เศรษฐกิจไทยครึ่งหลัง ‘วิกฤติ‘ ไร้เครื่องยนต์ใหม่- ‘หนี้ล้น‘
17 มิ.ย. 2025 เวลา 6:00 น.
องค์กร-หน่วยงานเอกชน ชี้เศรษฐกิจครึ่งปีหลังวิกฤติ ไร้เครื่องยนต์ใหม่ เผชิญปัญหาหนี้ล้น ฉุดรั้งจีดีพี ภาคการผลิตถดถอย
องค์กร-หน่วยงานเอกชน ชี้เศรษฐกิจครึ่งปีหลังวิกฤติ ไร้เครื่องยนต์ใหม่ เผชิญปัญหาหนี้ล้น ฉุดรั้งจีดีพี ภาคการผลิตถดถอย
และจากปัญหาเฉพาะหน้าที่เราเผชิญวันนี้ ทั้งจากผลกระทบเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัว ผลกระทบจากนโยบาย “ทรัมป์” จะนำพาเศรษฐกิจไทยเดินเข้าสู่ “วิกฤติ” หรือไม่
“รักษ์ วรกิจโภคาทร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM ฉายภาพให้เห็นถึงเศรษฐกิจไทย ครึ่งปีหลัง 2568 หลังจากนี้ว่าสถานการณ์ “น่าห่วง”
โดยจุดชนวนสำคัญที่ซ้ำเติมเศรษฐกิจไทย คือสถานการณ์ “หนี้” ทั้งครัวเรือนและธุรกิจไทยยังคงเป็นความท้าทายสำคัญที่อาจนำไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ถึงต้นปีหน้าได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีแอล ที่คาดว่าจะพุ่งสูงถึง 1.2-1.5 ล้านล้านบาทในครึ่งปีหลังนี้
ซึ่งหากดูภาพรวมเศรษฐกิจไทยขณะนี้ ถูกมองว่าเป็น “K-shape” แต่เป็น K ที่หางข้างบนสั้นกว่าข้างล่างหมายถึงจำนวน “คนตาย” คนที่กำลังจะตายจากธุรกิจที่ล้มเหลว มีมากกว่า “คนเกิด” หรือธุรกิจที่ฟื้นตัว
ดังนั้น ภาครัฐและผู้ที่เกี่ยวข้องควรเร่งฟื้นฟูผู้ประกอบการที่เป็นหนี้เสียให้ฟื้นตัวและกลับคืนสู่ระบบเศรษฐกิจให้เร็วที่สุด เพื่อลดจำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายในระบบ
“ชวินดา หาญรัตนกูล” กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย (KTAM) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ทั้งจากปัจจัยภายในประเทศและสถานการณ์โลก
โดยเฉพาะความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้บริโภค ประกอบกับข้อพิพาททางการค้าในเวทีโลกที่ยังไม่คลี่คลายเต็มที่ โดยการเจรจาหลายประเด็นสำคัญยังคงอยู่ระหว่างการดำเนินการ และคาดว่าจะมีความชัดเจนภายในเดือนก.ค.นี้
โดยมองว่าการเจรจาการค้าในระดับนานาชาติยังไม่จบ ไม่ใช่แค่ประเทศไทย แต่หลายประเทศทั่วโลกยังอยู่ในขั้นตอนการหารือ ซึ่งช่วง 90 วันนับจากนี้ โดยเฉพาะก่อนสิ้นเดือนก.ค. จะเป็นช่วงเวลาที่มีความสำคัญอย่างมากในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจไทยต่อไป
อีกปัจจัยที่มีผลกระทบเศรษฐกิจไทย คือปัจจัยทางการเมืองภายในประเทศเองก็เป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะความไม่แน่นอนในทางการเมืองส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการบริโภคและการลงทุนทั้งของนักลงทุนในประเทศและต่างชาติ
“ถ้าการเมืองยังไม่นิ่ง การลงทุนก็จะชะลอตาม และจะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวม”
สำหรับภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรก มีสัญญาณบางอย่างที่พอจะเป็นบวก โดยเฉพาะภาคการส่งออกในไตรมาสที่ 2 ซึ่งหลายภาคธุรกิจพยายามเร่งการผลิตและส่งออกให้มากที่สุดก่อนผลกระทบจากมาตรการการค้าจะเริ่มมีผลเต็มที่ แต่หากดูการเติบโตทางเศรษฐกิจในภาพรวมตลอดทั้งปีนี้อาจยังไม่สดใสนัก
“ถ้าสถานการณ์ยังเป็นอย่างในปัจจุบัน เรามองว่าจีดีพีไทยในปีนี้อาจโตไม่ถึง 2% ซึ่งนั่นหมายความว่า รายได้ภาครัฐจะลดลง และส่งผลต่อความสามารถในการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างจำกัด”
ดังนั้นภายใต้บริบทดังกล่าว รัฐบาลจำเป็นต้องมีบทบาทเชิงรุกมากขึ้น ทั้งในด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและการใช้จ่ายภาครัฐ เพื่อประคองกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อได้ เพราะภาคเอกชนเองยังคงมีท่าทีระมัดระวังในการลงทุนอย่างชัดเจน
เหล่านี้ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีผลกระทบต่อตลาดหุ้น เช่นเดียวกันตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบจากปัจจัยเฉพาะตัวมากกว่าปัจจัยโลก นักลงทุนต่างชาติชะลอการลงทุนไปตั้งแต่ต้นปีจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ส่วนคนไทยเองก็ได้รับผลกระทบจากนโยบายที่ยังไม่ชัดเจน เช่น ประเด็น LTF ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการลงทุน
“จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” ผู้ก่อตั้ง Bitkub มองว่า ความท้าทายของเศรษฐกิจไทยขณะนี้ มีทั้งเรื่องระยะสั้นและเรื่องยาว ความท้าทายเร่งด่วนที่สุดในระยะสั้นของประเทศไทยคือ “หนี้ครัวเรือน” ที่พุ่งทะลุ 90% ต่อจีดีพี ซึ่งสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ
ตัวเลขนี้ไม่ใช่เพียงสถิติ แต่สะท้อนถึงความเปราะบางของระบบเศรษฐกิจฐานรากและความเสี่ยงเชิงระบบที่อาจขยายวงกว้างหากไม่มีมาตรการจัดการอย่างจริงจัง
ดังนั้น ความจำเป็นในการลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือน เพราะหากไม่สามารถลดได้การบริโภคภายในประเทศก็จะชะลอลงอย่างถาวร ฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งระบบ
อีกหลายปัจจัยที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจไทย ทั้งจากปัญหา “ไทยแก่ก่อนรวย” ประชากรไทยมากกว่า 20% ในปัจจุบันมีอายุมากกว่า 60 ปี และในอีกไม่ถึง 5 ปี ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคม Super Aging อย่างเต็มรูปแบบ ผลที่ตามมาคือศักยภาพการผลิตของประเทศจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
และมองว่าปัญหาวันนี้ที่ใหญ่ที่สุดคือ วิกฤติสุขภาพ ที่กำลังถูกคุกคามความยั่งยืนของระบบประกันสังคมและกองทุนสุขภาพของรัฐ วันนี้ไทยมีผู้ป่วยติดเตียงจำนวนมาก ยังขาด Health Literacy อย่างรุนแรง ไม่ต่างจากวิกฤติการขาดความรู้ทางการเงิน ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
ดังนั้นทางออกของประเทศไทยคือต้องผลักดันศูนย์กลางการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม (Longevity & Wellness Hub)
“วันนี้ประเทศไทยเราขาด Growth engine เราแทบไม่เหลืออะไรแล้ว ดังนั้นสิ่งที่หวังได้คือ การหาทางรอด ทางออกสำหรับประเทศไทยคือการมุ่งไปสู่ wellness hub ต่างๆที่จะสร้างการเติบโตใหม่ให้กับเศรษฐกิจไทยได้”
“กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ” ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท MTS Gold แม่ทองสุก มองว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2567 นี้น่าจะเติบโตได้เพียง 1.8% แม้ว่าในไตรมาสแรกตัวเลขจะดูดีอยู่ที่ 3.1% แต่เมื่อดูแนวโน้มไตรมาส 2-4 แล้วคาดว่าการเติบโตจะชะลอลงเหลือเพียง 1% ต้น ๆ เท่านั้น สะท้อนภาวะการบริโภคที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่และแรงกระตุ้นจากนโยบายรัฐที่ไม่สามารถสร้างโมเมนตัมทางเศรษฐกิจได้อย่างชัดเจน
สอดคล้องกับโลก ที่ล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับประมาณการจีดีพีโลกลงเหลือ3.1% ต่ำกว่าก่อนโควิด โดยมีจุดชนวนสำคัญมาจาก “สหรัฐ” ที่เป็นจุดศูนย์กลางของความเปราะบางทางเศรษฐกิจ
“วิน พรหมแพทย์” CFA ประธานกรรมการบริหาร บลจ. กสิกรไทย กล่าวว่า ภายใต้โลกที่ผันผวน เศรษฐกิจมีความเปราะบางเขาเชื่อว่า ตลาดการเงินโลกเริ่มเบาใจมากเกินไป จากสถานการณ์สงครามภาษีของสหรัฐ ผ่อนคลายชั่วคราว เพราะหลังจากก.ค.นี้ หลังครบ 90 วัน อาจเป็นไปได้ที่ทรัมป์อาจกลับมาใช้มาตรการที่รุนแรงกว่าเดิม
ดังนั้นตอนนี้เหมือนพายุยังไม่เข้าเต็มตัว แต่เรากำลังยืนอยู่บนชายหาด ถ้าไม่เตรียมตัว พอร์ตก็อาจพังได้ ดังนั้นการอยู่รอดท่ามกลางความปั่นป่วนนี้ นักลงทุนจัดพอร์ตหลัก 80% ของเงินลงทุน ต้องกระจายความเสี่ยงหลายสินทรัพย์และกระจายการลงทุนทั่วโลกเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่ง
ทางออกและโอกาสของ “เศรษฐกิจไทย”
“ณัฐพรรษ ตันบุญเอก” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงินกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ WHA กล่าวว่า ในส่วนของการลงทุน โดยเฉพาะในตลาดหุ้นนั้น สำหรับลูกค้ารายใหญ่ ดูเหมือนว่าจะมีการคาดการณ์สถานการณ์ไว้ล่วงหน้าอยู่แล้ว และแผนการลงทุนนอกประเทศจีนของพวกเขาก็ยังคงดีอยู่
แต่ภายใต้สถานการณ์ในปัจจุบันมีความผันผวนสูงมาก จึงจำเป็นต้องติดตามกันเป็น “รายสัปดาห์” และ “รายเดือน” รวมถึงภาคส่งออก จำเป็นต้องพิจารณาเป็นรายภาคส่วน รายย่อย หรือแม้กระทั่งรายบุคคล
เขามองว่า ทางรอดของเศรษฐกิจไทยคือ ต้องสร้างประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เข้ามานี้ ยกตัวอย่างเช่น ลูกค้า Data Center ที่เข้ามาลงทุนในไทย คาดว่าจะวางโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ AI ดังนั้น ภารกิจสำคัญของประเทศไทยคือการหาวิธีใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ที่สำคัญนี้ที่ได้ดึงดูดเข้ามาได้แล้ว
“พิริยะ สัมพันธารักษ์” ผู้ก่อตั้ง Right Shift และกรรมการผู้จัดการ บริษัท CDC chalokDotCom กล่าวว่า ประเด็นที่ว่าเศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงจาก “คนคนเดียว” นั้นอาจเป็นคำพูดที่ “มักง่ายไปหน่อย”
เพราะเขามองว่าปัญหาของระบบเศรษฐกิจทั่วโลกไม่ได้มาจากบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่เป็นผลพวงที่สะสมมาตลอดระยะเวลาประมาณ 50 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าใครจะขึ้นมามีอำนาจหรือเป็นรัฐบาล ล้วนมีส่วนร่วมในการก่อให้เกิดปัญหานี้ทั้งสิ้น รวมถึงอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในสมัยที่แล้วด้วย
ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยได้ลดลงจนถึงระดับศูนย์ และไม่สามารถลดต่ำลงไปได้อีกปริมาณหนี้ของรัฐบาลที่เกิดขึ้นใน 1 ปีปัจจุบัน เทียบเท่ากับการสร้างหนี้หลายร้อยปีในอดีต การใช้หนี้รัฐบาลในปัจจุบันไม่ใช่การใช้คืนจริง แต่เป็นการสร้างหนี้ใหม่มาโปะหนี้เก่า
คล้ายกับการเปิดบัตรเครดิตใหม่มาโปะบัตรเก่าไปเรื่อยๆพฤติกรรมเช่นนี้ถูกคาดการณ์ว่าจะนำไปสู่ “หายนะ”
“ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์” ในฐานะประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) มองว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลกยังคงเป็นปัจจัยที่นักลงทุนทั่วโลกจับตามอง ทั้งผลกระทบจากสงครามการค้าสหรัฐ-จีน ไปจนถึงทิศทางดอกเบี้ยของธนาคารกลางใหญ่
สำหรับเศรษฐกิจไทยนั้น อาจไม่ได้แย่อย่างที่หลายคนกังวล ที่ยังเห็นแสงสว่างในภาคธุรกิจ บริการ และตลาดทุน โดยมี “Growth Engine” ใหม่ ๆ ที่พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หากสามารถสร้างความเชื่อมั่นและปลดล็อกอุปสรรคเชิงโครงสร้างได้ทัน
“ถ้าไม่มีเหตุสุดวิสัยอะไร เช่น น้ำท่วมใหญ่ หรือวิกฤติภายนอกที่รุนแรง ผมเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังน่าจะไปต่อได้”
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1185139&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw3TdqoVRI_Dmr0cu7Ml2ogd