ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีกทั่วประเทศ (RSI) เดือนพฤษภาคม 2568 ลดลงอย่างรุนแรง 9.7 จุด จากเดือนเมษายน เหลือเพียง 38.1 จุด ถือเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 36 เดือน สะท้อนภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่และกำลังซื้อของประชาชนที่หดหายอย่างต่อเนื่อง โดยความเชื่อมั่นฯตลอด 5 เดือนแรกของปีอยู่ตํ่ากว่าระดับ 50 และตํ่ากว่าช่วงเดียวกัน เมื่อเทียบ 3 ปีที่ผ่านมา
การปรับลดลงครั้งนี้เกิดขึ้นในทุกองค์ประกอบสำคัญ โดยยอดขาย (SSSG) ลดลง 11.3 จุด จาก 48.8 จุด เป็น 37.5 จุด ค่าใช้จ่ายต่อใบเสร็จลดลง 7.8 จุด จาก 47.0 จุด เป็น 39.2 จุด และความถี่ในการซื้อลดลง 10.3 จุด จาก 47.8 จุด เป็น 37.5 จุดที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่าคือ ดัชนี RSI ระยะ 3 เดือนข้างหน้า ปรับลดลง 8.4 จุด มาอยู่ที่ 38.8 จุด
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ดัชนี RSI ลดลงมาจากปัจจัยการเมืองที่ส่อเค้าความรุนแรง โดยรัฐบาลยังไม่มีแนวทางชัดเจนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ทั้งที่มีโครงการดิจิทัลวอลเล็ตมูลค่า 1.57 แสนล้านบาทที่ถูกยกเลิกไป ซึ่งงบประมาณนี้ถูกตั้งใจจะใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ก็ประสบปัญหาความไม่พร้อมของระบบ
เมื่อเปรียบเทียบระหว่างเดือนพฤษภาคมและเมษายน 2568 พบว่า ยอดใช้จ่ายและความถี่ในการจับจ่ายลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในช่วง Back To School ที่ไม่ได้ช่วยเพิ่มการจับจ่ายในตลาด ทั้งยังสะท้อนถึงความระมัดระวังของผู้บริโภค
สัญญาณเตือนจากตัวเลข PPI ที่ร่วงหนัก
ขณะที่สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า(สนค.) กระทรวงพาณิชย์ รายงานดัชนีราคาผู้ผลิตของประเทศ (PPI) เดือนพฤษภาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 109.4 เทียบกับเดือนพฤษภาคม 2567 ลดลง 3.7% โดยมีการลดลงในทุกหมวดสำคัญ ที่น่าเป็นห่วงคือแนวโน้มดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนมิถุนายนปี 2568 มีแนวโน้มชะลอตัวอยู่ในระดับเดียวกับช่วงที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยสำคัญจาก สินค้าราคาถูกจากต่างประเทศที่มีแนวโน้มเข้ามาเพิ่มขึ้นจากการระบายสินค้าอุปทานส่วนเกินของประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ ส่งผลต่อราคาสินค้าของผู้ผลิตในประเทศ
ดร.ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ เลขาธิการสมาพันธ์ผู้ค้าปลีกแห่งเอเชียแปซิฟิก (FARPA) กล่าวแสดงความคิดเห็นกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การที่ดัชนีราคาผู้ผลิตลดลง 2 เดือนต่อเนื่องในเดือนเม.ย. และ พ.ค. 68 ที่ 0.7% และ 3.7% ตามลำดับ ส่งผลให้เฉลี่ย 5 เดือน (ม.ค. – พ.ค. 68) ลดลง 1.6% นั้น สะท้อนให้เห็นว่า อีก 3 เดือนข้างหน้า ภาคส่งออกและการบริโภคในประเทศอาจจะลดลงก็ได้ เพราะเป็นการวางแผนการผลิตล่วงหน้า ถือเป็นการส่งสัญญาณว่านับจากนี้ไปสถานการณ์ทั้งการส่งออกและการบริโภคในประเทศจะไม่สวยเท่าใดนัก
“จะเห็นว่า ราคาสินค้าไม่ได้ลดลง ต้นทุนทั้งด้านการดำเนินงาน ค่าแรง ค่าวัตถุดิบยังสูงขึ้น แต่ผู้ประกอบการไม่สามารถปรับราคาขึ้นได้ ซึ่งระยะยาวนักลงทุนหรือผู้ประกอบการ จะไม่อยากลงทุนเพิ่ม จ้างงานเพิ่ม เพราะทำไปก็ไม่มีกำไร เมื่อไม่จ้างงาน ก็ไม่มีรายได้ ไม่มีรายได้กำลังซื้อกลดลง เป็นวัฏจักรต่อเนื่อง ซึ่งตัวเลขนี้เป็นสัญญาบ่งบอก แต่ยังไม่ถึงขั้นก้าวเข้าสู่ภาวะเงินฝืด”
แนะอัดงบ 1.57 แสนล้าน ผ่าน 3 โครงการ
ดร.ฉัตรชัย กล่าวว่า รัฐบาลควรนำงบประมาณที่มีอยู่ 1.57 แสนล้านบาทนี้มากระตุ้นเศรษฐกิจผ่าน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการ “Easy e Receipt Phase 2” เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในร้านค้า โครงการ Up-skill Re-skill เพื่อพัฒนาทักษะแรงงาน และโครงการจ้างงาน รัฐครึ่งเอกชนครึ่ง เพื่อสร้างการจ้างงานใหม่ ซึ่งทั้ง 3 โครงการจะช่วยเพิ่มการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจ โดยมีเป้าหมายสร้างการจ้างงานใหม่อย่างน้อย 2 แสนตำแหน่ง
ภาคอุตสาหกรรมชะลอตัวโรงงานเบรกการผลิต
ด้านข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เผยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนเมษายน 2568 อยู่ที่ระดับ 92.30 ขยายตัว 2.17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 56.51% ลดลงจากเดือนมีนาคมที่มีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยูที่ 63.69% โดยสศอ. ได้ปรับประมาณการดัชนี MPI ปี 2568 คาดว่าจะขยายตัว 0-1% และ GDP ภาคอุตสาหกรรม ปี 2568 คาดขยายตัว 0.5-1.5% จากเดิมเคยประมาณการดัชนี MPI และ GDP ภาค
สำหรับระบบการเตือนภัยด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมภาพรวมของไทย เดือนพฤษภาคม 2568 “ส่งสัญญาณเฝ้าระวังต่อเนื่อง” โดยปัจจัยภายในประเทศ ส่งสัญญาณเฝ้าระวังต่อเนื่อง ตามการลงทุนภาคเอกชนที่ชะลอตัวลง และความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมที่ลดลงจากความกังวลต่อความไม่แน่นอนด้านนโยบายทางการค้าของสหรัฐอเมริกา
ตลาดแรงงานสะเทือนการว่างงานพุ่งสูงขึ้น
ขณะที่สถานการณ์ตลาดแรงงานไทยแสดงสัญญาณที่น่าเป็นห่วง เมื่อจำนวนผู้ประกันตนที่ได้รับประโยชน์กรณีว่างงานตามมาตรา 33 ย้อนหลัง 3 ปี จะเห็นแนวโน้มที่ชัดเจน โดยในปี 2566 มีผู้ว่างงานในระบบ 207,000 คน เพิ่มเป็น 218,000 คนในปี 2567 ่และเพิ่มเป็น 228,000 คน ในไตรมาสแรกของปี 2568
สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ การลดกำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรม และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่ทำให้ผู้ประกอบการระมัดระวังในการจ้างงาน รวมถึงผลกระทบจากการแข่งขันของสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศที่บีบให้ธุรกิจในประเทศต้องปรับลดต้นทุน
เงินฝืดเคาะประตู เงินเฟ้อติดลบ 2 เดือนต่อเนื่อง
เมื่อดูจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่กระทรวงพาณิชย์รายงาน พบว่าในเดือนพฤษภาคม ลดลง 0.57% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งติดลบต่อเนื่องจากเดือนเมษายนที่ลดลง 0.22% โดยปัจจัยหลักมาจากการลดลงของราคาสินค้าในกลุ่มอาหารสด โดยเฉพาะผักสด และผลไม้สด รวมทั้งมีการลดลงของราคาสินค้าในกลุ่มพลังงาน
กระทรวงพาณิชย์ได้ปรับคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ปี 2568 จากเดิมอยู่ระหว่าง 0.3-1.3% (ค่ากลาง 0.8%) เป็นระหว่าง 0.0-1.0% (ค่ากลาง 0.5%) เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน
ไทยเสี่ยงสูงเข้าสู่ภาวะเงินฝืด
ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษา ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มองว่า “ประเทศไทยมีความเสี่ยงจะเข้าสู่ภาวะเงินฝืดได้ง่ายถ้าไม่มีการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านกลไกของนโยบายการคลัง แม้จะมีการทำนโยบายการเงินไปแล้ว แสดงว่านโยบายการเงินลำพังอย่างเดียวไม่สำเร็จ”
นายนริศ สถาผลเดชา ประธานกลุ่มงาน Data และ Analytics ทีเอ็มบีธนชาต มองว่า อัตราเงินเฟ้อที่ปรับลดลงนั้น ยังไม่ถึงขั้น “เงินฝืด” แต่มีความเสี่ยง “เงินฝืด” สูงขึ้น เพราะราคาสินค้าบริการที่ปรับลดลงมาจากราคาน้ำมันดิบและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ที่ปรับลงมา
“สิ่งที่เศรษฐกิจไทยยังขาดในตอนนี้ คือ ความสามารถในการสร้างรายได้ ตอนนี้ระดับราคานั้นไม่ใช่ปัญหา ไม่ต้องไปกล้วเรื่องเงินฝืด แต่รายได้จะมาอย่างไร เรื่องนี้เป็นปัญหาหลัก” นายนริศกล่าว
ผลกระทบลูกโซ่ SME ว่างงาน
นายสุวิทย์ สรรพวิทยศิริ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง (สวค.) มองว่า สภาพเงินฝืดครั้งนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบเพียงจุดใดจุดหนึ่ง แต่กำลังสร้างความเสียหายเป็นลูกโซ่ในทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจ เพราะ PPI ที่ดิ่งลง หมายถึงผู้ผลิตขายสินค้าได้ในราคาที่ต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้กำไรของธุรกิจลดฮวบ
โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่มีต้นทุนคงที่สูงต้องแบกรับภาระหนักหนาสาหัส การที่กำลังซื้อของประชาชนลดลง ยอดขายก็พลอยตกต่ำตามไปด้วย ทำให้หลายธุรกิจต้องชะลอการผลิต ลดการลงทุน และที่น่ากังวลที่สุดคืออาจนำไปสู่การลดจำนวนพนักงานหรือปิดกิจการในที่สุด
ส่วนในภูมิภาค ดัชนีความเชื่อมั่นก็ปรับลดลงทุกภูมิภาค และอยู่ต่ำกว่าเส้นค่ากลาง 50 จุด ขณะที่ดัชนี RSI ระยะ 3 เดือนข้างหน้า ปรับลดลงถึง 8.4 จุด ส่งผลให้ผู้ประกอบการรู้สึกกังวลกับการบริหารประเทศที่ไม่มีทิศทางที่ชัดเจนท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมือง
ขณะที่ภาพรวมของดัชนี RSI โดยรวมในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 อยู่ต่ำกว่าระดับค่าเฉลี่ยกลาง 50 และเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของ 3 ปีก่อน พบว่าเดือน พ.ค. ถอยลงอย่างชัดเจน เหลือเพียง 38.1 จุด ต่ำสุดในรอบ 36 เดือน ถือเป็นสัญญาที่บ่งบอกแนวโน้มความอ่อนตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสต่อๆไป และคาดว่าดัชนี RSI จะไหลลงต่อเนื่องจนสิ้นสุดไตรมาส 3 หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่มีทิศทางที่ดีขึ้น
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย มองว่า “เงินเฟ้อที่ติดลบ 2 เดือนต่อเนื่อง ยังไม่ถึงกับทำให้ประเทศเข้าสู่ภาวะเงินฝืด เพราะในทางเทคนิคภาวะเงินฝืด เงินเฟ้อจะต้องติดลบต่อเนื่องสองไตรมาส (6 เดือน) อย่างไรก็ดีในเดือนถัดไปคาดเงินเฟ้อมีโอกาสติดลบอีก แต่ก็คิดว่ายังมีโอกาสที่จะฟื้นตัวกลับมา”
อย่างไรก็ตามขณะนี้ผู้ประกอบการที่ทำตลาดในประเทศได้รับผลกระทบจากสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ กระทบผู้ประกอบการในประเทศต้องลดกำลังการผลิตเหลือระดับกว่า 50% ในภาพรวม บางรายมีการปรับลดคนงาน ขณะที่แบงก์ปล่อยกู้ยากเพราะเกรงความเสี่ยง
ดังนั้นเพื่อไม่ให้เงินเฟ้อติดลบต่อเนื่องจนกลายเป็นภาวะเงินฝืด สิ่งที่รัฐบาลสามารถเร่งดำเนินการได้เร็วที่สุดคือ การเร่งใช้จ่ายงบประมาณในปี 2568 ที่เหลือเวลาอีกประมาณ 3 เดือน และการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวทั้งในและจากต่างประเทศ โดยการโปรโมตหรือจัดแคมเปญเพื่อดึงดูดการท่องเที่ยว
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.thansettakij.com/economy/629854&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw0YO2eGweOSFpVk32DGk7a5