ความเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดการซื้อขายวันนี้ (16 มิ.ย.68) อยู่ที่ 1,108.69 จุด ลดลง -14.01 จุด คิดเป็น -1.25% โดยดัชนีปรับขึ้นสูงสุด 1,123.83 จุด ลดลงต่ำสุด 1,108.46 จุด
“อิสราเอลและอิหร่าน” สู้รบกันมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา ตั้งแต่เช้าวันที่ 13 มิ.ย.2025 (เวลาประเทศไทย) ที่ผ่านมาอิสราเอลและอิหร่านได้ผลัดกันโจมตีไปมาอย่างต่อเนื่อง สร้างความเสียหายให้แก่ชีวิต รวมถึง เจ้าหน้าที่ระดับสูงของอิหร่าน นักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์และประชาชนของอิหร่าน และสิ่งก่อสร้างต่างๆ ซึ่งรวมถึงโรงงานนิวเคลียร์ กระทรวงกลาโหม และโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของอิหร่าน
รวมถึง คลังเชื้อเพลิง, โรงกลั่นน้ำมันชาร์เรย์ (Shahr Rey) กำลังการผลิต 250 พันบาร์เรลต่อวัน, แหล่งก๊าซเซาท์พาร์ส (South Pars Gas Field) แหล่งก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปริมาณการผลิตรายปีประมาณ 225 พันล้านลูกบาศก์เมตร:bcm ขณะที่ การเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐอเมริกา(US)และอิหร่านที่โอมานซึ่งมีกำหนดการจะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ได้ถูกยกเลิกไปด้วย
การเพิ่มกำลังการผลิตของ OPEC+ อาจไม่สามารถชดเชยกำลังการผลิตที่ลดลงของอิหร่าน ในขณะที่การสู้รบระหว่าง 2 ประเทศอาจจะกระทบปริมาณการผลิตน้ำมันและการส่งออกน้ำมันของอิหร่าน ประมาณ 3 – 3.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน (mbd) และ 1.6-1.8 mbd ตามลำดับ
ทั้งนี้ มีความเป็นไปได้ว่าการทยอยการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันโดยสมัครใจ (voluntary production cuts) ของ OPEC+ ที่ 2.2 mbd อาจไม่สามารถชดเชยการลดลงที่เป็นไปได้ของกำลังการผลิตน้ำมันของอิหร่าน นอกจากนี้สถานการณ์อาจเลวร้ายยิ่งขึ้น หากมีประเทศอื่นๆเข้ามาร่วมในสงครามด้วย เช่น US และกลุ่มประเทศอาหรับ
การปิดช่องแคบ Hormuz อาจเป็นไพ่ตายของอิหร่าน ขณะที่มีการสู้รบกันไปมา มีรายงานว่าอิหร่านอาจจะทำการปิดการเดินทางผ่านช่องแคบฮอร์มุช (Strait of Hormuz) ซึ่งเชื่อมอ่าวโอมานกับทะเลอาหรับ ซึ่งเป็นช่องทางคมนาคมขนส่งน้ำมันจากตะวันออกกลางสู่เอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
หลังจากที่ อิหร่านพบเรือพิฆาตของอังกฤษลอยลำในอ่าวโอมาน ซึ่งคาดว่าเป็นตัวส่งพิกัดให้ขีปนาวุธของอิสราเอลใช้โจมตีอิหร่าน ทั้งนี้ มีการประเมินว่าช่องแคบ Hormuz รองรับการขนส่งน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันราว 20 mbd ประมาณ 20% ของอุปทานน้ำมันทั่วโลก และการขนส่ง LNG ราว 10-11 พันล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน (bcfd)
ราคาพลังงานสูงขึ้นที่สุดในรอบ 4 เดือน เมื่อวันศุกร์ที่ผ่าน ราคาสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวสูงขึ้น 7% เป็น USD74.2/bbl ขณะที่ ราคาสัญญาซื้อขายล่วงหน้าก๊าซธรรมชาติในยุโรป Dutch TTF สูงขึ้น 4.6% เป็น EUR43.8/MWh สูงที่สุดในรอบ 4 เดือนที่ผ่านมา (Source: Aljazeera, Reuters, Bloomberg, CNN)
โผหุ้นร่วง-หุ้นรอด ?
ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ดาโอ (ประเทศไทย) มีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มราคาพลังงานในระยะสั้น โดยเชื่อว่ามีโอกาสที่สงครามจะยืดเยื้อ แม้อิหร่านประกาศจะหยุดตอบโต้หากอิสราเอลหยุดโจมตี แต่อิสราเอลไม่ได้รับความกดดันที่ทั้งในและต่างประเทศให้หยุดการโจมตี
อีกทั้ง มีการคาดกันว่าการโจมตีของอิสราเอลอาจจะเป็นเพื่อเป็นการกำจัดโรงงานนิวเคลียร์หรือเพื่อเปลี่ยนระบอบการปกครองของอิหร่าน
ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์เชื่อว่ามีโอกาสที่ราคาน้ำมันดิบ Brent จะขึ้นไปใกล้ระดับ 80 เหรียญฯต่อบาร์เรล หรือสูงกว่าได้ ในเบื้องต้นฝ่ายฯยังประมาณการสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยของเราไว้ที่ 70 เหรียญฯต่อบาร์เรล
มองเป็นบวกต่อกลุ่มพลังงานต้นน้ำและโรงกลั่น คาดราคาพลังงานต้นน้ำที่น่าจะสูงขึ้นจะส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะพลังงานต้นน้ำและโรงกลั่น
ปัจจัยบวก ต่อ “กลุ่มพลังงานต้นน้ำและโรงกลั่น” เชื่อว่า PTTEP จะได้ประโยชน์จากราคาขายน้ำมันเฉลี่ย (liquid ASP) ที่ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ โรงกลั่นน่าจะได้แรงหนุนจากกำไรจากสต๊อก (stock gain) ที่สูงขึ้นและอาจรวมถึงส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์และราคาน้ำมันดิบ (crack spread) ที่ดีขึ้น
ฝ่ายวิคราะห์แนะนำซื้อ หุ้น PTTEP เป้า 130 บาท, TOP เป้า 36 บาท, SPRC เป้า 6.50 บาท, และ BCP เป้า 34 บาท
ปัจจัยลบ ต่อ “กลุ่มโรงไฟฟ้า, ปิโตรเคมี, ค้าปลีกน้ำมัน, ท่องเที่ยวและสายการบิน, กลุ่มส่งออก และกลุ่มค้าปลีก” ซึ่งอาจจะเห็นต้นทุนที่สูงขึ้น
กลุ่มโรงไฟฟ้า: มีโอกาสที่ราคาก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น แต่ค่า Ft ไม่สามารถปรับสะท้อนได้จากความพยายามควบคุมค่าไฟฟ้าจากภาครัฐ เป็น negative sentiment ต่อโรงไฟฟ้า SPP โดยเรียงลำดับจากหุ้นที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากมากไปน้อยคือ GPSC (ซื้อ/เป้า 40 บาท), BGRIM (ซื้อ/เป้า 20 บาท), GULF (ซื้อ/เป้า 63 บาท)
กลุ่มปิโตรเคมี: มองว่าหุ้นในกลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบจากราคาต้นทุนวัตถุดิบ (feedstock) ที่สูงขึ้น ขณะที่ราคาขายยังมีปัจจัยกดดันจากแนวโน้มอุปสงค์ที่อ่อนแออยู่ ทั้งนี้แนะนำ SCC (ขาย/เป้า 140 บาท), PTTGC (ถือ/เป้า 21 บาท) และ IVL (ถือ/เป้า 22 บาท)
กลุ่มค้าปลีกน้ำมัน: ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นมีโอกาสกดดันค่าการตลาด อย่างไรก็ดี ผลกระทบเชิงลบอาจจะถูกลดทอนด้วยความจริงที่ว่าสถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีความแข็งแกร่งมากขึ้นแล้ว ทั้งนี้ หุ้นที่ได้รับ negative sentiment คือ OR (ขาย/เป้า 12.50 บาท) และ PTG (ซื้อ/เป้า 8.50 บาท)
กลุ่มท่องเที่ยว: ได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวจาก Middle East มีโอกาสลดลงได้ โดย 5 เดือน 2568 มีสัดส่วนที่ 1.4% ของนักท่องเที่ยวรวม หุ้นที่ได้รับ negative sentiment คือ (ERW (ถือ/เป้า 2.50 บาท), CENTEL (ซื้อ/เป้า 29 บาท)
กลุ่มสายการบิน: มองว่าหุ้นกลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นต้นทุนหลักของธุรกิจคิดเป็นประมาณ 30%-40% จากรายได้รวม หุ้นที่ได้รับ negative sentiment คือ AAV (ถือ/เป้า 1.50 บาท), BA (เป้า consensus 21.83 บาท)
กลุ่มส่งออก: ได้รับผลกระทบจากการส่งออกไปตะวันออกกลาง รวมถึงค่าขนส่งโดยรวมที่อาจสูงขึ้น โดย AAI (ซื้อ/เป้า 6 บาท) มีโอกาสได้รับผลกระทบมากสุดเนื่องจากมีสัดส่วนรายได้ไปตะวันออกกลางราว 8%
ขณะที่หุ้นอื่นๆที่อาจได้รับ negative sentiment ได้แก่ TU (ถือ/เป้า 10.50 บาท), ITC (ถือ/เป้า 14 บาท) และ GFPT (ซื้อ/เป้า 12 บาท) และกลุ่มส่งออกผลิตภัณฑ์มะพร้าวไป Middle east นอกจากมีโอกาสได้รับผลกระทบจากต้นทุนค่าขนส่งที่สูงขึ้นและทำให้คำสั่งซื้อตัวชะลอตัว PLUS (ถือ/เป้า 3.50 บาท) มีสัดส่วนรายได้จาก Middle East 11% และ COCOCO (ซื้อ/เป้า 11.50 บาท) ที่ 2%
กลุ่มค้าปลีก: ได้รับผลกระทบจำกัดตามผลกระทบของนักท่องเที่ยวจาก Middle east ลดลง โดยมองว่าหุ้นที่ได้รับ negative sentiment มากที่สุดคือ CRC (ถือ/เป้า 27 บาท)
หุ้นที่มีปัจจัยเฉพาะตัวที่อาจจะได้รับผลกระทบจากข่าวนี้
EPG (ซื้อ/เป้า 3.40 บาท) ด้วยต้นทุนวัตถุดิบหลัก (PP, PET, HDPE) อาจได้รับผลกระทบจากราคาปิโตรเคมีที่เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมัน อย่างไรก็ตาม บริษัทมีการซื้อวัตถุดิบล่วงหน้าแล้ว 3-6 เดือน
SFLEX (ซื้อ/เป้า 3.80 บาท) เนื่องด้วยต้นทุนวัตถุดิบหลักฟิลม์ (PET, MPET, LLDPE, OPA) อาจได้รับผลกระทบจากราคาปิโตรเคมีที่เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมัน อย่างไรก็ตาม บริษัทมีการซื้อวัตถุดิบล่วงหน้าแล้ว 3-6 เดือน
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.posttoday.com/business/stockholder/725677&ct=ga&cd=CAIyHGRmMjMzNDMzN2E0NjM2ZDg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw2oKIRZ-1T2sD4TwRv9M0T5