เศรษฐกิจไทยเสี่ยงโตไม่ถึง 1.8% บาฟส์มองงบ 1.57 แสนล้านกระตุ้นช้า

เศรษฐกิจไทยเสี่ยงโตไม่ถึง-18%-บาฟส์มองงบ-1.57-แสนล้านกระตุ้นช้า
เศรษฐกิจไทยเสี่ยงโตไม่ถึง 1.8% บาฟส์มองงบ 1.57 แสนล้านกระตุ้นช้า

ม.ล. ณัฐสิทธิ์ ดิศกุล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BAFS) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงประเด็นเรื่องอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพีไทยปี 68 ว่า ในความคิดเห็นส่วนตัวมองว่าจีดีพีโต 1.8% ตามที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประกาศล่าสุดอาจจะเป็นไปได้ยาก 

ทั้งนี้ ปัจจัยเรื่องมาตรการภาษีนำเข้าแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาประกาศใช้เป็นประเด็นที่น่าห่วงอย่างมาก เนื่องจากเศรษฐกิจไทยขับคลื่อนด้วย 2  เครื่องยนต์หลัก ได้แก่ การส่งออกประมาณ 60-70% ของจีดีพี ซึ่งปัจจุบันได้รับผลกระทบจากการจัดเก็บภาษีดังกล่าว ถึงแม้จะระบุว่าไทยมีการส่งออกไปสหรัฐฯแค่บางส่วน แต่สินค้าที่ไทยส่งไปยังตลาดอื่นที่เป็นวัตถุดิบ และส่วนประกอบก็ถูกส่งไปยังสหรัฐฯ หรือเรียกว่าไทยอยู่ในห่วงโซ่อุปทานของโลก

ดังนั้น จึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบหนักที่จะเกิดขึ้นได้ โดยหลังจากนี้ผลการเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐฯจะออกมาเป็นเช่นไรก็ยังไม่มีผู้ใดที่สามารถตอบได้ แต่สิ่งที่แน่นอนก็คืออัตราการเรียกเก็บภาษีไม่น่าจะกลับไปอยู่ในระดับอีกต่อไป และจะกลายเป็นโลกที่มีการปรับขึ้นภาษี ซึ่งไทยจะทำอย่างไร

“ทรัมป์พยายามดึงดูดการลงทุนให้มีการย้ายฐานผลิตไปยังสหรัฐฯ ไทยซึ่งเคยเป็นผู้รับการลงทุนจากบริษัทญีปุ่น เกาหลี จีน แต่วันหนึ่งจะไม่สามารถใช้ไทยเป็นฐานการผลิตได้ เพระต้องย้ายไปสหรัฐจากมาตรการภาษี ภาคการผลิตก็จะถูกกระทบอย่างชัดเจนในระยะสั้น“

เศรษฐกิจไทยเสี่ยงโตไม่ถึง 1.8% บาฟส์มองงบ 1.57 แสนล้านกระตุ้นช้า

ขณะที่อีกหนึ่งเครื่องยนต์อย่างการท่องเที่ยวนั้น สถานการณ์ปัจจุบันถือว่าน่าเป็นห่วง เพราะรัฐบาลยังไม่สามารถกระตุ้นได้ดีเท่าที่ควร ซึ่งเวลานี้สิ่งที่ถูกกระทบอย่างชัดเจนคือเรื่องความเชื่อมั่น โดยเฉพาะจากกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งต้องพบกับหลากหลายเหตุการณ์ในไทย และมีการสื่อสารออกไปในทิศทางที่ไม่ค่อยดีในช่องทางโซเชียลมีเดีย

“เหตุการณ์ถูกลักพาตัวของหวังซิง (Wang Xing) หรือซิงซิงซึ่งเกิดขึ้นที่ชายแดนแม่สาย-เมียนมา กระทบต่อความเชื่อมั่นอย่างมากกับนักท่องเที่ยวจีนทำให้ไม่ต้องการไทย เพราะกลัวเรื่องความปลอดภัย”

สำหรับภาพลักษณ์ที่ปรากฎในจีนก็คือ เจ้าหน้าที่ซึ่งมีประเด็นเรื่องสินบน และคอร์รัปชัน โดยทำให้จีนกังวลมาก และทำให้ไทยดูแย่ ดังนั้นจึงต้องเร่งฟื้นความเชื่อมั่นเรื่องดังกล่าวนี้ก่อน เพื่อให้นักท่องเที่ยวเห็นว่าไทยจัดการได้ มีการเอาจริงเอาจังกับการแก้ปัญหา แสดงให้เห็นว่ามีพื้นที่ที่ปลอดภัย หากสามารถทำได้นักท่องเที่ยวจีนก็จะเกิดความเชื่อมั่น และหันกลับมาเที่ยวไทยเหมือนเดิม

“ปัจจุบันนักท่องเที่ยวจีนยังเดินทางกันตามปกติ เพียงแต่ปรับเปลี่ยนจุดหมายปลายทางไปญี่ปุ่นแทนไทย จากเดิมที่เลือกไทยเป็นอันดับหนึ่ง โดยประเด็นดังกล่าวถือว่ากระทบอย่างรุนแรง และมีสัญญาณทื่ไม่ค่อยดีในไตรมาส 3-4 ซึ่งจะกระทบภาคการท่องเที่ยว ที่เป็นกลุ่มโรงแรม ร้านอาหาร โดยที่ภาคบริการเป็นภาคที่มีการจ้างงานเป็นจำนวนมาก”

ม.ล. ณัฐสิทธิ์ กล่าวต่อไปอีกว่า สัญญาณเศรษฐกิจปีนี้ไม่ดีแน่นอน เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ส่วนเครื่องยนต์อื่นอย่างการลงทุนภาครัฐ ในความคิดเห็นส่วนตัว ไม่มั่นใจว่ารัฐบาลจะลงทุนในภาคอุตสาหกรรมใด โดยมีการโยกเงินงบประมาณ 1.57 แสนล้านบาทมาลงทุนเพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ หากมองอย่างเป็นกลาง เชื่อว่าการปรับเปลี่ยนดังกล่าวดีกว่าการนำเงินไปทำโคงการเงินดิจิทัลเฟส 3 อย่างแน่นอน เพราะการลงทุนที่ระบบน้ำคือการปฏิรูปให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว

เศรษฐกิจไทยเสี่ยงโตไม่ถึง 1.8% บาฟส์มองงบ 1.57 แสนล้านกระตุ้นช้า

เช่นเดียวกับการลงทุนในด้านคมนาคม ซึ่งก็ดีกว่าในระยะยาว แต่ต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว เพราะว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลงทุนจากภาครัฐต้องใช้เวลา (Lac Time) ไม่ใช่ว่าลงทุนแล้วเศรษฐกิจจะถูกกระตุ้นทันที จะต้องรอไปอีกอย่างน้อย 7-8 เดือน หรือจะกล่าวก็คือไม่ทันภายในปี 68 เพราะฉะนั้น จึงอาจจะทำให้ตัวเลขคาดการณ์จีดีพีของสศช.ที่ 1.8% อาจจะไปได้ไม่ถึง

ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนก็มีการชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ทุกบริษัทจะต้องมีการพิจารณาการลงทุน มองความเสี่ยงอย่างรอบครอบ หรือจะดูตัวเลขการปล่อยสินเชื่อของธนาคารมีการติดลบมาอย่างต่อเนื่อง การลงทุนจึงไม่เกิด ด้านผู้บริโภคทั่วไปก็มีระมัดระวังในการจับจ่ายใช้ง่าย หรือมีการรัดเข็มขัดจากความไม่มั่นใจ เพราะฉะนั้นจึงกระทบอย่างแน่นอนในระยะสั้น

“รัฐถือว่าเดินมาถูกทางในการโยกงบ 1.57 แสนล้านมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจแต่ผลที่จะเกิดขึ้นอาจจต้องใช้ระยะเวลา โดยการลงทุนภาครัฐกว่าจะเห็นผลต่อเศรษฐกิจอย่างน้อยต้องใช้เวลา 7-8 เดือน ซึ่งไม่น่าจะทันต่อการดันจีดีพีให้เติบโตมากขึ้นภายในปีนี้“

———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.thansettakij.com/economy/628535&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw0uRdE7LTZMgOs_QQA3vrbs

Related Post

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *