการดำเนินงาน แต่ที่เราต้องออกหุ้นกู้และกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน เนื่องจากที่ผ่านมา กลุ่มดุสิตธานีมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ใน “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” ที่มีมูลค่าประมาณ 46,000 ล้านบาท  หรือเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่อย่างการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กว่า 3 ปี ในขณะที่ทุนจดทะเบียนของบริษัทยังคงอยู่ที่ 850 ล้านบาทไม่มีการเปลี่ยนแปลง” 

อย่างไรก็ตาม ค่อนข้างมั่นใจว่า ภาระดอกเบี้ยจ่ายนี้จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากการโอนโครงการที่พักอาศัยเกิดขึ้นในช่วงปลายปีนี้ ต่อเนื่องถึงปี 2569 และช่วงเวลานั้น จะเป็นช่วงที่กลุ่มดุสิตธานีจะกลับมามีกำไรสุทธิอีกครั้งอย่างแน่นอน 

Game changer ของดุสิตธานี จึงอยู่ที่ การรอรับรู้รายได้การโอนโครงการที่พักอาศัย Dusit Residences และ Dusit Parkside ที่ขายไปแล้วประมาณ 90% ของโครงการทั้งหมด (ประมาณการมูลค่ารายได้ 16,000 ล้านบาท เมื่อมีการโอน) 

รายได้หลักอีกด้านของกลุ่มธุรกิจ ยังจะมาจาก กลุ่มดุสิตธานียังขยายการลงทุนในธุรกิจอาหาร ผ่านบริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด ซึ่งปัจจุบัน มีการลงทุนใน บริษัท เอ็บเพอคิวร์ เคเทอริ่ง จำกัด ผู้นำธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่ให้บริการกับโรงเรียนนานาชาติในไทย บริษัท เดอะ เคเทอเรอร์ส จอยท์ สต็อก จำกัด (The Caterers Joint Stock) หรือ เดอะ เคเทอเรอร์ส (The Caterers) ผู้ให้บริการด้านการจัดเลี้ยงสำหรับโรงเรียน และงานเลี้ยงรับรองนอกสถานที่ในประเทศเวียดนาม 

บริษัท บองชู เบเกอรี่ เอเชีย จำกัด เป็นเจ้าของแฟรนไชส์ขนมเบเกอรี่ “บองชู” (BONJOUR) มีสาขารวมทั้งสิ้น 99 แห่ง ครอบคลุมในประเทศไทย จีน และเวียดนาม และมีโรงงานผลิตเบเกอรี่ที่นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด จังหวัดระยอง และขณะนี้ บริษัทกำลังอยู่ในขั้นตอนการเตรียมตัวสำหรับการนำธุรกิจอาหารเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ 

ด้วยเป้าหมายการเติบโตทางรายได้ ปี 2568 เพิ่มขึ้น 20-25 % ตามโครงสร้างพอร์ตโฟลิโอ ที่มีความสมดุลและช่วยกระจายความเสี่ยงได้มากกว่าอดีต 

  • โรงแรม ตั้งเป้าเติบโต 20-25% 
  • การศึกษา ตั้งเป้าเติบโต 10-12% 
  • อาหาร ตั้งเป้าเติบโต 10-15% 
  • อสังหาริมทรัพย์ ตั้งเป้าเติบโต 100% 

“ดุสิตธานี จะเทิร์นอะราวด์ ในปี 2568 นี้ พร้อมๆกับภาระด้านเงินกู้ธนาคารและดอกเบี้ยหุ้นกู้ ที่จะค่อยๆลดลง สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน”

ในการเปิดใจทิ้งท้าย “ศุภจี สุธรรมพันธุ์” CEO หญิงแห่งดุสิตธานี กล่าวว่า แม้จากภาวะเศรษฐกิจ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และสถานการณ์ทางด้านการท่องเที่ยวในประเทศไทยในปัจจุบัน ที่ปรับลดคาดการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติ เหลือเพียง 35 ล้านคน 

รวมไปถึงที่อาจมีปัจจัยอื่นๆเกิดขึ้นนอกเหนือการคาดการณ์ ทั้งปัจจัยการเมืองภายในและภายนอกประเทศ แต่ยังคงมั่นใจว่าด้วยเครื่องยนต์ทุกเครื่องของธุรกิจที่เราวางฐานไว้ และค่อยๆ สร้างการเติบโต จะสะสมพลังให้ภาพรวมของกลุ่มดุสิตธานีกลับมาเติบโตและสร้างกำไรได้อย่างยั่งยืนในอนาคตอันใกล้นี้อย่างแน่นอน 

“เป้าหมายของการทำงานวันนี้ คือ จะทำอย่างไรให้ทีมงาน พนักงานขององค์กร เกือบ 20,000 คน ยังคงเชื่อมั่น มุ่งมั่น เพื่อไปถึงเป้าหมายสำคัญที่ร่วมกันวางไว้ อย่างมีพลัง และ ตั้งใจ จากจุดเริ่มต้นที่มาด้วยกัน สู่ การพาแบรนด์ไทยไปปักธงโลก อย่างมั่นคงให้ได้ ”

———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.thairath.co.th/money/economics/thai_economics/2864316&ct=ga&cd=CAIyHGRmMjMzNDMzN2E0NjM2ZDg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw3ZdKJOQA5TCA1T8xMVmJWP

Related Post

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *