
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.)จัดประชุมคณะกรรมการอำนวยการ สอวช. ครั้งที่ 4/2568 ผ่านระบบออนไลน์ โดยมีนางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว.เป็นประธานการประชุม และมีวาระเสวนาในประเด็นข้อเสนอเพื่อตราพระราชกฤษฎีกายกเว้นภาษี สำหรับเงินได้ที่จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาเชิงประสบการณ์ (Experiential Learning) โดยความร่วมมือระหว่างสถาบันอุดมศึกษาและสถานประกอบการ
ดร.สุรชัย สถิตคุณารัตน์ ผู้อำนวยการ สอวช. เปิดเผยว่า คณะอนุกรรมการส่งเสริมและขับเคลื่อนการจัดการศึกษาเชิงประสบการณ์ภายใต้คณะกรรมการมาตรฐานการอุดมศึกษา (กมอ.) มีมติเห็นชอบในการประชุมครั้งที่ 1/2566 เมื่อวันที่ 27 มีนาคม ที่ผ่านมา ให้มีการจัดทำข้อเสนอเพื่อออกพระราชกฤษฎีกายกเว้นภาษีแก่สถานประกอบการที่มีความร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษาในการจัดการศึกษาเชิงประสบการณ์ อ้างอิงตามมาตรา 36 แห่งพระราชบัญญัติการอุดมศึกษา พ.ศ. 2562 ซึ่งระบุให้หน่วยงานรัฐหรือเอกชนที่เข้าร่วมสามารถได้รับสิทธิประโยชน์รวมถึงสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร

“วัตถุประสงค์ของข้อเสนอนี้คือการเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ปฏิบัติงานจริงในสถานประกอบการ ลดช่องว่างทักษะพร้อมพัฒนาหลักสูตรร่วมกับภาคเอกชน และปรับปรุงกระบวนการบริหารสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้โปร่งใสตรวจสอบได้ ลดขั้นตอน เพื่อความคล่องตัวในการดำเนินงาน” ดร.สุรชัย กล่าว
นางสาวภาณิศา หาญพัฒนนันท์ ผู้อำนวยการฝ่ายนวัตกรรมอุดมศึกษาและการพัฒนาทักษะแห่งอนาคต สอวช.กล่าวว่า วัตถุประสงค์หลักของร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ มี 5 ประการ ได้แก่ 1.สร้างความหลากหลายของรูปแบบความร่วมมือ 2. ลดขั้นตอนเพื่อให้เอกชนได้รับสิทธิประโยชน์เร็วขึ้น 3.ยกระดับสู่ระบบดิจิทัล 4. เชื่อมโยงข้อมูลสู่การวิเคราะห์เพื่อวางทิศทางกำลังคน และ 5.กระตุ้นให้สถานประกอบการยกระดับคุณภาพการร่วมผลิตบัณฑิต
ทั้งนี้ กลไกหลักประกอบด้วย 2 แนวทางสำคัญ ได้แก่ 1.การจัดการเรียนการสอนร่วมระหว่างสถานประกอบการกับสถาบันอุดมศึกษา (Co-creation model)ดำเนินการโดยมีสถานประกอบการเข้าร่วมกว่า 100 แห่งต่อปีมุ่งปรับปรุงหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด พร้อมเปิดช่องทางให้เอกชนใช้สิทธิประโยชน์ได้อย่างสะดวก โดยได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี 250%

สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นตลอดหลักสูตร รวมถึงการฝึกอบรมตามหลักสูตรที่รับรองโดย สอวช. 2.การปฏิบัติงานจริงในสถานประกอบการ (Internship) ครอบคลุมสถานประกอบการกว่า 10,000 แห่งรองรับนักศึกษากว่า 60,000 – 100,000 คนต่อปี โดยนักศึกษาต้องฝึกงานไม่น้อยกว่า 120 วันซึ่งสถานประกอบการสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีตามมาตรการ Thailand Plus Package ได้
“ในปี 2565 มีผู้สำเร็จการศึกษาในระบบนี้แล้วกว่า 9,000 คน และเกิดการจ้างงานในสาย STEM กว่า 8,000ตำแหน่ง จากสถานประกอบการ 150 แห่งทั่วประเทศ” ดร.ภาณิศา กล่าวนอกจากนี้ คาดว่าจะสามารถเพิ่มจำนวนบัณฑิตที่มีศักยภาพพร้อมทำงานทันทีได้อย่างน้อย 100,000 คน(จากปัจจุบันที่ 60,000 คน) สร้างมูลค่า GDP เพิ่มขึ้นกว่า 11,682 ล้านบาทและช่วยสถานประกอบการลดต้นทุนการสรรหาบุคลากรกว่า 3,600 ล้านบาทมีบริษัททั้งในและต่างประเทศลงทุนด้านการศึกษาอย่างน้อย 17,000 แห่งพร้อมมีระบบฐานข้อมูลกลางเพื่อการวิเคราะห์และวางแผนการผลิตกำลังคนเชิงลึกในอนาคต

ด้าน ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่าการจัดการศึกษาเชิงประสบการณ์ถือเป็นแนวทางสำคัญในการพัฒนากำลังคนของประเทศแต่ปัจจุบันหลักสูตรที่อยู่ในเครือข่ายการศึกษาเชิงประสบการณ์มีเพียง 30% จากทั้งหมดกว่า 9,000 หลักสูตรโดยตั้งเป้าว่าในปีหน้าควรเพิ่มเป็น 50%“อุปสรรคสำคัญยังคงเป็นการหาสถานประกอบการรองรับนักศึกษา 120 วัน ซึ่งหลายแห่งยังมองว่าเป็นภาระการออกมาตรการลดหย่อนภาษีจึงเป็นกลไกสำคัญที่จะเปลี่ยน ‘ภาระ’ ให้เป็น ‘โอกาส’” ศ.ดร.ศุภชัย กล่าว
ขณะที่ ภาคอุตสาหกรรมที่เข้าร่วมการเสวนาเห็นพ้องกับแนวทางดังกล่าวและเสนอให้ขยายสัดส่วนหลักสูตรที่เชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมโดยตรงรวมถึงให้ความสำคัญกับมาตรการความปลอดภัยในหลักสูตรเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกการทำงานในอนาคต
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.thaipost.net/news-update/800772/&ct=ga&cd=CAIyHDI4ODcxZTExZDQzMWVlYzA6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw3RBs1Ev3zIPU7uNVVNkN-t