ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคขาลง! หลังดิ่ง 4 เดือนติด กังวลภาษีทรัมป์-ศก.ฟื้นช้า : อินโฟเควสท์

ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคขาลง!-หลังดิ่ง-4-เดือนติด-กังวลภาษีทรัมป์-ศก.ฟื้นช้า-:-อินโฟเควสท์
ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคขาลง! หลังดิ่ง 4 เดือนติด กังวลภาษีทรัมป์-ศก.ฟื้นช้า : อินโฟเควสท์

Editor’s Picks, ข่าวเศรษฐกิจ

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เดือนพ.ค.68 อยู่ที่ระดับ 54.2 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 27 เดือนนับตั้งแต่เดือนมี.ค.66

ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยโดยรวม อยู่ที่ 48.1 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางาน อยู่ที่ 51.9 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ท่ 62.7 ซึ่งดัชนีฯ ทุกตัว ปรับลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 เช่นกัน

สำหรับสาเหตุสำคัญที่ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ทุกรายการปรับตัวลดลงต่อเนื่อง เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าจากนโยบาย Trump 2.0 และรู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยกำลังชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ารัฐบาลจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ใช้นโนบายการเงินผ่อนคลาย จากการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายตั้งแต่ต้นปีมาแล้ว 2 ครั้งรวม 0.5% แต่ผู้บริโภคยังรู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวได้ช้า และการเข้าถึงสินเชื่อเป็นได้ด้วยความยากลำบาก

“การที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ลดลงทุกรายการ ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 แสดงว่า ผู้บริโภคเริ่มมีความเชื่อมั่นในอนาคตลดลง หากสงครามการค้ารุนแรงขึ้น และเศรษฐกิจไม่สามารถจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล” นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจฯ ระบุ

พร้อมมองว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ที่ลดลงติดต่อกัน 4 เดือนนั้น บ่งบอกถึงความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่เป็นขาลงแล้ว เนื่องจากเศรษฐกิจยังไม่มีทิศทางที่สดใส และมีโอกาสที่จะเข้าสู่ภาวะถอดถอยได้ง่ายขึ้น

“สถานการณ์ตอนนี้ ในมุมมองของผู้บริโภค มองว่าเศรษฐกิจไม่ดี และยังไม่มีสัญญาณที่จะเงยหัว เพราะกังวลสงครามการค้า ซึ่งจะไม่คลายตัวแน่ แม้รองนายกฯ พิชัย จะบอกว่าสหรัฐฯ นัดไทยเจรจาแล้ว แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่า ไทยจะเจรจาได้สำเร็จทันในช่วงระยะเวลาผ่อนผัน 90 วันที่จะครบกำหนดในวันที่ 7 ก.ค.หรือไม่ และยังไม่เห็นประเทศใดเจรจาสำเร็จแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แม้แต่สหรัฐ-จีน ที่ตกลงว่าจะเก็บภาษีระหว่างกัน แต่ยังมีเงื่อนไขว่าการเจรจาภาษีภายใต้การผ่อนผัน 90 วันยังคงเจรจาอยู่ ดังนั้นจะเข้าสู่โหมดที่ทั้งโลก อาจจะถูก Reciprocal tariff ซึ่งหมายถึงความเสียหายกับระบบเศรษฐกิจไทย ทั้งมูลค่าการส่งออก และการท่องเที่ยว ครอบคลุมถึงประมาณ 1.5-2 แสนล้านบาท” นายธนวรรธน์ กล่าว

พร้อมระบุว่า ก่อนหน้านี้ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลง มักมีสาเหตุมาจากความกังวลต่อปัญหาสงครามการค้าเป็นหลัก แต่ระยะหลัง ผู้บริโภคเริ่มเพิ่มความกังวลเรื่องการเข้าถึงสินเชื่อที่ยากขึ้น รวมทั้งปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมือง

การที่กระทรวงพาณิชย์ คาดการณ์เงินเฟ้อไตรมาส 2 ปีนี้มีโอกาสจะติดลบ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชี้ให้เห็นความสุ่มเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะเงินฝืดทางเทคนิค แม้การที่เงินเฟ้อทั่วไป (CPI) ติดลบจะมีสาเหตุหลักจากราคาพลังงาน และสินค้าในหมวดอาหารสดที่ปรับตัวลดลงก็ตาม แต่ในส่วนของเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ก็อยู่ในระดับต่ำเช่นกัน ซึ่งชี้ให้เห็นกำลังซื้อที่แผ่วบาง

“อัตราเงินเฟ้อที่ติดลบ สุ่มเสี่ยงต่อภาวะเงินฝืดได้ ถ้าเศรษฐกิจไทยชะลอตัวแบบถลำลึก และสถานการณ์เศรษฐกิจโลกย่ำแย่ลง เพราะประธานาธิบดีทรัมป์ อาจจำเป็นต้องใช้ Reciprocal tariff กับทั้งโลก เพราะยังไม่มีประเทศไหนเจรจาสำเร็จ ซึ่งจะทำให้การท่องเที่ยว การส่งออกไม่เด่น ซึ่งจุดนี้ต้องติดตามกันต่อ” นายธนวรรธน์ กล่าว

ทั้งนี้ ม.หอการค้าไทย ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 ปีนี้ จะขยายตัวได้ราว 1% กว่า ส่งผลให้ครึ่งปีแรก เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ราว 2% และหากไม่สามารถประคองเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังให้โตถึง 2% ได้ ก็จะทำให้เศรษฐกิจไทยทั้งปี 68 โตต่ำกว่า 2% แน่นอน ซึ่งภาพรวมแล้ว ยังประเมินว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะเติบโตในช่วง 1.5-2% แต่ก็มีโอกาสที่จะโตต่ำกว่าระดับนี้ได้ หากสุดท้ายแล้วสหรัฯ บังคับใช้มาตรการ Reciprocal tariff กับทุกประเทศอย่างเข้มข้น

  • เร่งกู้ภาพลักษณ์การท่องเที่ยว ก่อนหมดหวังเป็น Tourism Hub

นายธนวรรธน์ กล่าวด้วยว่า จากข้อมูลด้านการท่องเที่ยวล่าสุด ที่พบว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเริ่มเที่ยวไทยลดลง และนักท่องเที่ยวมาเลเซีย กลับขึ้นมาแซงหน้าเป็นอันดับ 1 นั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งหาสาเหตุที่แท้จริงว่าเกิดจากปัญหาเฉพาะของไทยเอง ในเรื่องความไม่ปลอดภัยของนักท่องเที่ยวหรือไม่ ไม่เช่นนั้นไทยจะสูญเสียการเป็น Tourism Hub นอกจากนี้ รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ต้องเร่งแก้ภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวในประเทศไทย หลังเกิดกระแสอินฟลูเอนเซอร์ และยูทูปเบอร์ต่างชาติ เริ่มเข้ามาทำ content ว่าท่องเที่ยวไทยไม่มีความคุ้มค่า

“การท่องเที่ยว ยังเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จากความหวังที่ว่าปีนี้ จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทย ราว 35 ล้านคน…มาตรการเที่ยวคนละครึ่ง แม้จะกระตุ้นให้คนไทยส่วนหนึ่งมาช่วยพยุงเรื่องการท่องเที่ยวได้มากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องดี แต่จากภาวะเศรษฐกิจไทยที่ซึมตัว จึงอาจเป็นข้อจำกัดในส่วนนี้ ดังนั้นการกระตุ้นการท่องเที่ยวในกลุ่มต่างชาติ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญในขณะนี้ โดยเฉพาะการดึงนักท่องเที่ยวจีนกลับมา” นายธนวรรธน์ ระบุ

  • จับตาเสถียรภาพการเมือง ความเสี่ยงศก.ไทยในครึ่งปีหลัง

นายธนวรรนธ์ กล่าวว่า ความเสี่ยงการเมืองในช่วงครึ่งปีหลัง หากมีการยุบสภาเกิดขึ้น จะทำให้ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ต้องสิ้นสุดลง และต้องเริ่มต้นกระบวนการจัดทำงบประมาณรายจ่ายปี 69 ใหม่ โดยรัฐบาลใหม่ ซึ่งกระบวนการนี้ จะทำให้การจัดทำงบประมาณต้องล่าช้าออกไปจากปกติ 6-9 เดือน

“ถ้ายุบสภา เราจะก้าวสู่วังวนเดิมเหมือนในปี 67 ที่การจัดทำงบประมาณจะล่าช้าไป 6-9 เดือน เพราะต้องมีการเลือกตั้งใหม่ จัดตั้งรัฐบาล ทำกระบวนการงบประมาณใหม่ ซึ่งจะทำให้ระหว่างนี้ เศรษฐกิจไทยขาดแรงที่จะมีเม็ดเงินมากระตุ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไตรมาส 4 ที่ต้องการเม็ดเงินงบประมาณใหม่ และการตัดสินใจโดย ครม.ที่มีอำนาจเต็ม และถ้ามีอุบัติเหตุการเมืองก่อนมาตรการ 1.57 แสนล้านบาทจะออกมา รัฐบาลรักษาการจะใช้เม็ดเงินก้อนนี้ไม่ได้ง่าย เรื่องการเมืองเป็นความเสี่ยง ดังนั้น ต้องช่วยกันทำให้การเมืองมีเสถียรภาพ และทำให้รัฐบาลผ่านร่างงบปี 69 ไปได้ และตัดสินใจเรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากเม็ดเงิน 1.57 แสนล้านบาท เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ปีนี้” นายธนวรรธน์ กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 มิ.ย. 68)

Tags: ,

———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.infoquest.co.th/2025/502744&ct=ga&cd=CAIyHGRmMjMzNDMzN2E0NjM2ZDg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw1tVhDnSi3TjBmSwoYcCj7Q

Related Post

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *