เศรษฐกิจถดถอย กำลังซื้อหดหาย! “สารัชถ์” ชี้ทางรอดวิกฤติ
เศรษฐกิจไทย 2025 แค่ชะลอ หรือกำลังเดินสู่จุดเสี่ยงซ้ำรอยอดีต ?
เศรษฐกิจประเทศไทยอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ท่ามกลางเสียงคาดการณ์ GDP ที่แตกต่างแต่ลดลงไม่ต่างกันก็หาใช่เรื่องที่ดี ด้วยมีตัวแปรสำคัญ “ภาษีสหรัฐฯ”
หากไทยเสียเปรียบเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง อาจกลายเป็นชนวนให้โรงงานย้ายฐานการผลิต ความสามารถแข่งขันตกต่ำ และแรงงานไทยเสี่ยงตกงาน
คำถามคือ วิกฤติครั้งนี้ถือว่าหนักหนาสาหัสกว่าทุกครั้งหรือไม่ ?
“สารัชถ์ รัตนาวะดี” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดใจกับ “โพสต์ทูเดย์” ว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังปี 2568 หลายฝ่ายออกมาพูดหลายอย่างที่ชวนสับสน
บางคนบอกตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ หรือ GDP (Gross Domestic Product) เหลือเพียง 1% บางคนบอกว่าจีดีพีโต 2% หรือ 3%
โดยส่วนตัวมองว่าตอนนี้มีตัวแปรสำคัญคือเรื่อง “ภาษีของอเมริกา” ตราบใดที่ยังไม่ชัดเจนจะทําให้คาดการณ์จีดีพีต่างๆได้ยาก เพราะหากเกิดกรณีที่ประเทศไทยมีภาษีสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นคู่แข่ง ที่มีธุรกิจคล้ายกัน ไม่ว่าจะเป็นสินค้าเกษตร, สินค้าประมง ฯลฯ
นั่นหมายความว่า.. ความสามารถในการแข่งขันของไทยลดลง ขายสินค้าในอเมริกาได้ยากยิ่งขึ้น ผลสุดท้ายอาจมีการย้ายโรงงานไปที่อื่นได้
“ถ้าภาษีเราแพงกว่าคู่แข่งเชื่อว่าเราจะขายไปอเมริกายาก และอาจจะมีการย้ายโรงงานไปผลิตที่อื่นแทน เพราะว่าพวกนี้มันอยู่ที่ต้นทุนเป็นหลัก อันนี้จะเป็นประเด็นที่น่าห่วง”
แนะแนวทางแก้ปัญหา
ตอนนี้คงเสนอแนะอะไรลําบาก เพราะว่ามันขึ้นอยู่กับว่าทางอเมริกาจะพิจารณาความได้เปรียบเสียเปรียบทางการค้ากับประเทศไทยอย่างไร ผมคิดว่ามันก็คงจะต้องระมัดระวัง คือเป็นช่วงปรับตัวของเรื่องเศรษฐกิจเมืองไทย ภาคธุรกิจทุกคนคงต้องปรับตัว
อีกทั้งไทยยังไม่มีธุรกิจใหม่ๆ เศรษฐกิจใหม่ๆที่เข้ามาเกิดขึ้นในประเทศมากนัก เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีธุรกิจใหม่ เศรษฐกิจใหม่เกิดขึ้นเยอะมาก โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับดิจิทัล, AI ฯลฯ ซึ่งไทยยังไม่มีอะไรมากเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน
แต่หากไทยจะทำย่อมได้ ก่อนอื่นต้องเริ่มสร้างบุคลากรที่มีความรู้เกี่ยวกับการทำซอฟต์แวร์ , AI ฯลฯให้เพิ่มขึ้น ตอนนี้เชื่อว่าเมืองไทยมีบุคลากรที่มีความรู้ด้านนี้แต่อาจจะยังไม่มีจํานวนเพียงพอ หรือมากเท่ากับคนอื่น ซึ่งส่วนตัวคิดว่าแนวโน้มในการที่จะปรับปรุงเรื่องประสิทธิภาพต่างๆเรื่อง AI จะมีเข้ามามากขึ้นแน่นอน
ปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปต่อคืออะไร ?
ส่วนตัวคิดว่ารัฐบาลพยายามจะลงทุนพวกโครงสร้างพื้นฐานต่างๆมากขึ้น ในระหว่างที่เศรษฐกิจไปไม่ได้ ถ้าโครงสร้างพื้นฐานมีการลงทุนมากขึ้น จะช่วยกระตุ้นการจ้างงานเศรษฐกิจในประเทศได้ นี่คือตัวหลักในการขับเคลื่อน
ทั้งนี้จากการที่ภาครัฐเตรียมนำงบประมาณใช้ในการลงทุนสาธารณูปโภคพื้นฐาน ทั้งน้ำ,รถไฟ,การลงทุนต่างๆ เป็น Domestic ภายในประเทศ ถือเป็นแรงผลักดันให้กับคนไทยโดยตรง ช่วยให้เกิดการจ้างแรงงานคนไทย มากกว่าโรงงานเพราะโรงงานสั่งซื้อเครื่องจักรมาจากต่างประเทศ
เมื่อกำลังซื้อหดหาย..การแจกเงินถือว่าจำเป็น!
ส่วนตัวมองว่า “จําเป็น” แต่ต้องเลือกแจกเป็นกลุ่มเป้าหมาย เพราะสภาพคล่องของคนหายไปหมด ถ้าไม่ช่วยให้คนสามารถยืนได้ หรือหายใจได้อาจจะยากลําบากมากขึ้น
แม้การช่วยดังกล่าวอาจกระตุ้นให้เศณษฐกิจฟื้นขึ้นมาได้ในคราเดียว แต่นั่นก็ถือว่ายังช่วยได้บ้าง และหวังว่ารัฐบาลจะมีนโยบายกระตุ้นอื่นๆออกมาเพิ่ม ที่นอกเหนือจากเรื่องแจกเงิน
“สิ่งที่กังวลตอนนี้มีค่อนข้างเยอะ เพราะว่าเราผ่านวิกฤตต้มยํากุ้ง ผ่านวิกฤตโควิด-19 ผ่านมา 2 ครั้งแล้ว แต่วิกฤติคราวนี้มันก็ไม่เชิงวิกฤติ มันเป็นเรื่องเศรษฐกิจถดถอย กําลังซื้อตรงกลางกับข้างล่างดูแล้วมันหายไประดับหนึ่ง อันนี้ก็เป็นสิ่งที่น่ากังวล แสดงว่ากําลังซื้อหรือแรงซื้อ รายได้ของระดับที่ตรงกลางมันหายไปค่อนข้างเยอะทําให้การหมุนเวียนต่อระบบเศรษฐกิจฝืดเคืองได้ ดังนั้นต้องช่วยตรงนี้ให้ดีขึ้น”
“สารัชถ์” ย้ำทิ้งท้ายว่า ส่วนตัวยังเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยยังไปได้ และไม่ได้มองว่าเศรษฐกิจไทยจะเสียหายจนถึงขั้นไปต่อไม่ได้ แม้เศรษฐกิจอาจจะมีช่วงชะลอตัวบ้าง ถือเป็นวัฎจักรการชะลอตัวทางธุรกิจ และยังเชื่อว่าเศรษฐกิจน่าจะกลับมาได้ แต่ทั้งนี้คงต้องช่วย SME ที่ชะลอตัวแรง
วิกฤติเศรษฐกิจไทยจะผ่านพ้น…หรือล้มซ้ำเพราะไม่ปรับตัว ? แม้ยังไม่มีใครบอกได้ว่าเศรษฐกิจไทยปี 2568 จะดีขึ้นเมื่อไหร่ แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดคือ ความไม่แน่นอนกลายเป็นปัจจัยถาวร ไม่ว่าจะมาจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ, การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ, หรือการมีส่วนร่วมธุรกิจใหม่ๆ ที่ไทยยังตามไม่ทัน
การฝ่าวิกฤตินี้อาจไม่ใช่แค่การ “แจกเงิน” แต่คือการสร้างรากฐานใหม่ ตั้งแต่ การยกระดับแรงงาน ไปจนถึงการผลักดัน SME ให้รอดในยุคดิจิทัล
ประเทศไทยเคยรอดจากต้มยำกุ้ง และโควิด-19…แต่วิกฤตรอบนี้ เราจะรอดจากอะไร ?
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.posttoday.com/business/stockholder/725010&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw2_4bH3NF2p7gWxlU0KoTOL