“พิชัย” ชูตลาดหุ้นไทยยังมีเสน่ห์ ปรับ 3 โครงสร้างพื้นฐานดันจีดีพี – Hoonsmart

HoonSmart.com>>รมว.คลัง ย้ำตลาดหุ้นไทยยังแข็งแกร่งแม้เผชิญแรงกดดัน พร้อมเผยแผนปฏิรูปเศรษฐกิจ – ภาษี – แรงงาน เดินหน้ากระตุ้นเอกชนลงทุน ถอดสลักประกันชีวิตซื้อหุ้น-โทเคนเพิ่ม ลดพึ่งพาพันธบัตร ดันจีดีพีโตเกิน 1.9%

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาในในงาน”เดลินิวส์ ทอล์ก 2025″ หัวข้อ “เสน่ห์หุ้นไทย : พลังผลักดันเศรษฐกิจ”ได้ เน้นถึงความแข็งแกร่งและเสน่ห์ของตลาดหุ้นไทย แม้ดัชนีลดลงจาก 1,400 จุด เหลือราว 1,200 จุด ระดับ 1,100-1,200 จุด น่าลงทุน โดยเฉพาะหุ้นปัจจัยพื้นฐาน

โดยตลาดหุ้นไทย ยังมีเสถียรภาพกว่าหลายประเทศในภูมิภาค มีสภาพคล่องเหลืออยู่มาก  สะท้อนพื้นฐานเศรษฐกิจที่มั่นคง ท่ามกลางแรงกดดันจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ เป็นหลุมหลบภัย จะเห็นว่าทองขึ้น เงินก็ยังไหลเข้าไทย

ทั้งนี้ แบ่งออกเป็น 9 ด้านหลัก ประกอบด้วย

1. เสริมเสถียรภาพตลาดหุ้น ด้วยการปรับกติกาดึงทุนใหญ่กลับมา เปิดโอกาสให้ซื้อหุ้นคืน กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างหารือกับบริษัทประกันภัยและบริษัทประกันชีวิต เพื่อถอดสลักกติกาการลงทุนให้ซื้อหุ้นได้มากขึ้น แทนการเน้นลงทุนในพันธบัตรเท่านั้น พร้อมทั้งมีแนวทางปรับสัดส่วนการลงทุนให้สอดคล้องกับภาวะตลาด

2. ปรับปรุงกฎหมายลงทุน ด้วยการควบคุมการเก็งกำไรผิดปกติ มีการเร่งแก้ไขร่าง พ.ร.บ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และเพิ่มมาตรการควบคุมพฤติกรรมที่บิดเบือนตลาด เช่น Naked short sell และ Algorithmic Trading พร้อมเสนอมาตรการเพิ่มอำนาจหน่วยงานกำกับดูแลให้สามารถสืบสวนและดำเนินคดีได้โดยตรง เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นนักลงทุน

3. สร้างโอกาสลงทุนใหม่ผ่านสินทรัพย์ดิจิทัล ขณะนี้ กำลังจะทำ G-Token อยู่ระหว่างทำแผนเสนอขายโทเคนดิจิทัลของรัฐบาล (G-Token) วงเงิน 5,000 ล้านบาท เป็นทางเลือกใหม่แทนพันธบัตร เพิ่มสภาพคล่องให้ตลาด สนับสนุนนักลงทุนรายย่อย และตลาดรอง นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการแก้ไข พ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัลปี 2561 เพื่อปลดล็อกการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล และพิจารณาแนวคิดใช้คริปโตฯ ควบคู่กับบัตรเครดิต เพิ่มความสะดวกแก่ผู้บริโภค

4. หนุนบริษัทไทย – ปรับทิศ ESG – สร้างระบบเอื้อต่อ SMEs โดยมองว่าตลาดทุนไทยควรสนับสนุนบริษัทขนาดเล็กให้เติบโตเป็นขนาดกลางและใหญ่ โดยการปรับโครงสร้างของบริษัทจดทะเบียนให้สอดคล้องกับแนวโน้มโลก เช่น Green Economy และ ESG รวมถึงสร้างระบบที่เอื้อต่อการพัฒนาในระยะยาว

5. ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ลดพึ่งพาการส่งออก ไทยยังพึ่งพาการส่งออก ที่ปัจจุบันมีสัดส่วนสูงถึง 65% ของจีดีพี แต่สินค้าส่วนใหญ่เป็นปลายน้ำ จึงสร้างมูลค่าเพิ่มได้น้อย แถมยังเป็น Destroy Value อีก โดยเฉพาะสินค้าเกษตร ที่มีออกมาจนล้นตลาด เช่นอ้อย ข้าว รายได้ไม่ไหลกลับประเทศ ส่งผลต่อกำลังซื้อในประเทศ รัฐจึงต้องเร่งปรับโครงสร้างเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและมูลค่าสินค้า ลดพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก

6. กระตุ้นเศรษฐกิจด่วน โดยจะใช้เงิน 1.57 แสนล้านบาทใน 3 เดือน มากระตุ้นเศรษฐกิครอบคลุม 3 ด้านหลัก ได้แก่ ลงทุนเรื่องน้ำ จะช่วยหนุนภาคการเกษตร และการท่องเที่ยว

ด้านถนน เพื่อส่งเสริมภาคการขนส่งและการท่องเที่ยว

และกระตุ้นภาค SME & SMI: สนับสนุนภาคเอกชนให้มีบทบาทมากขึ้น โดยเวลา 3 เดือนนี้จะไปเชื่อมโยงกับงบประมาณปี 2569 และ 2570 ที่พอดี

7. แก้ปัญหาการลงทุนเอกชนต่ำ ด้วยการลดกฎเกณฑ์ ยุ่งยาก ขณะนี้ภาคเอกชนไทยลงทุนเพียง 20% ของจีดีพี จากเดิมเคยอยู่ที่ 40% โดยสาเหตุหลักคือความไม่ชัดเจนของนโยบาย กฎระเบียบที่ซับซ้อน และขาดแรงงานมีทักษะ รัฐจึงต้องปรับปรุงระบบกฎหมายและสนับสนุนการพัฒนาทักษะแรงงาน

8. ปฏิรูประบบภาษี เพื่อขยายฐานรายได้รัฐ ไทยจัดเก็บภาษีได้เพียง 14% ของจีดีพี ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยภูมิภาคที่ 17% ผลมาจากการสูญเสียฐานภาษี และความสามารถด้านการแข่งขัน และยังถูกคู่แข่งแย่งนะกลงทุนไปด้วย รัฐต้องปฏิรูประบบภาษีใหม่ ให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจดิจิทัลและโปร่งใสมากขึ้น

9. แนวโน้มเศรษฐกิจเติบโตต่ำกว่าศักยภาพ แม้ไตรมาสแรกปีนี้จีดีพีโต 3.1% แต่ทั้งปีนักวิเคราะห์หลายสำนักมองว่าอาจโตเพียง 1.9% ซึ่งนายพิชัยกล่าวว่าหากไม่ทำอะไรอาจโตแค่ 1.2% ซึ่งภาครัฐต้องมีบทบาทนำชัดเจนและผลักดันให้เกิดการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่เพื่อผลักดันจีดีพีโตให้ได้สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์

อดีต จีดีพีไทยเคยโตเกือบ 10% บวก ลบ ก่อนลดลงเหลือ 4%, 3% บวก ลบ ปีนี้มองกันที่ 1.9%