เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันกำลังเผชิญกับภาวะที่หลายคนมองว่า ‘สิ้นหวัง’ ความสิ้นหวังนี้ไม่ได้เกิดจากความไม่รู้ปัญหาหรือไร้หนทางแก้ไข แต่มาจากองค์ประกอบพื้นฐานของ ‘ความหวัง’ ที่เปรียบเสมือนแสงสว่างปลายอุโมงค์ ทอดผ่านความมืดเผยให้เห็นทาง และสร้างความเชื่อมั่นได้ว่าการเริ่มออกเดิน แม้จะต้องผ่านความยากลำบาก แต่จะพาเราไปถึงแสงนั้นได้ในที่สุด แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันของเศรษฐกิจไทย องค์ประกอบทั้งสามนี้กลับพร่าเลือน จึงเป็นที่มาของความรู้สึกสิ้นหวังของผู้คนจำนวนมาก
รากเหง้าของความสิ้นหวัง: สามองค์ประกอบที่ขาดหายไป
แนวคิดทางจิตวิทยาระบุว่าความหวังประกอบด้วย 3 สิ่งสำคัญ ได้แก่ ‘เป้าหมาย x หนทาง x การขับเคลื่อน’ ที่ทำให้เรารู้สึกว่ามีโอกาสที่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นได้ ในบริบทเศรษฐกิจไทย องค์ประกอบเหล่านี้กลับไม่ชัดเจน:
- เป้าหมายร่วมทางเศรษฐกิจของประเทศไม่ชัดเจน (Unclear Shared Goals): ผู้คนในสังคมต่างมีเป้าหมายของ ‘แต่ละคน’ ไม่ใช่ ‘เป้าหมายร่วม’ สิ่งนี้ทำให้การออกแบบนโยบายสาธารณะเป็นไปได้ยากมาก ยกตัวอย่างเช่น การออกแบบกฎจราจรที่มุ่งตอบสนองเป้าหมายส่วนตัวของแต่ละคนจะนำไปสู่ความวุ่นวาย แต่หากออกแบบกฎเพื่อเป้าหมายของการใช้ถนนร่วมกันจะสามารถทำได้ หากประเทศขาดเป้าหมายร่วมที่ชัดเจน ปัจจัยในการสร้างความหวังก็จะถูกลดทอนลง เหมือนไม่มีจุดรวมใจรวมพลังให้ฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกัน
เราเห็นตัวอย่างประเทศอื่นที่มีเป้าหมายร่วมทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน เช่น จีนมีเป้าหมาย ‘Common Prosperity’ ญี่ปุ่นหลังสงครามโลกก็มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการสร้างชาติ สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจในประเทศและอำนาจทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ แม้แต่ในช่วงที่ญี่ปุ่นเข้าสู่ Lost Decades ก็มีเป้าหมายชัดเจนว่าจะต้องหลุดพ้นจากช่วงเวลาดังกล่าวให้ได้ (และพวกเขาก็ทำได้แล้ว) หรือแม้แต่สหรัฐฯ เองภายใต้การนำของทรัมป์ก็มีเป้าหมายที่ชัดเจนคือ ‘Make America Great Again’ ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการมีเป้าหมายร่วมเป็นสิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ
- หนทางไม่ชัดเจน (Lack of Clear Pathways): เมื่อไม่มีเป้าหมายร่วมที่ชัดเจน ผู้คนก็ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน คำแนะนำที่มีต่อทางออกของเศรษฐกิจไทยที่มีอยู่มักจะมาจากจุดตั้งต้นที่แตกต่างกัน หรือเพื่อเป้าหมายที่แตกต่างกัน ซึ่งทำให้ไม่รู้ว่าจะเลือกหนทางใด สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าเรายังไม่เห็น ‘หนทาง’ ที่จะไปร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นเพราะไม่มีหนทาง หรือมีหนทางมากเกินไปจนไม่รู้ว่าหนทางใดตอบโจทย์
- กระบวนการไม่มีพลัง (Lack of Powerful Processes): เมื่อเป้าหมายไม่ชัดเจน และหนทางหลากหลาย กระบวนการต่างๆ ก็ต่างคนต่างทำ การกระทำเหล่านี้อาจสวนทางกัน หรือไม่เชื่อมโยงกัน ทำให้กระบวนการโดยรวม ‘ไม่มีพลัง’ ทั้งหมดนี้เกิดจากการที่ประเทศไม่มีเป้าหมายร่วมกันที่ใหญ่พอ ที่จะบอกได้ว่าผู้ดำเนินนโยบายสาธารณะและคนไทยทุกคนมีส่วนร่วมรับผิดชอบในการช่วยกันพาประเทศออกจากสถานการณ์ที่เปรียบเหมือนอยู่ในถ้ำ
หนทางสู่การปฏิรูปและสร้างเศรษฐกิจที่ตอบโจทย์ความอยู่ดีกินดี มีสมดุล
การปฏิรูปเป็นเรื่องที่ยากกว่าการพัฒนา เพราะการพัฒนาคือการที่ทุกคนได้ไปพร้อมกับสังคมโดยรวม แต่การปฏิรูปหมายถึงการที่มีคนได้และคนเสีย แม้โดยรวมแล้วจะได้รับประโยชน์ ที่ผ่านมาเราเสียเวลาไปกับการคิดถึง ‘การจัดการองค์ความรู้’ ในการปฏิรูป แต่กลับไม่ได้ใช้เวลาไปกับ ‘การจัดการผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย’ ในกระบวนการปฏิรูป โจทย์ในวันนี้จึงไม่ใช่เรื่องของความไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไร แต่คือ ‘รู้แล้วทำไมทำไม่ได้’
โครงสร้างสถาบันทางเศรษฐกิจ (ซึ่งหมายถึงแรงจูงใจ กฎระเบียบ และกลไก) มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันกำหนดพฤติกรรมและทิศทางวิวัฒนาการของระบบเศรษฐกิจ หากเราต้องการให้คนไทยมีนวัตกรรม แต่กลับส่งเสริมการผูกขาด คนในระบบเศรษฐกิจก็จะไม่จำเป็นต้องคิดค้นสิ่งใหม่ เพียงแค่แสวงหาความสัมพันธ์เพื่ออำนาจเหนือตลาดเท่านั้น หรือหากต้องการให้แรงงานไทยเพิ่มผลิตภาพ แต่สุดท้ายแล้วคนที่มีความก้าวหน้าคือคนที่มีเส้นสาย สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า ‘โครงสร้างสถาบันทางเศรษฐกิจ’ หรือ ‘แรงจูงใจ’ เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของผู้คนในระบบเศรษฐกิจ ดังนั้น ปัญหาอาจจะไม่ได้อยู่ที่คน แต่เป็นระบบกลไกที่วางแรงจูงใจให้คนไทยมีพฤติกรรมแบบนี้
การปฏิรูปทางเศรษฐกิจคือการปรับโครงสร้างเชิงสถาบัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและกระจายผลประโยชน์ให้ทั่วถึง การปฏิรูปคือ ‘Collective Action’ ที่ต้องอาศัยการตัดสินใจและการมีส่วนร่วมของคนในระบบเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ความท้าทายของการปฏิรูปคือความไม่เสมอกันสองประการ 1) ความไม่เสมอกันระหว่างผู้ได้และผู้เสียประโยชน์: การปฏิรูปมักมีผู้เสียประโยชน์ในระยะสั้น ทั้งกลุ่มผลประโยชน์เดิมที่กลัวสูญเสียสถานะและอิทธิพล และผู้ที่ขาดความสามารถในการปรับตัว 2) ความไม่เสมอกันระหว่างเงื่อนเวลาในการจ่ายต้นทุนกับการรับประโยชน์: ต้นทุนมักจะต้องจ่ายทันที แต่ผลประโยชน์จะเกิดขึ้นในอนาคตและมีความไม่แน่นอน ซึ่งทำให้คนสนับสนุนการปฏิรูปน้อยลง แม้กระทั่งคนที่น่าจะได้รับประโยชน์ก็ตาม นอกจากนี้ วัฏจักรทางการเมืองมักสั้นกว่าระยะเวลาที่การปฏิรูปจะเห็นผล ทำให้ผู้ดำเนินนโยบายมีแรงจูงใจเน้นนโยบายระยะสั้นมากกว่าการปฏิรูปที่ต่อเนื่องยาวนาน
ดังนั้น การปฏิรูปที่สัมฤทธิผลได้จึงควรมีคุณลักษณะ 3 ประการเพื่อเอาชนะความไม่เสมอกันเหล่านี้ 1) การปฏิรูปต้องมาจากการยินยอมและการมีส่วนร่วมอย่างทั่วถึง: ต้องมีกลไกสื่อสารและทำงานร่วมกันระหว่างผู้ปฏิรูปและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การสื่อสารที่ดีช่วยปรับแรงจูงใจและสร้างการสนับสนุน 2) ผู้ปฏิรูปมีแรงจูงใจและอำนาจในการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง แรงจูงใจควรอยู่เหนืองานวัฏจักรเศรษฐกิจและการเมือง และผู้ขับเคลื่อนต้องมีอำนาจในการประสานงาน คานอำนาจกลุ่มผลประโยชน์ และมีความน่าเชื่อถือ 3) มีเครื่องมือปฏิรูปที่หลากหลาย ทรัพยากรเพียงพอ และหน่วยปฏิบัติการที่มีกำลังขับเคลื่อน ต้องมีเครื่องมือที่เหมาะสมกับบริบท มีเงินทุนสนับสนุนที่ไม่กระทบฐานะการคลัง และหน่วยงานระดับปฏิบัติการที่มีแรงจูงใจและศักยภาพ
จากสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน ผมเชื่อว่าสังคมไทยกำลังเคลื่อนเข้าสู่ภาวะที่มี ‘ความเข้าใจร่วมกัน’ ว่าการยอมสละผลประโยชน์ระยะสั้นเพื่อกระจายการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจให้คนส่วนใหญ่ จะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าและยั่งยืนกว่าในระยะยาว การยอมให้เกิดการปฏิรูปจะเปิดโอกาสให้เศรษฐกิจเติบโตและกระจายผลประโยชน์ได้อย่างทั่วถึง เป็นการสร้าง ‘เค้กก้อนที่ใหญ่ขึ้น’ แทนที่จะแย่งชิงส่วนแบ่งจากก้อนเค้กที่ขนาดเท่าเดิม
หนทางข้างหน้า: ความหวังที่จับต้องได้
หนทางสู่การสร้างความหวังเริ่มต้นจาก ‘สมการความหวัง’ ที่ได้กล่าวไว้ในตอนต้น นั่นคือ การตั้งเป้าหมายร่วม ว่าพวกเราทุกคนอยากเห็นเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างไร ที่สำคัญคือต้องเกิดจากกลไกการมีส่วนร่วม และทุกคนต้องวาดฝัน ‘หน้าตาของเศรษฐกิจไทยของทุกคนร่วมกัน’
ท่ามกลางความท้าทายและความสิ้นหวังที่เกิดขึ้น ส่วนตัวแล้วผมยังคงมีความหวัง หวังว่าจะได้เห็นระบบเศรษฐกิจไทยกลายเป็นประเทศที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศรายได้สูงในช่วงชีวิตนี้ จากการคำนวณโดยคร่าว เศรษฐกิจไทยจะต้องเติบโตได้เฉลี่ย 3.6% ต่อปี ในช่วง 20 ปีข้างหน้า ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็เป็นไปได้ การเพิ่มศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยอีก 1% ยังอยู่ในวิสัยที่ทำได้ แต่ต้อง ‘คิดใหม่ ทำใหม่’ นั่นคือต้องมีแบบจำลองในการพัฒนาประเทศใหม่
การจะไปถึงจุดนั้นได้ ผมเชื่อว่าประเทศไทยจะต้องสร้างระบบเศรษฐกิจที่ ‘สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจที่เท่าเทียมกัน’ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้โดยการสร้าง ‘3 ความเท่าเทียม’ ให้กับคนไทยทุกคน ได้แก่ 1) สร้างโอกาสที่เท่าเทียมกันในการ ‘เข้าถึงทรัพยากร’ 2) สร้างโอกาสที่เท่าเทียมกันในการ ‘เข้าสู่ตลาด’ และ 3) สร้างโอกาสที่เท่าเทียมกันใน ‘การแข่งขัน’
ความเชื่อมโยงและการทำงานร่วมกัน: จากปัญหาไปสู่การลงมือทำ
ปัญหาปัจจุบันของเราไม่ใช่ไม่รู้ปัญหาและไม่ใช่ไม่รู้ทางออก แต่ปัญหาคือ ‘แล้วเราจะลงมือทำกันได้หรือยัง’ ด้วยความเข้าใจในปัญหา โอกาสในการปฏิรูปที่เปิดกว้าง และความตระหนักร่วมกันว่าการเสียสละระยะสั้นเพื่อประโยชน์ระยะยาวคือหนทางสู่ ‘เค้กก้อนที่ใหญ่ขึ้น’ ทำให้เรามีเหตุผลเพียงพอที่จะมีความหวังและลงมือทำร่วมกันเพื่ออนาคตของเศรษฐกิจไทยที่สมดุลและยั่งยืน
ความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ประเทศไทยกำลังเผชิญมีลักษณะเป็นปัญหาเชิงระบบที่เชื่อมโยงหลายมิติ และไม่สามารถจัดการได้โดยหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งโดยลำพัง การสอดประสานบทบาท นโยบาย และกลไกของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจึงเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเพิ่มประสิทธิภาพของนโยบายโดยรวม ปัญหาปัจจุบันคือ ‘ปัญหาร่วม’ ที่มีความท้าทายต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ สังคม และประเทศ ดังนั้น ทุกคนมีหน้าที่และความรับผิดชอบร่วมกันที่จะทำให้เศรษฐกิจรอดพ้นปัญหาที่กำลังเป็นอยู่ไปได้ เรามักคิดว่านี่เป็นงานสาธารณะ เป็นหน้าที่ของคนอื่น แต่คำว่า ‘สาธารณะ’ หมายถึง ‘พวกเราทุกคน’
สุดท้ายนี้ ผมขอทิ้งคำถามชวนผู้อ่านหาคำตอบว่า ในบทบาทหน้าที่ที่เป็นอยู่นั้น ท่านจะเริ่ม ‘ลงมือทำ’ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายร่วมของประเทศไทยให้สัมฤทธิ์ผลได้อย่างไร เพื่อเราจะได้ร่วมกันเปลี่ยนเศรษฐกิจไทยจาก Not OK // OK.
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://thestandard.co/thai-economy-reform-hope-pathway/&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw2Ta6W_ug7oF09YQch_bs1S