วันที่ 18 มิ.ย. นายยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (อีไอซี) เปิดเผยว่า อีไอซี คาดเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ปี 68 จะขยายตัว 1.5% และในปี 69 ขยายตัว 1.4% โดยในครึ่งปีหลังจะเห็นจีดีพีเติบโตต่ำกว่า 1% และมีแนวโน้มที่เห็นเศรษฐกิจไทยถดถอยเชิงเทคนิค หรือติดลบ 2 ไตรมาสติดต่อกัน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่ากังวล มาจากสงครามการค้า ความไม่แน่นอนภาคการส่งออกชะลอตัว คาดทั้งปีติดลบ 0.1%
ทั้งนี้ ผลจากสงครามการค้าสหรัฐกับประเทศคู่ค้า ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวไทยได้รับผลกระทบ เนื่องจากนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาไทยลดน้อยลง คาดว่าในปี 68 นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในไทย 34.2 ล้านคน น้อยกว่าปี 67 ที่มีอยู่ 35.5 ล้านคน ส่วนหนึ่งมาจากปัญหานักท่องเที่ยวจีนและเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ทำให้นักท่องเที่ยวระมัดระวังการใช้จ่ายจากความไม่แน่นอนสูง
นอกจากนี้ การลงทุนหดตัว 2.2% ในปีนี้ เพราะนักลงทุนชะลอการลงทุนเพื่อรอดูความชัดเจนในเรื่องต่างๆ และไทยได้มีปัญหาจากแผลเป็นทางเศรษฐกิจ ทั้งหนี้ครัวเรือนที่มีภาระหนี้สูง การขยายตัวของจีดีพี และสินเชื่อสถาบันการเงินชะลอตัว ทำให้การใช้จ่ายบริโภคของประชาชนค่อนข้างอ่อนแรงต่อเนื่อง รวมทั้งตลาดแรงงานเป็นเรื่องที่ต้องติดตาม เพราะการจ้างงานลดลง คนว่างงานสูงและมีการปิดกิจการที่มากขึ้น
นายยรรยง กล่าวว่า รายได้ของแรงงานไทยยังต่ำกว่ารายได้ที่แท้จริง เช่น มี 100 บาทก่อนโควิด ตอนนี้มีเพียง 98 บาท ซึ่งต้องติดตามนโยบายต่างๆ มารองรับ โดยเฉพาะนโยบายการคลังที่รัฐบาลปรับวงเงิน 1.57 แสนล้านบาทจากการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทมาเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในเรื่องอื่นที่ตอบโจทย์มากกว่า เช่น โครงการน้ำ การท่องเที่ยวและการค้า ซึ่งถือเป็นประโยชน์ เพราะมีผลทวีคูณต่อระบบเศรษฐกิจมากกว่าการแจกเงินดิจิทัล แต่ระยะเวลามีผลอาจใช้มากกว่า
อย่างไรก็ตามมองว่าวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาทยังไม่เพียงพอรองรับความท้าทาย โดยอาจต้องเพิ่มวงเงินให้มากขึ้น ขณะที่ในช่วงที่การเก็บภาษีได้ต่ำ และต้องการใช้เงินจำนวนมากเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อาจทำให้หนี้สาธารณะของไทยเร่งขึ้นชนเพดานอยู่ที่ 70% ต่อจีดีพีในอีก 1-2 ปีข้างหน้า ขณะเดียวกันนโยบายการเงินต้องเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้อีก 2 ครั้งมาอยู่ที่ 1.25% และอีก 1 ครั้งในปี 69 มาอยู่ที่ 1% และกว่านโยบายการเงินจะมีผลต้องใช้เวลามากถึง 5-8 ไตรมาส
นายยรรยง กล่าวถึงการขึ้นค่าแรง 400 บาท โดยมองว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะค่าแรงไทยต่ำเมื่อเทียบกับค่าครองชีพ แต่ปัญหาคือต้องดูว่ากำลังแรงงานในไทยเพียงพอหรือไม่ เพราะได้นำเข้าแรงงานจากต่างประเทศค่อนข้างสูง ซึ่งการปรับเพิ่มค่าแรงอาจทำให้รายได้ไปสู่ความยั่งยืนและทำให้ค่าจ้างแรงงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะที่วงเงิน 1.57 แสนล้านบาท ถ้ามีในเรื่องการเพิ่มทักษะแรงงานจะยิ่งเป็นประโยชน์มากขึ้นด้วย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพรายได้
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.dailynews.co.th/news/4826998/&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw2_Pb1jKfw5M6c3VvMKximf