“อนุสรณ์” เสนอปฏิรูปภาคการเงิน-นโยบายการเงิน ปรับบทบาท ธปท.ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง : อินโฟเควสท์

“อนุสรณ์”-เสนอปฏิรูปภาคการเงิน-นโยบายการเงิน-ปรับบทบาท-ธปท.ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง-:-อินโฟเควสท์
“อนุสรณ์” เสนอปฏิรูปภาคการเงิน-นโยบายการเงิน ปรับบทบาท ธปท.ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง : อินโฟเควสท์

ข่าวเศรษฐกิจ

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า นโยบายการเงิน นโยบายอัตราแลกเปลี่ยน การกำกับดูแลสถาบันการเงิน และระบบการชำระเงิน ต้องมีการพัฒนาและปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับพลวัตทางเศรษฐกิจการเงินโลก สามารถรับมือความท้าทายของสถานการณ์เศรษฐกิจโลก ภายใต้สงครามการค้า การบริหารนโยบายการเงิน และมาตรการเงินนอกจากต้องดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจและระบบการเงินแล้ว ต้องสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีคุณภาพและยั่งยืนด้วย

มาตรการทางการเงิน ต้องสนับสนุนการลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรม บทบาทของธนาคารกลางต้องถูกปรับเปลี่ยนให้ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางมากยิ่งขึ้น การมีนโยบายการเงิน และนโยบายการคลังที่สอดประสานกัน จะทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยสูงขึ้น โดยที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ในกรอบเป้าหมาย ไม่ทำให้อัตราเงินเฟ้อหลุดกรอบเป้าหมายเช่นที่เกิดขึ้นในขณะนี้

ล่าสุด อัตราเงินเฟ้อเดือน พ.ค. ปรับตัวลดลงติดลบ -0.57% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีที่แล้ว เป็นการติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่สอง อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังคงเป็นบวกอยู่ เงินเฟ้อไทยต่ำที่สุดในอาเซียน โดยอยู่ในอันดับต่ำสุดอันดับ 7 ของโลก โดยคาดการณ์ว่าทั้งปี อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยน่าจะอยู่ต่ำกว่า 1% ภาวะดังกล่าว ทำให้ประเทศไทยเข้าใกล้ภาวะเงินฝืดมากขึ้นตามลำดับ จึงมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินเพื่อลดความเสี่ยงภาวะเงินฝืดในอนาคต

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า ประเทศไทยต้องการปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่ เพื่อแก้ปัญหาในมิติต่าง ๆ และเตรียมรับมือความท้าทายในอนาคต การปฏิรูปภาคการเงินเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการปฏิรูปเศรษฐกิจ และปฏิรูปประเทศ ภาคการเงินต้องรับใช้ประชาชน ต้องทำให้คุณภาพชีวิตประชาชนดีขึ้น ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ ต้องทำให้ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมดีขึ้น แข่งขันได้ ขยายตัวได้ โดยที่ระบบสถาบันการเงินมีความมั่นคง มีเสถียรภาพ และมีผลกำไรที่เหมาะสม

นโยบายการเงินต้องสอดประสานกับนโยบายการคลัง การบริหารหนี้สาธารณะและนโยบายเศรษฐกิจอื่น ๆ เพื่อให้ประเทศบรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง สนับสนุนการแก้ปัญหาหนี้ และส่งเสริมให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนของภาคเอกชน และภาคประชาชน นโยบายการเงินผ่านกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น (Flexible Inflation Targeting) โดยกรอบเป้าหมายควรมีการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับพลวัตเศรษฐกิจภายใน และเศรษฐกิจโลกอย่างเท่าทัน โดยไม่ยึดมั่นถือมั่นต่อเป้าหมายหรือหลักเกณฑ์มากเกินไปจนขาดความยืดหยุ่นในการตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

ดำเนินนโยบายการเงินให้เกิดความสมดุลมากขึ้น ระหว่างการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจแบบยั่งยืน ใช้นโยบายดอกเบี้ยควบคู่มาตรการเงินอื่น ๆ ในการส่งเสริมให้เศรษฐกิจเติบโตเพิ่มขึ้น ลดภาระหนี้ให้ประชาชนและภาคเอกชน โดยมีเป้าหมายให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีลงมาอยู่ที่ระดับ 70% ในปี พ.ศ. 2572 และทำให้โครงสร้างทางการเงินของภาคธุรกิจไทยเข้มแข็งขึ้น

บริหารนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนให้มีเสถียรภาพ และส่งเสริมภาคส่งออก ภาคท่องเที่ยวและการเติบโตทางเศรษฐกิจ เพิ่มความโปร่งใสและประสิทธิภาพของการสื่อสารนโยบายการเงิน เพื่อให้เกิดประสิทธิผลต่อเป้าหมายระยะสั้น ระยะปานกลางและระยะยาวของนโยบายการเงิน โดยไม่ให้เกิดภาพความขัดแย้งกับหน่วยงานทางเศรษฐกิจอื่น ๆ และไม่ให้ลดทอนความเชื่อมั่นต่อการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย

เปลี่ยนแปลงการบริหารทุนสำรองระหว่างประเทศ ด้วยการกระจายความเสี่ยงของการถือครอง หรือการลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆเพิ่มมากขึ้น จากความผันผวนของดอลลาร์ และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มีความเสี่ยงทางด้านมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ส่งเสริมให้ “เงินบาท” เป็นทางเลือกในการค้าระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของดอลลาร์สหรัฐ และเพิ่มบทบาท “เงินบาท” ในตลาดการเงินภูมิภาค

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า นโยบายผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางทางการเงินระดับโลก เป็นเรื่องท้าทายและมีความสำคัญ ถือเป็นการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่อุตสาหกรรมบริการการเงิน การลงทุนที่มีมูลค่าสูง เป็นการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจส่วนหนึ่งที่จะทำให้ศักยภาพในการเติบโตของไทยสูงขึ้นในอนาคต และหากต้องการเป็นศูนย์กลางการเงินระดับโลกระดับต้น ๆ ควรต้องมีสินทรัพย์ของสถาบันการเงินไม่น้อยกว่า 200% ของจีดีพี

สำหรับความท้าทายของไทย ในการนำพา “กรุงเทพฯ” สู่ความเป็นศูนย์กลางทางการเงินของโลก มีดังนี้

  • ประการที่ 1 สภาพแวดล้อมทางธุรกิจเอื้อต่อการประกอบธุรกิจการเงินและการลงทุนหรือไม่
  • ประการที่ 2 ระดับการเปิดเสรีทางการเงินและการลงทุนอยู่ที่ระดับไหน
  • ประการที่ 3 ความพร้อมของบุคลากร และโครงสร้างพื้นฐานของภาคการเงิน
  • ประการที่ 4 ความเชื่อมั่นและการยอมรับในการเป็นศูนย์กลางทางการเงิน เกี่ยวข้องกับวางระบบกฎหมาย
  • ประการที่ 5 ระบบความมั่นคงปลอดภัยในการให้บริการ และระบบความมั่นคงปลอดภับทางไซเบอร์ และธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศ
  • ประการที่ 6 การกำกับดูแล ความมีธรรมาภิบาลที่เป็นมาตรฐานสากล

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า ธปท. ต้องดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบการผสมผสานเครื่องมือเชิงนโยบาย (Integrated Policy Framework: IPF) อย่างสมดุล ภายใต้เศรษฐกิจโลกที่มีแบ่งแยกขั้ว (Geoeconomic Fragmentation) กรอบนโยบายการเงินอย่างสมดุลนี้ ต้องครอบคลุมมิติเสถียรภาพด้านราคา มิติการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน และมิติเสถียรภาพระบบการเงิน ต้องมีการผสมผสานนโยบายเพื่อดูแลกลุ่มเปราะบางที่ฟื้นตัวช้า ต้องยกระดับศักยภาพขององค์กรและบุคลากรของ ธปท. ปรับพันธกิจ โครงสร้างองค์กรให้สอดคล้องกับระบบการเงินแบบดิจิทัล ระบบการเงินแบบกระจายศูนย์ และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี จะทำให้บทบาทหน้าที่ของ ธปท. เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

“จำเป็นต้องทบทวนระบบธนาคารกลางทั้งระบบ และปรับโครงสร้างองค์กร การพัฒนาให้ ธปท. ได้รับความน่าเชื่อถือสูงสุดและเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทย ก้าวสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้วในอีก 10-15 ปีข้างหน้าโดยมี “ประชาชน” เป็นศูนย์กลางเป็นเรื่องที่มีความสำคัญต่ออนาคตของประเทศ และประชาชน”

นายอนุสรณ์ ระบุ

  • เปิดใจที่มาการลงชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ ธปท. ครั้งที่ 2

นายอนุสรณ์ ยังกล่าวในฐานะผู้สมัครเข้ารับการสรรหาตำแหน่งผู้ว่าฯ ธปท. ด้วยว่า การอาสา สมัครเข้ารับการสรรหาการเป็นผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย ครั้งนี้ของตนเป็นครั้งที่ 2 การอาสาครั้งนี้ เพื่อทำงานให้กับประเทศในช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญของระบบเศรษฐกิจการค้าเสรี ระบบการเงินโลก นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเผชิญความท้าทายทางด้านเศรษฐกิจ และแรงกดดันทางด้านการเงินการคลังเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ตนมีความมุ่งมั่นต้องการปฏิรูปภาคการเงิน นโยบายการเงิน และปรับเปลี่ยน ธปท. ให้ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางมากยิ่งขึ้น ผู้ว่าฯ ธปท คนใหม่ ควรสละเงินเดือนบางส่วนช่วยสังคมผ่านองค์กรต่าง ๆ รวมทั้งจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีหนี้สินล้นพ้นตัว จัดตั้งกองทุนเพื่อการปฏิรูปภาคการเงิน จัดตั้งกองทุนรัฐบุรุษอาวุโสปรีดี พนมยงค์ เพื่อความเป็นธรรมและประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ

“จากเงินเดือน 1.1 ล้านบาทต่อเดือน เบี้ยประชุม 4.72 ล้านบาทต่อปี เมื่อพิจารณาถึงฐานะทางการเงินการคลังของประเทศ พิจารณาระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศ เงินเดือน และค่าตอบแทนของผู้ว่าธนาคารกลางของไทย สูงกว่าผู้ว่าธนาคารกลางของประเทศร่ำรวยหลายประเทศทีเดียว สมควรนำค่าตอบแทนบางส่วน มาช่วยเหลือกิจการสาธารณประโยชน์” นายอนุสรณ์ ระบุ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 มิ.ย. 68)

Tags: , ,

———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.infoquest.co.th/2025/501619&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw1fpAhzbLtuiEm50pzjcBj-

Related Post

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *