“เสี่ยบุณยสิทธิ์” เปรียบเศรษฐกิจไทย เหมือนรถสามล้อ แนะแลนด์บริดจ์คือโอกาส
“เสี่ยบุณยสิทธิ์” หรือ นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา เจ้าพ่อสินค้าอุปโภคบริโภคในประเทศไทย ผู้กุมบังเหียน “เครือสหพัฒน์” อาณาจักรทั้งหมด 300,000 แสนล้าน ที่ก่อตั้งและวางรากฐานโดย “เทียม โชควัฒนา” มากว่า 80 ปี ปัจจุบันมีบริษัทในเครือมากกว่า 300 บริษัท และ 16 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ รวมมูลค่ามาร์เก็ตแคปกว่า 181,420.92 ล้านบาท (ข้อมูลวันที่ 4 มิถุนายน 2568 : ฐานเศรษฐกิจรวบรวม)
ทั้งนี้หลังจากการแถลงข่าวงาน “สหกรุ๊ปแฟร์ ครั้งที่ 29” ซึ่งปีนี้จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-29 มิถุนายน 2568 ณ ไบเทค บางนา ภายใต้แนวคิด “Big Shop Big Show” “เสี่ยบุณยสิทธิ์” ยังได้ให้สัมภาษณ์ ฉายมุมมองและนิยามเศรษฐกิจไทยสำหรับปี 2568
ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ภาคธุรกิจและผู้บริโภคต่างจับตามอง เพื่อทำความเข้าใจถึงแนวโน้มและทิศทางของตลาดในอนาคต ระบุว่า ภาวะเศรษฐกิจ “ลำบากกว่าปีที่แล้ว และยิ่งกว่าช่วงโควิด” พร้อมเปรียบเทียบว่าเศรษฐกิจไทยปัจจุบันเหมือน “รถสามล้อ” ที่ถดถอยอย่างมีนัยสำคัญ
จากเดิมที่ควรเป็นรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ท่ามกลางปัจจัยกดดันจากภายนอก เช่น สงครามการค้า รวมถึงปัจจัยภายในที่ขาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
ย้ำว่า แม้เศรษฐกิจจะชะลอตัว แต่ไทยยังคงมีจุดแข็ง เราควรเลือกยืนอยู่ตรงกลางท่ามกลางสมการสงครามการค้า ไม่ควรชิดซ้ายหรือชิดขวา
อย่างไรก็ตาม การเติบโตของเศรษฐกิจที่ต่ำเป็นผลมาจากหลายปัจจัย และมองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น เช่น การแจกเงิน ไม่ได้สร้างการเติบโตที่ยั่งยืน
“แลนด์บริดจ์” คือรากฐานสำคัญสู่การเติบโตระยะยาว
สิ่งสำคัญที่นายบุณยสิทธิ์เน้นย้ำและอยากให้รัฐบาลเร่งผลักดัน คือ โครงการแลนด์บริดจ์ทางภาคใต้ โดยระบุว่านี่คือ “การพัฒนาเพื่อสร้างการเติบโต” และเป็น “รากฐานเศรษฐกิจไทยในระยะยาว” ซึ่งจะช่วยให้ไทยสามารถส่งสินค้าได้ โดยเดิมต้องผ่านช่องแคบมะละกา ถ้ามีแลนด์บริดจ์ในโซนภาคใต้สามารถถ่ายเทสินค้าในพื้นที่ของไทยได้
ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าของประเทศอย่างมหาศาล “เราน่าจะทำและต้องทำให้เร็ว เพราะการเดินเรือของจีนนั้นขยายเส้นทางได้มากขึ้นเยอะมาก” นายบุณยสิทธิ์กล่าว เพื่อเน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานนี้
การปรับตัวของเครือสหพัฒน์ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
แม้จะมองว่าเศรษฐกิจปีนี้ยากลำบากกว่าปีที่ผ่านมา แต่ “เสี่ยบุณยสิทธิ์” เชื่อว่าองค์กรที่รู้จักปรับตัวจะสามารถอยู่รอดได้ เครือสหพัฒน์เองก็มีการปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับสถานการณ์ โดยมีนโยบายสำคัญดังนี้:
1.เน้นการร่วมทุนกับพันธมิตร: เพิ่มการร่วมลงทุนกับพาร์ทเนอร์มากขึ้น เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งและขยายโอกาสทางธุรกิจ
2.ลดลงทุนในแฟชั่น หันเน้นอาหารและสุขภาพ: ปรับลดการลงทุนในธุรกิจแฟชั่นที่มองว่าถดถอยลง และหันมาให้ความสำคัญกับการลงทุนในธุรกิจอาหารเป็นหลัก
รวมถึงธุรกิจด้านสุขภาพและธุรกิจสัตว์เลี้ยง ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี
สำหรับประเด็นการจับจ่ายใช้สอยในระยะสั้น 3-6 เดือน
นายบุณยสิทธิ์ ชี้ว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือการทำให้นักลงทุนกลับมามีความมั่นใจ และต้องพิจารณาว่าเหตุใดหุ้นจึงตก ขณะเดียวกัน ก็มองเห็นโอกาสของไทยในการนำสินค้าไปขายยังประเทศญี่ปุ่นที่เศรษฐกิจก็ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
นายบุณยสิทธิ์ยังได้กล่าวถึงการส่งไม้ต่อให้กับทายาทรุ่นที่ 3 และพร้อมวางมือในปีนี้ว่า คนที่มารับช่วงต่อต้องมี “ความตั้งใจและความสามารถที่แตกต่างกัน”
โดยเน้นย้ำถึง “DNA” สำคัญที่ต้องรักษาไว้คือ “ความซื่อสัตย์” ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่ “เทียม โชควัฒนา” ได้วางไว้
การนิยามเศรษฐกิจไทยปีนี้ว่าเป็น “รถสามล้อ” แสดงให้เห็นถึงเราเผชิญกับความถดถอย และมีความท้าทายที่รออยู่ แต่ในขณะเดียวกันก็สะท้อนถึงการมองเห็นโอกาสในการปรับตัวและพัฒนา เพื่อให้ยังคง “อยู่ดี” ได้เหมือนในยุคสามล้อที่เคยผ่านมา โดย “เสี่ยบุณยสิทธิ์” กล่าวว่าตลอดระยะเวลากว่า 80 ปี เครือสหพัฒน์ได้ผ่านพ้นเศรษฐกิจขึ้นลงมานับครั้งไม่ถ้วน
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.thansettakij.com/business/marketing/629255&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw2Sv5kf5UM6TyDiO3OqdX8l