http://www.thaigov.go.th
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจาก
อีกครั้ง)
วันนี้ 20 พฤษภาคม 2568 เวลา 10.00 น. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569
2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมคำขอตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2538) ออกตามความในพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 พ.ศ. …. และร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมคำขอตามกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียม สำหรับการจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานเป็นคนประจำเรือ พ.ศ. 2560 พ.ศ. ….
3. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การบริหารไนท์ซาฟารี (องค์การมหาชน) พ.ศ. …. และร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. รวม 2 ฉบับ
4. เรื่อง ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการดูแลรักษาสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
5. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
6. เรื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2559 (เรื่อง ขออนุมัติจัดสรรเงินจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร)
7. เรื่อง ขออนุมัติหลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยค่างานก่อสร้าง K (Price Adjustment) เพื่อขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2532 เป็นกรณีพิเศษเฉพาะสำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ –รังสิต เฉพาะในส่วนของงานโยธาของสัญญาที่ 1 และสัญญาที่ 2
8. เรื่อง ขอความเห็นชอบให้ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ลาเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบทและบวชชีพรหมโพธิเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2568 และเนื่องในโอกาสพระราชพิธีสมมงคลพระชนมายุเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สมเด็จพระปฐมบรมกษัตริยาธิราชแห่งพระราชวงศ์จักรี พุทธศักราช 2568 โดยไม่ถือเป็นวันลา
9. เรื่อง แนวทางการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569
10. เรื่อง แผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท
11. เรื่อง (ร่าง) ข้อเสนอเชิงนโยบาย เรื่อง รักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือกด้วยศูนย์ข้าวเปลือกชุมชน
12. เรื่อง การกำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ 13 สาขา
13. เรื่อง มาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในช่วงฤดูฝน ปี 2568 และส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ในฤดูแล้ง ปี 2568/2569
14. เรื่อง การขอรับความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 46 การประชุมสุดยอดอาเซียน-คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ ครั้งที่ 2 และการประชุมสุดยอดอาเซียน-คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับกับสาธารณรัฐประชาชนจีน
15. เรื่อง การรับรองร่างแถลงการณ์โคลัมโบ การประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย ครั้งที่ 24
16. เรื่อง ขอความเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย รัฐบาลแห่งมาเลเซีย และรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย ว่าด้วยความร่วมมือด้านน้ำมันปาล์ม
17. เรื่อง การประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 16 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย -มาเลเซีย – ไทย (IMT – GT)
18. เรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง – ล้านช้าง ประจำปี พ.ศ. 2567 ระหว่างกระทรวงสาธารณสุขกับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย
19. เรื่อง การสนับสนุนค่าบำรุงของประเทศสมาชิกองค์การอนามัยโลก
20. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง)
21. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงพาณิชย์)
22. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม)
23. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (กระทรวงสาธารณสุข)
24. เรื่อง แต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ
*****************************
1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว พร้อมเอกสารประกอบงบประมาณ และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ตามที่สำนักงบประมาณ (สงป.) เสนอ
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
กำหนดให้ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 เป็นจำนวนไม่เกิน 3,780,600 ล้านบาท โดยจำแนกตามประเภทต่าง ๆ ได้ดังนี้
1. จำแนกตามกลุ่มงบประมาณ
กลุ่มงบประมาณ | จำนวน (ล้านบาท) | สัดส่วน (ร้อยละ) |
1. รายจ่ายงบกลาง | 632,968.7500 | 16.74 |
2. รายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณ | 1,408,060.3287 | 37.25 |
3. รายจ่ายบูรณาการ | 98,767.8186 | 2.61 |
4. รายจ่ายบุคลากร | 820,820.8104 | 21.71 |
5. รายจ่ายสำหรับทุนหมุนเวียน | 274,576.8057 | 7.26 |
6. รายจ่ายเพื่อการชำระหนี้ภาครัฐ | 421,864.4264 | 11.16 |
7. รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง | 123,541.0602 | 3.27 |
2. จำแนกตามยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ประกอบด้วย 6 ยุทธศาสตร์ และรายการค่าดำเนินการภาครัฐ สรุปได้ ดังนี้
ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบฯ ปี 69 | จำนวน (ล้านบาท) |
1) ด้านความมั่นคง | 415,327.9413 |
2) ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน | 394,611.6456 |
3) ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ | 605,927.2575 |
4) ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม | 942,709.1735 |
5) ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม | 147,216.8998 |
6) ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ | 605,441.5957 |
โดยมีรายการค่าดำเนินการภาครัฐ จำนวน 669,365.4866 ล้านบาท เพื่อสำรองไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการรองรับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นโดยมิได้คาดหมายสำหรับกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น การชำระหนี้ภาครัฐ และเพื่อชดใช้เงินคงคลัง
ทั้งนี้ สงป. ได้เผยแพร่รายงานสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นในการจัดทำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ผ่านเว็บไซต์ของ สงป. (https://www.bb.go.th) แล้ว และ ได้จัดพิมพ์ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ดังกล่าวและเอกสารประกอบงบประมาณ รวม 39 เล่มเรียบร้อยแล้ว
2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมคำขอตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2538) ออกตามความในพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 พ.ศ. …. และร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมคำขอตามกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียม สำหรับการจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานเป็นคนประจำเรือ พ.ศ. 2560 พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมคำขอตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2538) ออกตามความในพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 พ.ศ. …. และ ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมคำขอตามกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับการจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานเป็นคนประจำเรือ พ.ศ. 2560 พ.ศ. …. จำนวน 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ รวมทั้ง ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
1. พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 และที่แก้ไขเพิ่มเติมได้กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และมีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมไม่เกินอัตราท้ายพระราชบัญญัติฯ ซึ่งต่อมาได้มีการออกกฎกระทรวง ฉบับที่ 9 (พ.ศ.2538) ออกตามความในพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 เพื่อกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่รัฐเรียกเก็บจากประชาชนโดยกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมคำขอเกี่ยวกับการจัดหางานให้คนทำงานในประเทศและเพื่อไปทำงานในต่างประเทศไว้ฉบับละ 10 บาท
2. พระราชบัญญัติแรงงานทางทะเล พ.ศ. 2558 ได้กำหนดให้นำบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยการจัดหางานและคุ้มครองคนหางานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอัตราค่าธรรมเนียมมาใช้บังคับแก่การจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานเป็นคนประจำเรือโดยอนุโลม รง. จึงได้ออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับการจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานเป็นคนประจำเรือ พ.ศ. 2560 โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 5 และมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานทางทะเล พ.ศ. 2558 ประกอบมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 เพื่อกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานเป็นคนประจำเรือโดยเฉพาะ โดยกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมคำขอเกี่ยวกับการจัดหางานเพื่อไปทำงานคนประจำเรือฉบับละ 10 บาท
3. โดยที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2563 (เรื่อง แนวทางการทบทวนอัตราค่าธรรมเนียมในการอนุมัติ การอนุญาตของทางราชการ) ให้ส่วนราชการพิจารณาทบทวนการจัดเก็บค่าธรรมเนียมต่าง ๆ เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับปัจจุบัน โดยแนวทางดังกล่าวกำหนดให้ในกรณีที่รายได้จากการจัดเก็บค่าธรรมเนียมต่ำกว่าต้นทุนในการดำเนินการให้หน่วยงานพิจารณายกเลิกการจัดเก็บดังกล่าว กรมการจัดหางานจึงได้ดำเนินการสำรวจและทบทวนการจัดเก็บอัตราค่าธรรมเนียมในการอนุมัติ อนุญาต ที่เรียกเก็บตามกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมการจัดหางาน พร้อมทั้งประเมินต้นทุนของภาครัฐในการดำเนินการจัดเก็บค่าธรรมเนียมเป็นรายกรณี ปรากฏว่ารายได้ที่ได้รับจากการจัดเก็บค่าธรรมเนียมคำขอฉบับละ 10 บาท ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2538) ออกตามความในพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 และกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับการจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานเป็นคนประจำเรือ พ.ศ. 2560 ต่ำกว่าต้นทุนของภาครัฐในการดำเนินการจัดเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าว ซึ่งหากยังดำเนินการจัดเก็บค่าธรรมเนียมนั้นต่อไปจะไม่คุ้มค่าต่อการดำเนินการภารกิจของภาครัฐ จึงได้รายงานผลการดำเนินการดังกล่าวให้สำนักงาน ก.พ.ร. ทราบ และดำเนินการปรับปรุงค่าธรรมเนียมคำขอดังกล่าว โดยนำหลักเกณฑ์ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2564 (เรื่อง หลักเกณฑ์ว่าด้วยการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมและค่าบริการ) ซึ่งคณะรัฐมนตรีเห็นชอบหลักเกณฑ์ว่าด้วยการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมและค่าบริการ ที่กำหนดให้หน่วยงานของรัฐไม่พึงเรียกเก็บค่าธรรมเนียมซึ่งมีจำนวนเพียงเล็กน้อยมาประกอบการดำเนินการดังกล่าวด้วย จึงได้ข้อสรุปว่า ให้มีการยกเลิกค่าธรรมเนียมคำขอฉบับละ 10 บาท ที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงดังกล่าว ทั้ง 2 ฉบับ รง. จึงได้ยกร่างกฎกระทรวงจำนวน 2 ฉบับ เพื่อยกเงินค่าธรรมเนียมคำขอ ดังต่อไปนี้
(1) ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมคำขอตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2538) ออกตามความในพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 พ.ศ. …. มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นค่าธรรมเนียมคำขอเกี่ยวกับการจัดหางานให้คนทำงานในประเทศและเพื่อไปทำงานในต่างประเทศฉบับละ 10 บาท ตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2538) ออกตามความในพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528
(2) ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมคำขอตามกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานเป็นคนประจำเรือ พ.ศ. 2560 พ.ศ. …. มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นค่าธรรมเนียมคำขอเกี่ยวกับการจัดหางานเพื่อไปทำงานเป็นคนประจำเรือฉบับละ 10 บาท ตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานเป็นคนประจำเรือ พ.ศ. 2560
4. รง. ได้จัดทำรายละเอียดข้อมูลที่หน่วยงานของรัฐต้องเสนอพร้อมกับการขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีตามบทบัญญัติในมาตรา 7 และ มาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 มาเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีด้วยแล้ว โดย รง. ได้ประมาณการการสูญเสียรายได้ที่จะเกิดขึ้นจากการยกเว้นค่าธรรมเนียมคำขอเกี่ยวกับการจัดหางานในประเทศ การจัดหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศและการจัดหางานเพื่อไปทำงานเป็นคนประจำเรือฉบับละ 10 บาท จะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ค่าธรรมเนียมประมาณ 205,730 บาทต่อปี ทั้งนี้ การออกร่างกฎกระทรวงดังกล่าวจะเป็นการลดภาระของภาครัฐ และยังเป็นการลดต้นทุนและภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชนอันจะสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายเพิ่มมากขึ้น
3. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การบริหารไนท์ซาฟารี (องค์การมหาชน) พ.ศ. …. และร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. รวม 2 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน (กพม.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การบริหารไนท์ซาฟารี (องค์การมหาชน) พ.ศ. …. และร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. รวม 2 ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน (กพม.) เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
2. มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ.ร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจพิจารณาประเมินรูปแบบองค์กรและการบริหารจัดการองค์กรที่เหมาะสมระหว่างองค์การบริหารไนท์ซาฟารี (องค์การมหาชน) และองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ภายในระยะเวลา 2 ปี
3. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และสำนักงบประมาณ ในส่วนที่เกี่ยวกับการประเมินรูปแบบองค์กรและการบริหารจัดการองค์กรที่เหมาะสมระหว่างองค์การบริหารไนท์ซาฟารี (องค์การมหาชน) และองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
4. ให้สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
5. เมื่อร่างพระราชกฤษฎีกาทั้ง 2 ฉบับ มีผลใช้บังคับแล้วให้องค์การบริหารไนท์ซาฟารี (องค์การมหาชน) รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงาน ก.พ. และสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
1. กพม. ในการประชุมครั้งที่ 3/2567 เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2567 มีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้รวม 2 ฉบับ ที่ สคก. ตรวจพิจารณาแล้วและหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนการเลิกจ้างและเงินช่วยเหลือเยียวยาฯ ซึ่งมีอัตราเดียวกันกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2566 รวมทั้งให้นำร่างพระราชกฤษฎีการวม 2 ฉบับดังกล่าว และหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนการเลิกจ้างและเงินช่วยเหลือเยียวยาฯ เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1.1 ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การบริหารไนท์ซาฟารี (องค์การมหาชน) พ.ศ. ….
ประเด็น | รายละเอียด |
คำนิยาม | ㆍ “ไนท์ซาฟารี” หมายความว่า สวนสัตว์ที่จัดให้มีการแสดงสัตว์หรือชมสัตว์ ในเวลากลางคืนและเวลาที่ต่อเนื่องกัน |
การจัดตั้ง | ㆍ ให้จัดตั้งองค์การมหาชนขึ้น เรียกว่า “องค์การบริหารไนท์ซาฟารี (องค์การมหาชน)” เรียกโดยย่อว่า “อบน.” และให้ใช้ชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า “Night Safari Administrative Organization (Public Organization)” เรียกโดยย่อว่า “NSA” |
วัตถุประสงค์ | ㆍบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และวัฒนธรรมบนพื้นฐานทางธรรมชาติในรูปแบบไนท์ซาฟารี ㆍพัฒนาสวนสัตว์ในรูปแบบไนท์ซาฟารีเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย สู่การท่องเที่ยวมูลค่าสูงและยั่งยืน ㆍส่งเสริมการเรียนรู้และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ สัตว์บ้า และสิ่งแวดล้อมโดยให้ความสำคัญกับการจัดแสดงสัตว์ป่าในสภาพธรรมชาติหรือใกล้เคียงกับสภาพ ธรรมชาติมากที่สุด ㆍส่งเสริมและจัดให้มีการบำรุงและเพาะพันธุ์สัตว์ป่าโดยเน้นสัตว์ป่าที่ใช้ชีวิตกลางคืน ㆍประสานงานและสนับสนุนการสร้างเครือข่ายในภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ทุกภาคส่วน ㆍเพื่อมิให้มีการดำเนินการที่ซ้ำซ้อนหรือแข่งขันกันอันเป็นการทำให้สิ้นเปลือง ทรัพยากร การดำเนินการตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว อบน. จะต้องไม่ดำเนินกิจการ ในรูปแบบไนท์ซาฟารีในจังหวัดหรือในพื้นที่ใกล้กันกับที่องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทยได้ดำเนินการอยู่แล้ว |
หน้าที่และอำนาจของ อบน. | ㆍ ทำความตกลงและร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐและเอกชน ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ หรือองค์การระหว่างประเทศ ในกิจการที่เกี่ยวกับการดำเนินการ ตามวัตถุประสงค์ของ อบน. ㆍ จัดให้มีและให้ทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนาเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของ อบน. ㆍเข้าร่วมทุนกับบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นในกิจการที่เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ ถือหุ้น ในกิจการของนิติบุคคลอื่นเพื่อส่งเสริมกิจการที่เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ (ต้องไม่มี วัดถุประสงค์ในการมุ่งแสวงหากำไรเป็นหลัก) และกู้ยืมเงินเพื่อประโยชน์ในการ ดำเนินการตามวัตถุประสงค์ ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ㆍ เรียกเก็บค่าบำรุง ค่าตอบแทน หรือค่าบริการในการดำเนินกิจการต่าง ๆ ตามวัตถุประสงค์ ตามหลักเกณฑ์และอัตราที่คณะกรรมการองค์การบริหาร ไนท์ซาฟารีกำหนด |
ทุน รายได้ และทรัพย์สิน | ㆍทุนและทรัพย์สินในการดำเนินกิจการของ อบน. ประกอบด้วย – เงินและทรัพย์สินที่ได้รับโอนมาจาก สพค. – เงินอุดหนุนทั่วไปที่รัฐบาลจัดสรรให้ตามความเหมาะสมเป็นรายปี – เงินอุดหนุนจากภาคเอกชน หน่วยงานของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรอื่น รวมทั้งจากต่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ และเงิน หรือทรัพย์สินที่มีผู้อุทิศให้ – ค่าบำรุง ค่าตอบแทน ค่าบริการ หรือรายได้จากการดำเนินกิจการต่าง ๆ ตามวัตถุประสงค์ – ดอกผลหรือรายได้จากเงินทรัพย์สินของ อบน. ㆍ บรรดารายได้ของ อบน. ไม่เป็นรายได้ที่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน |
การบริหารและการดำเนินกิจการ | ㆍให้มี “คณะกรรมการองค์การบริหารไนท์ซาฟารี” ประกอบด้วย (1) ประธานกรรมการ ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง (2) กรรมการโดยตำแหน่ง จำนวน 2 คน ได้แก่ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม และผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (3) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวนไม่เกิน 7 คน ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง ㆍให้มีผู้อำนวยการคนหนึ่ง เป็นผู้บริหารกิจการภายใต้การควบคุมดูแลของ คณะกรรมการฯ โดยให้มีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 4 และอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้แต่ต้องไม่เกิน 2 วาระติดต่อกัน ㆍให้ผู้อำนวยการเป็นกรรมการและเลขานุการ ㆍ คณะกรรมการฯ มีหน้าที่และอำนาจควบคุมดูแลกิจการและการดำเนินงานโดยทั่วไป ของ อบน. รวมถึงมีหน้าที่และอำนาจ (1) กำหนดนโยบายการบริหารงาน การจัดหาทุน และให้ความเห็นชอบเเผนการดำเนินงาน (2) อนุมัติงบประมาณประจำปี รายงานการเงิน แผนการลงทุน และการดำเนินโครงการ (3) ออกระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ และข้อกำหนดของ อบน. (4) กำหนดค่าบำรุง ค่าตอบแทน และค่าบริการในการดำเนินกิจการของ อบน. |
การกำกับดูแล | ㆍ ให้นายกรัฐมนตรีกำกับดูแลการดำเนินกิจการของ อบน. ให้เป็นไปตามกฎหมาย และให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ นโยบายของรัฐ มติคณะรัฐมนตรี และแผนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ㆍให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งให้ อบน. ชี้แจง แสดงความคิดเห็น ทำรายงาน หรือยับยั้งการกระทำที่ขัดต่อกฎหมาย รวมทั้งสั่งสอบสวนข้อเท็จจริงต่าง ๆ ได้ ㆍนายกรัฐมนตรีอาจจัดให้มีการประชุมร่วมระหว่าง อบน. องค์การสวนสัตว์ฯ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องได้ |
บทเฉพาะกาล | ㆍเมื่อพระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับแล้ว ให้พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงาน พัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2556 เป็นอันยกเลิก ㆍให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ ภาระผูกพัน งบประมาณ และรายได้ ของ สพค. ที่มีอยู่ก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับไปเป็นของ อบน. ตามพระราชกฤษฎีกานี้ ㆍ ให้โอนเจ้าหน้าที่และลูกจ้างของ สพค. ไปเป็นเจ้าหน้าที่และผู้ปฏิบัติงานของ อบน. ตามพระราชกฤษฎีกานี้ โดยให้ดำรงตำแหน่งเดิมและได้รับเงินเดือนหรือค่าจ้างรวมทั้งสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ซึ่งเคยได้รับอยู่ก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับไปพลางก่อนจนกว่าจะได้รับการบรรจุและแต่งตั้ง – ให้เจ้าหน้าที่หรือลูกจ้างของ สพค. ที่ประสงค์จะปฏิบัติงานใน อบน. ต่อไป แสดงความจำนงภายใน 30 วัน นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ ㆍ เจ้าหน้าที่หรือลูกจ้างที่ไม่ประสงค์จะปฏิบัติงานใน อบน. ต่อไป หรือไม่ได้รับ การคัดเลือกให้ปฏิบัติงานต่อ แล้วแต่กรณี ให้ถือว่าออกจากงานเพราะเลิกจ้าง โดยมิใช่ความผิดของเจ้าหน้าที่หรือลูกจ้าง และให้มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนการเลิกจ้าง และเงินช่วยเหลือเยียวยาตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด |
1.2 พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
(1) ยกเลิกการกำหนดให้เงินและทรัพย์สินที่ได้รับโอนมาจาก สพค. เป็นทุนขององค์การสวนสัตว์ฯ [ยกเลิกมาตรา 10 (2) แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2563]
(2) กำหนดเพิ่มเติมให้การดำเนินการตามวัตถุประสงค์ขององค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทยนั้น องค์การสวนสัตว์ฯ จะดำเนินกิจการสวนสัตว์ในรูปแบบไนท์ซาฟารีมิได้ เว้นแต่จะดำเนินการในจังหวัดหรือพื้นที่ที่ไม่มีไนท์ซาฟารีที่ อบน. ดำเนินการตั้งอยู่ในจังหวัดนั้นหรือในพื้นที่ใกล้กัน ทั้งนี้ เพื่อมิให้มีการดำเนินการที่ซ้ำซ้อน หรือแข่งขันกันกับ อบน. อันเป็นการทำให้สิ้นเปลืองทรัพยากร
1.3 หลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนการเลิกจ้างและเงินช่วยเหลือเยียวยากรณีเจ้าหน้าที่และลูกจ้างของ สพค. ที่ไม่ประสงค์จะปฏิบัติงานใน อบน. ต่อไป หรือไม่ ได้รับการคัดเลือกและบรรจุเป็นเจ้าหน้าที่และลูกจ้างของ อบน.
อายุงาน | ค่าตอบแทนการเลิกจ้าง | เงินช่วยเหลือเยียวยาเพิ่มเติม |
ปฏิบัติงานครบ 1 ปี แต่ไม่ครบ 3 ปี |
ค่าจ้าง 180 วัน | 6 เท่าของเงินเดือนสุดท้าย |
ครบ 3 ปีขึ้นไป | ค่าจ้าง 300 วัน |
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้รับเงินช่วยเหลือเยียวยาเพิ่มเติมในอัตราดังกล่าวทุกคน ไม่ว่าจะปฏิบัติงาน
มาเป็นเวลาเท่าใด
2. ในการจัดตั้ง อบน. ได้มีการจัดทำแผนทั้งด้านการเงินและด้านบุคลากรเพื่อลดการพึ่งพางบประมาณจากภาครัฐ โดยจะขอรับเงินอุดหนุนจากรัฐในปีที่ 1-3 จำนวน 153,586,000 บาท ประกอบด้วย
(1) ค่าสาธารณูปโภค 14,204,900 บาท
(2) ค่าใช้จ่ายด้านการประชาสัมพันธ์และการตลาด 49,449,000 บาท
(3) ค่าใช้จ่ายโครงการตามภารกิจยุทธศาสตร์และภารกิจพื้นฐาน 19,779,700 บาท
(4) ค่าใช้จ่ายในการลงทุน (ครุภัณฑ์และโครงการลงทุน) 70,152,400 บาท
ซึ่งตั้งแต่ปีที่ 4 เป็นต้นไป คาดว่าจะสามารถสร้างรายรับได้สูงกว่ารายจ่ายจึงไม่ต้องขอรับเงินอุดหนุนจากรัฐ และมีการปรับลดค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรโดยปรับลดเงินเดือนของผู้ปฏิบัติงานและเริ่มนับอายุงานใหม่ รวมทั้งยังปรับขนาดองค์กรให้เล็กลงจากเดิมที่มีกรอบอัตรากำลัง 360 อัตรา ปรับเป็น 263 อัตรา ทั้งนี้ การจ่ายเงินเยียวยาแก่ปฏิบัติงานซึ่งได้รับผลกระทบจากการปรับลดอัตราเงินเดือนและการเริ่มนับอายุงานใหม่ และการจ่ายค่าตอบแทนการเลิกจ้างและเงินช่วยเหลือเยียวยาฯ ตามหลักเกณฑ์ข้อ 1.3 รวมเป็นเงิน 116,796,720 บาท ซึ่งใช้จ่ายจากเงินทุนสะสมของหน่วยงาน
4. เรื่อง ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการดูแลรักษาสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการดูแลรักษาสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ (ฉบับที่..) พ.ศ. …. ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปประกอบการพิจารณาด้วยแล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการดูแลรักษาสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ฯ ที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการดูแลรักษาสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ พ.ศ. 2531 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยแก้ไขชื่อหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ จังหวัดสกลนคร จากเดิมเทศบาลเมืองสกลนคร เป็น เทศบาลนครสกลนคร เนื่องจากได้เปลี่ยนแปลงฐานะเป็นเทศบาลนคร และจังหวัดชุมพรจากเดิมองค์การบริหารส่วนตำบลท่ามะพลา เป็น เทศบาลตำบลท่ามะพลา เนื่องจากได้ยกฐานะเป็นเทศบาลตำบล แก้ไขหน่วยงานหลักในการดูแล ในจังหวัดชุมพร จากเดิมให้เทศบาลตำบลท่ามะพลาเป็นหน่วยงานหลัก เป็น องค์การบริหารส่วนจังหวัดชุมพรเป็นหน่วยงานหลัก และให้เทศบาลตำบลท่ามะพลาเป็นหน่วยงานรอง ตามมติคณะกรรมการอำนวยการบริหารและสนับสนุนสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ ชุมพร ในการประชุมครั้งที่ 1/2567 เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2567 ประกอบกับเทศบาลตำบลท่ามะพลาเห็นชอบด้วยแล้ว และเพิ่มให้มีศึกษาธิการจังหวัดร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการอำนวยการบริหารและสนับสนุนสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ในจังหวัดเพื่อให้ครอบคลุมผู้แทนที่ดูแลรับผิดชอบทุกฝ่ายในจังหวัด รวมทั้งเพิ่มหน้าที่ผู้ดูแลรับผิดชอบในการจัดทำแผนปฏิบัติงานประจำปีงบประมาณเพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารจัดการการดูแลรักษา และการพัฒนาสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ ต่อไป รวมทั้งเพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องและให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ปัจจุบัน
2. ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการดูแลรักษาสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ (ฉบับที่..) พ.ศ. …. มีสาระสำคัญ ดังนี้
ระเบียบฯ พ.ศ. 2531 และที่แก้ไขเพิ่มเติม | ร่างระเบียบฯ ที่ สปน. เสนอ | เหตุผล |
1. แก้ไขชื่อหน่วยงานดูแลรับผิดชอบและหน่วยงานดูแลรับผิดชอบหลัก | ||
|
|
|
|
|
|
|
|
|
2. เพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการอำนวยการบริหารและสนับสนุนสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ | ||
|
|
|
3. เพิ่มเติมหน้าที่ของผู้ดูแลรับผิดชอบ | ||
1) ดูแล บำรุง รักษา สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ตามผังที่ได้ออกแบบไว้ให้แต่ละสวน โดยคำนึงถึงความสะดวกและความปลอดภัยของผู้มาใช้บริการความเรียบร้อยและความสะอาด |
1) ดูแล บำรุง รักษา สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ตามผังหลักที่ได้ออกแบบไว้ให้แต่ละสวน โดยคำนึงถึงความสะดวกและความปลอดภัยของผู้มาใช้บริการ ความเรียบร้อยและความสะอาด |
|
ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นชอบด้วยในหลักการและมีความเห็นเพิ่มเติมบางประการ โดยสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีข้อสังเกตว่า กรณีที่ประสงค์จะให้กรรมการในสัดส่วนของบุคคลอื่นซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งตามข้อ 6 แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการดูแลรักษาสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ฯ ดำรงตำแหน่งกรรมการต่อไปได้จนครบวาระ สมควรเพิ่มบทเฉพาะกาลเพื่อรองรับกรณีนี้ด้วย
5. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (ฉบับที่..) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ
สาระสำคัญ
ร่างพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (ฉบับที่..) พ.ศ. …. มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ.2543 ให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบันและสามารถส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินการตามภารกิจของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ตามนโยบายรัฐบาลให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น ปรับปรุงคำนิยาม “กิจการรถไฟฟ้า” วัตถุประสงค์ อำนาจกระทำกิจการของ รฟม. หลักเกณฑ์การออกข้อบังคับของหน่วยงาน หลักเกณฑ์การบริหารจัดการรายได้ และการดำเนินกิจการที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี เพื่อลดปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงาน และให้ รฟม. สามารถดำเนินการเกี่ยวกับกิจการรถไฟฟ้าได้อย่างครบถ้วนและครอบคลุมภารกิจอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสามารถจัดหาประโยชน์ในทรัพย์สิน และดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลได้
ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (ฉบับที่..) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ โดยให้ตัดข้อ 7 และข้อ 9 ออก ข้อ 8 ให้ดำเนินการตามความเห็นกระทรวงการคลัง (กค.)
6. เรื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2559 (เรื่อง ขออนุมัติจัดสรรเงินจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2559 เรื่อง ขออนุมัติจัดสรรเงินกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร ในประเด็นเงินจ่ายขาด จากจำนวน 10.00 ล้านบาท เป็นจำนวน 25.30 ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ โดยให้เร่งรัดหนี้สินให้แล้วเสร็จตามที่กำหนดในปี 2573 และไม่ให้มีการขยายระยะเวลาโครงการอีก
สาระสำคัญของเรื่อง
1. คณะรัฐมนตรีมีมติ (9 กุมภาพันธ์ 2557) อนุมัติการจัดสรรเงินจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร (กองทุนฯ) ให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ยืมเงินเพื่อดำเนินโครงการสร้างความเข้มแข็งให้กับกลุ่มเกษตรกรเพื่อเข้าถึงแหล่งเงินทุนในการผลิตและการตลาด (โครงการฯ) วงเงินจำนวน 1,000 ล้านบาท โดยไม่มีดอกเบี้ย มีระยะเวลาดำเนินโครงการ 5 ปี ตั้งแต่ 1 มีนาคม 2559 – 30 เมษายน 2564 และอนุมัติเงินจ่ายขาด จำนวน 10 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการติดตามตรวจสอบการดำเนินโครงการของกลุ่มเกษตรกรในระดับจังหวัด รวมถึงการเร่งรัดการชำระหนี้เงินกู้และแก้ไขปัญหาของกลุ่มเกษตรกรให้สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด เพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้อาชีพเกษตรกรยังคงเป็นอาชีพที่มีความยั่งยืน มั่นคงและช่วยบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนขององค์กรเกษตรกรขนาดเล็กอย่างต่อเนื่อง
2. เรื่องนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2559 [เรื่อง ขออนุมัติจัดสรรเงินกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร (กองทุนฯ)] โครงการสร้างความเข้มแข็งให้กับกลุ่มเกษตรกร เพื่อเข้าถึงแหล่งเงินทุนในการผลิตและการตลาด (โครงการฯ) ในประเด็นเงินจ่ายขาดเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการติดตามงานและค่าบริหารโครงการฯ จากเดิมจำนวน 10 ล้านบาท เป็นจำนวน 25.30 ล้านบาท เนื่องจากกรมส่งเสริมสหกรณ์ได้เบิกเงินจ่ายขาดจนครบ จำนวน 10 ล้านบาทแล้ว ประกอบกับคณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกร (กสก.) ได้เห็นชอบการขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ และการส่งชำระต้นเงินคืนมาแล้ว 3 ครั้ง ในปี 2564 ปี 2565 และปี 2567 ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 30 เมษายน 2573 จึงทำให้กรมส่งเสริมสหกรณ์มีภาระค่าใช้จ่ายในการติดตามงานและค่าบริหารโครงการเพิ่มขึ้น
3. เนื่องจากโครงการฯ ได้ดำเนินการมาเป็นเวลาเกือบ 10 ปีแล้ว โดยครั้งล่าสุดได้มีการขยายระยะเวลาดำเนินโครงการออกไปอีก 5 ปี ซึ่งจะมีกำหนดสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินโครงการในวันที่ 30 เมษายน 2573 อย่างไรก็ตาม จนถึงปัจจุบัน กษ. โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์สามารถส่งคืนต้นเงินที่ยืมมาให้แก่ กสก. ได้เพียง 190 ล้านบาท (จากจำนวน 1,000 ล้านบาท) ส่วนที่เหลืออีก 810 ล้านบาท ยังคงไม่สามารถติดตามเร่งรัดให้กลุ่มเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ชำระคืนหนี้ได้ทั้งหมด จนส่งผลให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายในการติดตามตรวจสอบการดำเนินโครงการฯ รวมถึงการเร่งรัดการชำระหนี้เงินกู้และแก้ไขปัญหา ของกลุ่มเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ เพิ่มมากขึ้น ทำให้ กษ. ต้องขออนุมัติจัดสรรเงินจ่ายขาดเพิ่มขึ้นอีก จำนวน 15.30 ล้านบาท เพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายการดำเนินการดังกล่าว ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง (กค.) กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ (สงป.) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พิจารณาแล้วไม่ขัดข้อง/เห็นชอบในหลักการ โดยมีความเห็นเพิ่มเติม เช่น พณ. สงป. และ สศช. มีความเห็นในทำนองเดียวกันว่าการพิจารณาดำเนินโครงการฯ และการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจะต้องคำนึงถึงถึงเหตุผล ความจำเป็น ความคุ้มค่า เป็นไปด้วยความโปร่งใสตามข้อกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง สามารถตรวจสอบได้ โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ควรกำกับดูแลให้สำนักงานสหกรณ์จังหวัดเบิกค่าใช้จ่ายตามที่ใช้จริงเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับโครงการเท่านั้น รวมถึงติดตามและตรวจสอบการดำเนินงานของกลุ่มเกษตรกร การช่วยเหลือกลุ่มเกษตรกรในการแก้ไขปัญหา/อุปสรรคในการดำเนินงานและติดตามเร่งรัดหนี้สินอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องเพื่อให้สามารถส่งเงินคืนกองทุนฯ ได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดต่อไป เป็นต้น
7. เรื่อง ขออนุมัติหลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยค่างานก่อสร้าง K (Price Adjustment) เพื่อขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2532 เป็นกรณีพิเศษเฉพาะสำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ – รังสิต เฉพาะในส่วนของงานโยธาของสัญญาที่ 1 และสัญญาที่ 2
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ใช้หลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยค่างานก่อสร้าง K (Price Adjustment) (ค่า K)1 เพื่อขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2532 เป็นกรณีพิเศษเฉพาะสำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) (โครงการฯ) ช่วงบางซื่อ – รังสิต เฉพาะในส่วนของงานโยธาของสัญญาที่ 1 และสัญญาที่ 2 ดังนี้
1.1 การคำนวณค่า K ที่ใช้กับสัญญาแบบปรับราคาได้ให้ใช้หลักเกณฑ์การคำนวณค่า K ตามที่ระบุไว้ในสัญญา โดยใช้ดัชนีราคาฐาน (ค่า K0)2 28 วัน ก่อนยื่นของประกวดราคา สำหรับสัญญาที่ 1 และสัญญาที่ 2 เป็นฐานในการคำนวณ สำหรับประเภทงานก่อสร้าง สูตรและวิธีคำนวณให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2532
1.2 การขอเงินเพิ่มค่างานก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ให้เป็นหน้าที่ของผู้รับจ้างที่จะต้องเรียกร้องภายใน 90 วัน โดยนับจากวันที่ส่งมอบงานงวดสุดท้าย
2. มอบหมายให้สำนักงบประมาณ (สงป.) เป็นผู้พิจารณาและวินิจฉัยการคำนวณเงินเพิ่มหรือลด และจ่ายเงินเพิ่มหรือเรียกเงินคืนจากผู้รับจ้างตามเงื่อนไขของสัญญาแบบปรับราคาได้ตามข้อผูกพันของสัญญาที่ได้ลงนามไปแล้ว และหากการจ่ายเงินเพิ่มค่างานก่อสร้างดังกล่าว ทำให้เกินกรอบวงเงินที่ได้รับจากคณะรัฐมนตรี ก็ถือว่าได้รับการอนุมัติขยายกรอบวงเงินโครงการจากคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้ด้วย ส่วนการจัดหาแหล่งเงินที่เหมาะสมเพื่อเบิกจ่ายค่า K ให้แก่ผู้รับจ้าง ขอให้ สงป. เป็นผู้วินิจฉัย และขอให้ รฟท. ขอทำความตกลงกับ สงป. อีกครั้งหนึ่งต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
1. โครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) (โครงการฯ) ช่วงบางซื่อ – รังสิต เป็นโครงการที่รองรับการให้บริการระบบรถไฟฟ้าชานเมืองร่วมกับระบบรถไฟทางไกลสายภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีสถานีรถไฟกลางบางซื่อทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งทางรถไฟแห่งใหม่ของกรุงเทพมหานคร และเป็นสถานีเปลี่ยนถ่ายการเดินทางที่สำคัญระหว่างรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) กับโครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เพื่อให้ประชาชนสามารถเดินทางได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ตลอดจนช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น โดยคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2552 ให้ใช้แหล่งเงินกู้จากองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) เพื่อดำเนินโครงการฯ ดังกล่าว ซึ่งตามระเบียบการรถไฟแห่งประเทศไทยว่าด้วยการจ้าง พ.ศ. 2544 ข้อ 24 กำหนดให้การจ้างโดยวิธีประกวดราคานานาชาติให้ส่วนงานถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของแหล่งเงินกู้หรือแหล่งให้เงินช่วยเหลือ ซึ่งรวมถึงหลักเกณฑ์ในการคำนวณค่าเงินชดเชยค่างานก่อสร้าง K (Price Adjustment) (ค่า K) ส่งผลให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในการคำนวณค่า K ของ JICA ที่มีการใช้ค่าดัชนีราคาฐาน (ค่า K0) ของโครงการฯ ช่วงบางซื่อ – รังสิต ไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของสำนักงบประมาณ (สงป.) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2532
ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น ดังนี้
หลักเกณฑ์ของ JICA | หลักเกณฑ์ของ สงป. ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2532 |
ใช้ค่าดัชนีราคาฐาน (ค่า K0) ณ 28 วัน ก่อนยื่นเอกสารประกวดราคา | ใช้ดัชนีราคาฐาน (ค่า K0) ในเดือนที่เปิดซอง ประกวดราคา |
2. รฟท. แจ้งว่า ปัจจุบันการดำเนินโครงการฯ ช่วงบางซื่อ – รังสิต ในส่วนงานโยธาของสัญญาที่ 1 และ 2 เสร็จสิ้นแล้ว และผู้รับจ้างได้มีการร้องขอเงินค่า K งานก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ของโครงการฯ ช่วงบางซื่อ – รังสิต ทั้ง 2 สัญญา ภายในระยะเวลาที่กำหนด อย่างไรก็ตาม สงป. มีหนังสือเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2563 ถึง รฟท. แจ้งว่า การพิจารณาเงินค่า K ตามเงื่อนไขสัญญาโครงการฯ ช่วงบางชื่อ – รังสิต เป็นการคำนวณโดยใช้หลักเกณฑ์ที่แตกต่างไปจากหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นถือปฏิบัติ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2532 ดังนั้น หาก รฟท. มีความจำเป็นต้องดำเนินการตามข้อผูกพันสัญญาดังกล่าว ก็จะต้องขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2532 เป็นกรณีพิเศษเฉพาะสำหรับโครงการฯ ช่วงบางซื่อ – รังสิต เฉพาะในส่วนงานโยธาของสัญญาที่ 1 และ 2 ทั้งนี้ เพื่อให้ สงป. มีอำนาจในการพิจารณาวินิจฉัยการคำนวณเงินเพิ่มหรือลด และจ่ายเงินเพิ่มหรือเรียกเงินคืนจากผู้รับจ้างและจัดหาแหล่งเงินดังกล่าวต่อไป กระทรวงคมนาคมจึงขอนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2532 ในครั้งนี้
ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง (กค.) สงป. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาแล้วเห็นชอบ
____________
1เป็นเครื่องมือในการบริหารค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติตามสัญญาให้มีความเหมาะสม โดยในกรณีที่ค่าใช้จ่าย (เช่น วัสดุ
ก่อสร้าง ค่าน้ำมัน) มีการปรับขึ้นหรือลดราคาลง เมื่อเปรียบเทียบจากวันที่มีการเปิดซองเสนอราคากับวันที่ส่งมอบงานส่งผลให้รัฐต้องจ่ายเงินเพิ่มหรือลดค่าใช้จ่ายที่จะต้องจ่ายให้กับคู่สัญญา (เรียกร้องค่าชดเชยได้เฉพาะกรณีค่าใช้จ่ายปรับขึ้นหรือลงมากกว่าร้อยละ 4)
2ค่า K0 คือ ปีฐาน/ช่วงเวลาที่ใช้ในการคำนวณค่า K
8. เรื่อง ขอความเห็นชอบให้ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ลาเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบทและบวชชีพรหมโพธิเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2568 และเนื่องในโอกาสพระราชพิธีสมมงคลพระชนมายุเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สมเด็จพระปฐมบรมกษัตริยาธิราชแห่งพระราชวงศ์จักรี พุทธศักราช 2568 โดยไม่ถือเป็นวันลา
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ลาเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบทและบวชชีพรหมโพธิเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2568 และเนื่องในโอกาสพระราชพิธีสมมงคล พระชนมายุเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สมเด็จพระปฐมบรมกษัตริยาธิราชแห่งพระราชวงศ์จักรีพุทธศักราช 2568 โดยไม่ถือเป็นวันลา (ระหว่างวันที่ 17 – 30 กรกฎาคม 2568 รวม 14 วัน) ตามที่ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2559 – 2567 คณะรัฐมนตรีเคยมีมติอนุมัติให้ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราว ของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ลาบรรพชาอุปสมบทและบวชชีพรหมโพธิตามโครงการเฉลิมพระเกียรติหรือถวายพระราชกุศลในโอกาสต่าง ๆ ที่สำคัญ โดยไม่ถือเป็นวันลา มาอย่างต่อเนื่อง
2. สปน. ร่วมกับวัดสุวรรณภูมิพุทธชยันตี และคณะพระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย-เนปาล ดำเนินโครงการบรรพชาอุปสมบทและบวชชีพรหมโพธิเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2568 และเนื่องในโอกาสพระราชพิธีสมมงคล พระชนมายุเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สมเด็จพระปฐมบรมกษัตริยาธิราชแห่งพระราชวงศ์จักรี พุทธศักราช 2568 (โครงการฯ) โดยกำหนดเป้าหมายผู้เข้าร่วมบรรพชาอุปสมบท จำนวน 99 รูป บวชชีพรหมโพธิ และบวชเนกขัมมะพรหมโพธิ (สตรี) จำนวน 73 คน ระหว่างวันที่ 17 – 30 กรกฎาคม 2568 รวม 14 วัน กำหนดการดำเนินโครงการฯ ณ (1) วัดสุวรรณภูมิพุทธชยันตี อำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ (2) วัดไทยพุทธคยา เมืองคยา รัฐพิหาร สาธารณรัฐอินเดีย (อินเดีย) และ (3) พุทธสังเวชนียสถาน อินเดีย และสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล (เนปาล) มีหน่วยงานรับผิดชอบ คือ (1) สปน. (2) วัดไทยพุทธคยา และ (3) คณะพระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย-เนปาล ใช้งบประมาณในการดำเนินโครงการฯ รวมทั้งสิ้น 5,822,460 บาท แบ่งเป็นงบประมาณจากวัดสุวรรณภูมิพุทธชยันตี จำนวน 4,822,460 บาท และงบประมาณจาก สปน. จำนวน 1,000,000 บาท (ใช้งบประมาณเฉลี่ย 33,851 บาท ต่อคน)
3. โดยที่ในหลักการข้าราชการ ซึ่งประสงค์จะลาอุปสมบทในพระพุทธศาสนาให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับจนถึงผู้มีอำนาจพิจารณาหรืออนุญาตตามนัยข้อ 29 วรรคหนึ่ง ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ. 2555 ซึ่งในระเบียบดังกล่าวมิได้กำหนดจำนวนครั้งและจำนวนวันในการลาอุปสมบท ที่ข้าราชการจะลาได้แต่ประการใด แต่ได้กำหนดให้การได้รับเงินเดือนระหว่างการลาไว้ตามนัย ข้อ 16 ของระเบียบดังกล่าว ให้เป็นไปตามมาตรา 31 แห่งพระราชกฤษฎีกาการจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ที่บัญญัติให้ข้าราชการที่ลาอุปสมบทจะได้รับเงินเดือนระหว่างลาได้ไม่เกิน 120 วัน สำหรับการลาอุปสมบทในครั้งแรกนับแต่เริ่มรับราชการ โดยไม่นับรวมการอุปสมบทที่คณะรัฐมนตรีมีมติกำหนดไม่ให้ถือเป็นวันลาของข้าราชการ ดังนั้น เพื่อให้ผู้เข้าร่วมโครงการฯ ได้ศึกษาหลักธรรมคำสั่งสอนตามหลักพระพุทธศาสนา และร่วมเฉลิมพระเกียรติ รวมถึงแสดงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ด้วยการบำเพ็ญคุณความดี ปฏิบัติธรรมถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2568 และเนื่องในโอกาสพระราชพิธีสมมงคลพระชนมายุเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชสมเด็จพระปฐมบรมกษัตริยาธิราชแห่งพระราชวงศ์จักรี พุทธศักราช 2568 จึงเห็นควรส่งเสริมให้ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราว ของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐและพนักงานรัฐวิสาหกิจ ที่มีความประสงค์จะอุปสมบทถวายพระราชกุศล มีโอกาสเข้าร่วมอุปสมบทโดยทั่วกัน โดยให้ได้รับสิทธิในการเข้าร่วมอุปสมบทเป็นกรณีพิเศษ โดยไม่ถือเป็นวันลา เสมือนเป็นการปฏิบัติราชการและได้รับเงินเดือนตามปกติ จึงต้องเสนอคณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบให้ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราว ของส่วนราชการหน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ลาเข้าร่วมอุปสมบทถวายพระราชกุศลในครั้งนี้ได้โดยไม่ถือเป็นวันลาเสมือนเป็นการปฏิบัติราชการและได้รับเงินเดือนตามปกติเพื่อเป็นการยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลาของข้าราชการฯ และเป็นไปตามเงื่อนไขของมาตรา 31 แห่งพระราชกฤษฎีกาการจ่ายเงินเดือนฯ
9. เรื่อง แนวทางการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กำหนดจำนวนคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จำนวน 72 คน (เท่ากับจำนวนที่มติที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564-2568) ตามที่สำนักงานประมาณ (สงป.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
สงป. เสนอว่า
1. การตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 มิได้กำหนดจำนวนไว้ แนวปฏิบัติที่ผ่านมาการกำหนดจำนวนคณะกรรมาธิการฯ จึงเป็นไปตามมติที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในการประชุม วาระที่ 1 โดยในปีงบประมาณที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นคณะกรรมาธิการฯ (ปี 2545-2549, ปี 2552-2557 และปี 2563) จำนวนกรรมาธิการฯ อยู่ระหว่าง 63-64 คน และปีงบประมาณ พ.ศ. 2564-2568 จำนวนกรรมาธิการฯ 72 คน
2. การตั้งคณะกรรมาธิการฯ ในสัดส่วนคณะรัฐมนตรี ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร
พ.ศ. 2562 ข้อ 91 วรรคสอง กำหนดไว้ว่า “การเลือกตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญให้ตั้งจากบุคคลที่คณะรัฐมนตรีเสนอชื่อมีจำนวน
ไม่เกินหนึ่งในสี่
ของจำนวนกรรมาธิการทั้งหมด จำนวนนอกจากนั้นให้ที่ประชุมเลือกจากรายชื่อที่สมาชิกเสนอ โดยให้มีจำนวนตามหรือใกล้เคียงกับอัตราส่วนของจำนวนสมาชิกของแต่ละพรรคการเมืองที่มีอยู่ในสภา”
3. สงป.พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อให้เป็นไปตามแนวปฏิบัติที่ผ่านมาเกี่ยวกับการตั้ง คณะกรรมาธิการฯ และเป็นไปตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 ข้อ 91 วรรคสอง จึงขอเสนอแนวทางการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จำนวน 72 คน เท่ากับจำนวนที่มติที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564-2568 โดยกำหนดสัดส่วนของคณะกรรมาธิการฯ ดังนี้
3.1 กรรมาธิการฯ ที่คณะรัฐมนตรีเสนอชื่อ จำนวน 18 คน ซึ่งเป็นจำนวนไม่เกินหนึ่งในสี่ของจำนวนคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ หรือจำนวนไม่เกิน 18 คน
3.2 กรรมาธิการฯ ในสัดส่วนพรรคการเมือง จำนวน 54 คน สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร (สำนักการประชุม) ได้ประสานและแจ้งแนวทางการกำหนดสัดส่วนกรรมาธิการฯ แบ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝ่ายรัฐบาล จำนวน 35 คน และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝ่ายค้าน จำนวน 19 คน ซึ่งจะมีการคัดเลือกตามกระบวนการของฝ่ายนิติบัญญัติต่อไป
ทั้งนี้ จำนวนกรรมาธิการฯ ในสัดส่วนที่คณะรัฐมนตรีเสนอชื่อจำนวนไม่เกิน 18 คน เห็นสมควรให้คณะรัฐมนตรีพิจารณากำหนดตามความเหมาะสมต่อไป
10. เรื่อง แผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ
สาระสำคัญ
แผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท เป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 ที่เห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอให้ทบทวนแผนงานและโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาลให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบันที่อยู่ในภาวะผันผวนอันเนื่องมาจากสงครามการค้าและการประกาศนโยบายการจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ของประเทศมหาอำนาจ รวมถึงมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย ชุณหวชิร) นำเรื่องดังกล่าวไปพิจารณารายละเอียดในคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ชัดเจนแล้วนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป
11. เรื่อง (ร่าง) ข้อเสนอเชิงนโยบาย เรื่อง รักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือกด้วยศูนย์ข้าวเปลือกชุมชน
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบ (ร่าง) ข้อเสนอเชิงนโยบาย เรื่อง รักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือกด้วยศูนย์ข้าวเปลือกชุมชนและมอบหมายให้ กษ. (กรมการข้าว) เป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้รับข้อสังเกตของ กค. และความเห็นของกษ. พณ. อก. และ สศช. ไปประกอบการพิจารณาเพื่อดำเนินการตามความจำเป็นเหมาะสมต่อไปด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
สภาเกษตรกรแห่งชาติ (สภช.) เสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ (ร่าง) ข้อเสนอเชิงนโยบาย เรื่อง รักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือกด้วยศูนย์ข้าวเปลือกชุมชน โดยมีแนวคิดจัดสร้างศูนย์ข้าวเปลือกชุมชนเพื่อแก้ไขปัญหาราคาข้าวเปลือกตกต่ำ โดยให้ศูนย์ดังกล่าวเป็นแหล่งรวบรวมผลผลิตและกระจายสินค้าข้าวไม่ให้ออกสู่ตลาดพร้อมกันจำนวนมากเพื่อสร้างอำนาจต่อรอง สร้างความเป็นธรรมด้านราคาข้าวเปลือก ลดการถูกกดราคาและการถูกเอาเปรียบจากการขายผลผลิต อันนำไปสู่การรักษาเสถียรภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยมอบหมายให้กรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) รับ (ร่าง) ข้อเสนอเชิงนโยบายดังกล่าวไปดำเนินการ ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง (กค.) กษ. กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) ไม่ขัดข้องในหลักการ/เห็นชอบ โดย กค. กษ. กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) มีข้อสังเกตและความเห็นเพิ่มเติมสรุป ดังนี้
ประเด็น | ข้อสังเกตและความเห็นเพิ่มเติม |
การดำเนินการจัดตั้งศูนย์ข้าวเปลือกชุมชน |
– สภช. ควรพิจารณาต่อยอดการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อให้ (ร่าง) ข้อเสนอนโยบายฯ ไม่ซ้ำซ้อนกับภารกิจหน้าที่ของหน่วยงานอื่นและต้องมีการวางแผนและกำกับดูแลอย่างรอบคอบและชัดเจน เพื่อลดความเสี่ยงและความท้าทายที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งสร้างความมั่นใจได้ว่าโครงการจะสามารถดำเนินไปได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว (กค. กษ. และ พณ.) – การดำเนินการจำเป็นต้องพิจารณาถึงความคุ้มค่า ความจำเป็น และความเหมาะสมโดยทบทวนศักยภาพของศูนย์ข้าวเปลือกชุมชนที่มีอยู่เดิม เพื่อต่อยอดการดำเนินงานที่มีอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นก่อนในลำดับแรก และศึกษาแผนการพัฒนาศูนย์ข้าวชุมชนของกรมการข้าวในอนาคตเพื่อจัดตั้งศูนย์ข้าวชุมชนเพิ่มเติมเฉพาะในพื้นที่จำเป็นเพื่อลดความซ้ำซ้อนของการดำเนินงาน รวมทั้งพิจารณาศักยภาพและความเป็นไปได้ในการขยายภารกิจด้านการแปรรูปและการตลาดต่อไป (สศช.) |
การเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) |
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจนำ (ร่าง) ข้อเสนอเชิงนโยบายฯ เสนอต่อ นบข. ซึ่งมีองค์ประกอบกรรมการจากหลายภาคส่วนร่วมพิจารณา และมีอำนาจหน้าที่กำหนดกรอบนโยบายแผนงาน และมาตรการเกี่ยวกับสินค้าข้าว เพื่อให้การดำเนินการของรัฐบาลในการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าข้าวเป็นไปอย่างบูรณาการ สอดคล้องกันทั้งระบบ และสามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและบังเกิดประสิทธิผล (กค. และ อก.) |
งบประมาณ |
ควรพิจารณาถึงภาระงบประมาณในการดำเนินงานของศูนย์ข้าวเปลือกชุมชน ทั้งในส่วนของเงินลงทุนสร้างศูนย์ข้าวเปลือกชุมชนและเงินทุนหมุนเวียน รวมทั้งควรมีการศึกษาว่าการดำเนินการตาม (ร่าง) ข้อเสนอเชิงนโยบายฯ จะสามารถลดการใช้งบประมาณได้เมื่อเปรียบเทียบกับการดำเนินนโยบายให้ความช่วยเหลือเกษตรกรของภาครัฐที่ผ่านมา (กค.) |
อื่น ๆ | – ควรมีการส่งเสริมความรู้แก่เกษตรกรทั้งในด้านการเกษตร และความรู้ด้านการเงินเพื่อให้เกษตรกรสามารถพึ่งพาและช่วยเหลือตนเองได้อย่างยั่งยืน (กค.) – ควรส่งเสริมและสนับสนุนการสร้างเครือข่ายระหว่างศูนย์ข้าวชุมชนให้มีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน และการวิจัยเพื่อสร้างความแตกต่างในการสร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ข้าว ซึ่งจะเป็นการยกระดับราคาผลผลิตและการสร้างมูลค่าเพิ่ม และสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรได้อย่างมั่งคั่งและยั่งยืน (สศช.) |
12. เรื่อง การกำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ 13 สาขา
คณะรัฐมนตรีรับทราบประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ (ฉบับที่ 14) ลงวันที่ 9 เมษายน 2568 เพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลใช้บังคับต่อไป ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ
สาระสำคัญ
1. เดิม รง. ได้มีการกำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ1 แล้ว 129 สาขาตามประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ (ฉบับที่ 13) ลงวันที่ 29 กันยายน 2566 [คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (21 พฤศจิกายน 2566) รับทราบประกาศคณะกรรมการค่าจ้างฉบับดังกล่าว ตามที่ รง. เสนอ]
2. คณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 22 ได้เห็นชอบให้มีการจัดทำอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ ปี 2567 โดยแต่งตั้งคณะอนุกรรมการอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ จำนวน 3 คณะ เพื่อทำหน้าที่ศึกษาและจัดทำร่างอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ 13 สาขา โดยพิจารณาข้อมูลผลการสำรวจความคิดเห็นสถานประกอบกิจการ ลูกจ้าง และผู้ผ่านการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ ลักษณะการทำงานในแต่ละสาขา การจ่ายค่าจ้างจริงในตลาดแรงงานและความสามารถในการจ่ายของนายจ้าง รวมถึงได้จัดสัมมนารับฟังความเห็นจากนายจ้างและลูกจ้างที่มีส่วนเกี่ยวข้องในแต่ละสาขาอาชีพ เพื่อเสนอร่างอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ 13 สาขา ต่อคณะกรรมการค่าจ้าง ซึ่งในการประชุมคณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 22 (ปลัดกระทรวงแรงงานเป็นประธาน) ครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2568 ได้มีมติเห็นชอบให้กำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ 13 สาขา โดยให้มีผลใช้บังคับ 90 วัน หลังจากวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป สรุปได้ ดังนี้
หน่วย : บาท/วัน
ลำดับ | สาขา | อัตราค่าจ้าง ตามมาตรฐานฝีมือ |
|
ระดับ 1 | ระดับ 2 | ||
|
พนักงานขับรถโดยสารสาธารณะเพื่อการท่องเที่ยว (รถทัวร์) | 600 | |
|
ช่างซ่อมบำรุงรถยนต์ไฟฟ้า | 600 | |
|
ผู้บังคับรถปั้นจั่นตีนตะขาบ | 620 | |
|
ผู้บังคับรถปั้นจั่นล้อยาง | 620 | |
|
ผู้บังคับปั้นจั่นติดรถบรรทุก | 560 | |
|
พนักงานขับรถบรรทุก | 485 | |
|
ช่างเทคนิคเครื่องปรับอากาศสำหรับห้องสะอาด | 720 | 800 |
|
ช่างอิเล็กทรอนิกส์ | 500 | |
|
ช่างไฟฟ้าสำหรับอุตสาหกรรม การจัดงานประชุม การเดินทาง เพื่อเป็นรางวัล และการแสดงสินค้า |
600 | |
|
นักเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (ภาษาซี) | 700 | |
|
นักดูแลและบริหารระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ | 770 | |
|
ช่างควบคุมหุ่นยนต์อุตสาหกรรม | 605 | |
|
ผู้ฝึกสอนมวยไทย | 565 |
หมายเหตุ : มาตรฐานฝีมือแรงงาน คือ ข้อกำหนดทางวิชาการที่ใช้เป็นเกณฑ์วัดระดับฝีมือ ความรู้ ความสามารถและ
ทัศนคติในการทำงานของผู้ประกอบอาชีพสาขาต่าง ๆ ของกรมพัฒนาฝีมือแรงงานเป็น 3 ระดับ และจะมี รายละเอียดของเกณฑ์มาตรฐานฝีมือแรงงานที่แตกต่างกันในแต่ละสาขา ซึ่งผู้ที่ผ่านการทดสอบจะได้รับใบรับรองผ่านการทดสอบของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ซึ่งการกำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ 13 สาขา ที่ รง. เสนอในครั้งนี้เป็นการกำหนดอัตราค่าจ้างตามาตรฐานฝีมือใหม่ 12 สาขา ส่วนอีก 1 สาขา คือ สาขาช่างไฟฟ้า สำหรับอุตสาหกรรม การจัดงานประชุม การเดินทาง เพื่อเป็นรางวัล และการแสดงสินค้า (สาขาลำดับที่ 9 ตามตารางข้างต้น) เป็นสาขาเดิมที่ได้กำหนดอัตราค่าจ้างระดับ 1 ไว้ก่อนแล้ว ตามประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ (ฉบับที่ 13) ลงวันที่ 29 กันยายน 2566 โดยในครั้งนี้เป็นการปรับเพิ่มให้มีอัตราค่าจ้างระดับ 2 ด้วย ทั้งนี้ หากนับรวมการกำหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือที่ รง. เคยได้กำหนดมาแล้ว 129 สาขา (ตามข้อ 1.) กับสาขาที่กำหนดใหม่ในครั้งนี้ 12 สาขา (ไม่นับรวมสาขาลำดับที่ 9) จะรวมทั้งสิ้นเป็น 141 สาขา
______________
1อัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือคือ อัตราค่าจ้างที่คณะกรรมการค่าจ้างกำหนดขึ้นในแต่ละสาขาอาชีพ ในแต่ละสาขา
และในแต่ละระดับตามมาตรฐานฝีมือ โดยมีข้อกำหนดทางวิชาการที่ใช้เป็นเกณฑ์วัดระดับฝีมือ ความรู้ความสามารถ
และทัศนคติในการทำงาน มีวัตถุประสงค์เพื่อให้แรงงานกึ่งฝีมือและแรงงานฝีมือได้รับค่าจ้างที่เหมาะสม จูงใจให้แรงงานพัฒนาฝีมือให้เป็นที่ยอมรับ เพิ่มหลักประกันรายได้ รวมทั้งเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจ
13. เรื่อง มาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในช่วงฤดูฝน ปี 2568 และส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในฤดูแล้ง ปี 2568/2569
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) เสนอ ดังนี้ (1) รับทราบมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในช่วงฤดูฝน ปี 2568 และส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในฤดูแล้ง ปี 2568/2569 (2) มอบหมายหน่วยงานดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว โดยรายงาน ให้ กนช. ทราบ พร้อมทั้งสรุปผลการดำเนินงานรายงานคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป และให้ กนช. สทนช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
ตามปฏิทินการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำช่วงฤดูฝน ปี 2568 เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม2568 สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) จึงร่วมกับทุกภาคส่วนถอดบทเรียนการบริหารจัดการทรัพยากรนำฤดูฝน ปี 2567 มาปรับปรุงมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 เพื่อบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น จำนวน 9 มาตรการ รวมทั้งได้จัดทำโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในช่วงฤดูฝน ปี 2568 และส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในฤดูแล้งปี 2568/2569 โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. มาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 จำนวน 9 มาตรการ ดังนี้
ตัวอย่างการดำเนินการ | หน่วยงานที่รับผิดชอบ |
มาตรการที่ 1 คาดการณ์ชี้เป้าและแจ้งเตือนพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและพื้นที่เสี่ยงฝนทิ้งช่วง (ก่อนฤดูฝน – ตลอดช่วงฤดูฝน) | |
(1) เพิ่มประสิทธิภาพคาดการณ์ปริมาณน้ำฝน ปริมาณน้ำในลำน้ำ ปริมาณน้ำไหล เข้าอ่างเก็บน้ำเพื่อประเมินพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและดินโคลนถล่ม พร้อมปรับข้อมูลให้สอดคล้องกับสถานการณ์ และส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปใช้เตรียมการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูฝน (2) ประเมินพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำจากฝนทิ้งช่วง เพื่อให้หน่วยงานนำไปกำหนดแผนปฏิบัติเพื่อเตรียมดำเนินในเชิงป้องกันล่วงหน้าในพื้นที่เสี่ยง (3) เพิ่มประสิทธิภาพ/ปรับแผนการแจ้งเตือนระยะยาว ระยะปานกลาง (เผชิญเหตุ) อย่างต่อเนื่อง และเพิ่มความถี่การแจ้งเตือนตามความรุนแรงของสถานการณ์ (4) ติดตามสถานการณ์และคาดการณ์ โดยประยุกต์ใช้ข้อมูลดาวเทียม เรดาร์ และโดรน (5) จัดทำแผนที่ที่มีแนวโน้มความเสี่ยงสูง และเกณฑ์บริหารพื้นที่เสี่ยง |
– กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) – กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) – กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) – กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) – กระทรวงมหาดไทย (มท.) – กรุงเทพมหานคร (กทม.) – สทนช. – กรมประชาสัมพันธ์ (กปส.) |
มาตรการที่ 2 ทบทวน ปรับปรุง เกณฑ์บริหารจัดการน้ำในแหล่งน้ำ อาคารควบคุมบังคับน้ำอย่างบูรณาการในระบบลุ่มน้ำและกลุ่มลุ่มน้ำ (ก่อนฤดูฝน – ตลอดช่วงฤดูฝน) | |
(1) เกณฑ์และมาตรฐานการบริหารจัดการน้ำ เช่น ทบทวน ปรับปรุงกลไกและหลักเกณฑ์ปฏิบัติการอ่างเก็บน้ำ (Rule Curve) และเกณฑ์การระบายน้ำเขื่อน/อาคารระบายน้ำ เชื่อมโยงกับระดับน้ำในพื้นที่ รวมถึงปรับเกณฑ์ระดับเตือนภัยแต่ละหน่วยงานให้สอดคล้องกันและจัดทำจุดบ่งชี้ระดับน้ำท่วมที่เคยเกิดขึ้น (Flood Mark) ในพื้นที่เสี่ยง (2) การบริหารจัดการน้ำในภาพรวมของกลุ่มลุ่มน้ำ เช่น จัดทำแผนบริหารจัดการน้ำระดับลุ่มน้ำและกลุ่มลุ่มน้ำ รวมทั้งติดตามสถานการณ์น้ำในแหล่งน้ำทุกขนาดเพื่อเฝ้าระวังและควบคุมการบริหารจัดการน้ำให้เป็นไปตามเกณฑ์ปฏิบัติการอ่างเก็บน้ำหรือเกณฑ์ควบคุม (3) การบริหารจัดการฟื้นที่ลุ่มต่ำรองรับน้ำหลาก เช่น เตรียมความพร้อมการใช้พื้นที่ลุ่มต่ำ/แก้มลิง เป็นพื้นที่หน่วงน้ำในช่วงฤดูน้ำหลาก และจัดทำแผนการระบายน้ำ/แผนเก็บกักน้ำ ไว้ใช้ก่อนสิ้นฤดูฝน (4) วางแผน ปรับปฏิทินและควบคุมพื้นที่เพาะปลูกพืชฤดูฝนให้เหมาะสมสอดคล้อง กับสถานการณ์น้ำ เช่น กำหนดแผนการจัดสรรน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ช่วงน้ำหลาก และฝนทิ้งช่วง รวมทั้งกำหนดแผน ปรับปฏิทินและควบคุมพื้นที่เพาะปลูกพืชฤดูฝนและขึ้นทะเบียนเกษตรกร โดยระบุพื้นที่คาดการณ์เพาะปลูก และแหล่งน้ำที่นำมาใช้ให้ชัดเจน |
– อว. – กษ. – ทส. – กระทรวงพลังงาน (พน.) – มท. – กทม. – สทนซ. – คณะกรรมการลุ่มน้ำ – กปส. |
มาตรการที่ 3 เตรียมความพร้อมเครื่องจักรเครื่องมือ อาคารชลศาสตร์ ระบบระบายน้ำ โทรมาตร บุคลากรประจำพื้นที่เสี่ยงให้สามารถรองรับสถานการณ์ในช่วงน้ำหลากและฝนทิ้งช่วง (ก่อนฤดูฝน – ตลอดช่วงฤดูฝน) | |
(1) เตรียมพร้อม/วางแผนเครื่องจักร เครื่องมือ ประจำพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและพื้นที่เสี่ยง ในช่วงฝนทิ้งช่วง เช่น เตรียมความพร้อมด้านบุคลากร เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำท่วมและช่วงฝนทิ้งช่วง ให้สามารถความช่วยเหลือได้ตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งจัดทำระบบฐานข้อมูลและเตรียมความพร้อมเครื่องจักรเครื่องมือให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานและเข้าช่วยเหลือได้ทันสถานการณ์ โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงสูง (2) เตรียมความพร้อม ซ่อมแซม ปรับปรุง อาคารชลศาสตร์ ระบบระบายน้ำ โทรมาตร ให้พร้อมใช้งาน เช่น ตรวจสอบสภาพความมั่นคง และซ่อมแซมอ่างเก็บน้ำ อาคารควบคุม บังคับน้ำ รวมทั้งระบบระบายน้ำ และตรวจสอบสถานีโทรมาตร ซ่อมแซมให้มีสภาพพร้อมใช้งาน สามารถตรวจวัดแสดงผล และเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อให้ทุกหน่วยงานใช้ในการติดตามสถานการณ์ได้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา (3) ปรับปรุงแก้ไขสิ่งกีดขวางทางน้ำ เช่น สำรวจ และจัดทำแผนดำเนินการกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำที่เกิดจากการก่อสร้างและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน จัดการพื้นที่น้ำท่วม/ พื้นที่ชะลอน้ำ และปรับปรุงคูคลองเพื่อเพิ่มพื้นที่รับน้ำและระบายนำได้อย่างสะดวกรวดเร็ว (4) เพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำและปรับปรุงวิธีการส่งน้ำในพื้นที่เสี่ยงในช่วงฝนทิ้งช่วง เช่น ลดการสูญเสียน้ำโดยการปรับปรุงวิธีการส่งน้ำและซ่อมแซมระบบการส่งน้ำเพื่อเพิ่มศักยภาพการใช้น้ำ ให้ได้ประโยชน์สูงสุด และปฏิบัติการฝนหลวงในช่วงฝนทิ้งช่วง |
– กระทรวงกลาโหม (กห.) – อว. – กษ. – กระทรวงคมนาคม (คค.) – ดศ. – ทส. – พน. – มท. – กทม. – สทนช. – สำนักงานตำรวจแห่งชาติ |
มาตรการที่ 4 ตรวจสอบพร้อมติดตามความมั่นคงปลอดภัย คันกั้นน้ำ ทำนบ พนังกั้นน้ำ (ก่อนฤดูฝน – ตลอดช่วงฤดูฝน) |
|
(1) ตรวจสอบความมั่นคง แข็งแรงของคันกั้นน้ำ ทำนบ พนังกั้นน้ำ โดยเฉพาะพื้นที่เปราะบาง พร้อมทั้งซ่อมแซมและปรับปรุงให้มีสภาพพร้อมใช้งาน (2) เตรียมแผนเสริมความสูง หรือก่อสร้างคันกั้นน้ำ ทำนบ และพนังกั้นน้ำชั่วคราว (3) จัดทำแผนการซ่อมแซมระหว่างและหลังจากเกิดอุทกภัย (4) จัดทำฐานข้อมูลระดับคันกั้นน้ำ พนังกั้นน้ำ และระดับน้ำอ้างอิงที่ทำให้เกิดน้ำท่วม โดยเฉพาะจุดต่ำสุด เช่น แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำโขง เป็นต้น (5) จัดตั้งคณะทำงานตรวจสอบความมั่นคงปลอดภัย คันกั้นน้ำ ทำนบ พนังกั้นน้ำ ภายใต้คณะกรรมการลุ่มน้ำ ประกอบด้วยภาครัฐและภาคประชาชน |
– กห. – อว. – กษ – คค. – พน. – มท. – สทนช. – คณะกรรมการลุ่มน้ำ – หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง |
มาตรการที่ 5 เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำของทางน้ำอย่างเป็นระบบ (ก่อนฤดูฝน – ตลอดช่วงฤดูฝน) | |
(1) จัดทำข้อมูลสารสนเทศการบูรณาการกำจัดผักตบชวาและวัชพืชลอยน้ำ ช่วงเวลาการจัดเก็บ และแผนบำรุงรักษาลำน้ำ รวมทั้งประชาสัมพันธ์และเชิญชวนประชาชน ในชุมชน ช่วยกันจัดเก็บหรือกำจัดผักตบชวาและวัชพืชลอยน้ำ และขยะในลำน้ำ (2) ดำเนินการขุดลอกคูคลอง เพื่อเพิ่มพื้นที่หน้าตัดแม่น้ำลำคลอง และเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ (3) สำรวจ ตรวจสอบ และประเมินความสามารถในการระบายน้ำในทางน้ำ ที่มีความเสี่ยง ก่อนเข้าสู่ฤดูฝน เช่น แม่น้ำปิง จังหวัดเชียงใหม่ และห้วยหลวง จังหวัดอุดรธานี เป็นต้น (4) ประยุกต์ใช้ข้อมูลจากผังน้ำ ในการกำหนดพื้นที่น้ำหลาก น้ำนอง และพื้นที่ลุ่มต่ำ |
– อว. – กษ. – คค. – ทส. – มท. – กทม. – สทนช. |
มาตรการที่ 6 ซักซ้อมแผนเผชิญเหตุตั้งศูนย์ส่วนหน้าก่อนเกิดภัยและฟื้นฟูสภาพให้กลับสู่สภาพปกติ (ตลอดช่วงฤดูฝน) | |
(1) ซักซ้อมแผนเผชิญเหตุจัดเตรียมพื้นที่อพยพ/ศูนย์พักพิง โดยกำหนดรูปแบบแผนเผชิญเหตุให้สอดคล้องกับบริบทแต่ละพื้นที่ รวมถึงจัดทำบัญชีปศุสัตว์และประมงจุดอพยพและแผนการเคลื่อนย้ายสัตว์เลี้ยง (2) ตั้งศูนย์ส่วนหน้าก่อนเกิดภัย เช่น ตั้งศูนย์บัญชาการบริหารจัดการน้ำส่วนหน้า สำหรับเผชิญเหตุเพื่อเตรียมความพร้อมและบริหารจัดการสถานการณ์ และจัดทำระบบ รายงานผลการปฏิบัติงานของศูนย์ส่วนหน้า (3) จัดทำแผนการฟื้นฟูให้กลับสู่สภาพปกติ |
– กท. – อว. – กษ. – ดศ. – ทส. – มท. – สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ – สทนช. – คณะกรรมการลุ่มน้ำ – กปส. |
มาตรการที่ 7 เร่งพัฒนาและเก็บกักน้ำ ในแหล่งน้ำทุกประเภทช่วงปลายฤดูฝน (ตลอดช่วงฤดูฝน) | |
(1) เร่งเก็บน้ำ/สูบทอยน้ำส่วนเกินในช่วงปลายฤดูฝนไปเก็บในลำน้ำ และแหล่งน้ำทุกประเภทไว้ใช้ในฤดูแล้ง ให้สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ (2) บริหารจัดการอ่างเก็บน้ำ/แหล่งน้ำตามเกณฑ์ปฏิบัติการอ่างเก็บน้ำ (Rule Curve) หรือเต็มศักยภาพเก็บกัก (3) พัฒนาแหล่งน้ำผิวดินและน้ำใต้ดินเพิ่มขึ้น ได้แก่ สระน้ำ หนองน้ำ บ่อน้ำตื้น บ่อบาดาล เป็นต้น เพื่อใช้เป็นน้ำต้นทุนในช่วงฤดูแล้งถัดไป (4) ดูแลบำรุงรักษาอุปกรณ์ในการสูบผันน้ำให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน (5) จัดทำเกณฑ์และระยะเวลาการเก็บกักน้ำ |
– กษ. – ทส. – พน. – มท. – หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง |
มาตรการที่ 8 สร้างการรับรู้ความเสี่ยงและสร้างความเข้มแข็งเครือข่ายในการติดตามเฝ้าระวัง รับมือภัยด้านน้ำ (ก่อนฤดูฝน – ตลอดช่วงฤดูฝน) | |
(1) ให้องค์ความรู้ภาคประชาชนในการติดตาม เฝ้าระวัง และแจ้งข้อมูลในพื้นที่ (2) สร้างเครือข่ายภาคประชาชนในพื้นที่ เพื่อแจ้งข้อมูลสถานการณ์ (3) สร้างช่องทางในการส่งข้อมูล/แจ้งข้อมูลสถานการณ์ (4) จัดตั้งศูนย์บริการข้อมูลสถานการณ์น้ำ และดินโคลนถล่มในพื้นที่เสี่ยง (5) เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร และชี้แจงข่าวเท็จ (Fake News) ในระดับส่วนกลางและพื้นที่เพื่อให้ภาคประชาชนได้รับข้อมูลข้อเท็จจริง (6) จัดทำระบบการประเมินผลการประชาสัมพันธ์และแจ้งเตือน |
– ทส. – มท. – สทนช. – กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร – คณะกรรมการลุ่มน้ำ – กปส. – หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง |
มาตรการที่ 9 ติดตามประเมินผลปรับมาตรการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ภัย (ตลอดช่วงฤดูฝน) | |
(1) กำหนดประเด็นตัวชี้วัดการดำเนินการ (กระบวนการ ผลผลิต ผลลัพธ์) (2) ติดตาม วิเคราะห์ ประเมินสถานการณ์น้ำร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และภาคประชาชน อย่างใกล้ชิด (3) ติดตามการดำเนินงานและสรุปผล เพื่อปรับมาตรการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ภัย (4) จัดทำระบบติดตามการให้ความช่วยเหลือ |
– สทนช. – ทุกหน่วยงาน |
2. โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในช่วงฤดูฝน ปี 2568 และส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแล้ง ปี 2568/2569 สรุปได้ ดังนี้
หัวข้อ | รายละเอียด |
วัตถุประสงค์ | (1) เพื่อสนับสนุนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการตามมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มศักยภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในฤดูแล้ง ปี 2568/2569 สถานการณ์อุทกภัย (2) เพื่อส่งเสริมให้เกิดการสร้างอาชีพ รายได้และการจ้างแรงงานให้กับประชาชน หรือผู้ได้รับผลกระทบ สถานการณ์อุทกภัย (3) เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ |
พื้นที่เป้าหมาย | (1) พื้นที่เสี่ยงเกิดอุทกภัย ภัยแล้ง ตามที่ สทนช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนด (2) พื้นที่ที่มีความจำเป็นต้องดำเนินการโดยเร่งด่วน |
ระยะเวลาดำเนินการ | 120 วัน นับตั้งแต่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ |
กิจกรรมและประเภทแผนงานภายใต้ โครงการ | แบ่งประเภทแผนงานโครงการไว้ทั้งหมด 6 ประเภท เพื่อรวบรวม จำแนก วิเคราะห์ กลั่นกรองแผนงานโครงการให้สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินการแต่ละประเภท ดังนี้ (1) การซ่อมแซมอาคารชลศาสตร์ โดยซ่อมแซมอาคารชลศาสตร์ที่ชำรุดเสียหายจากการใช้งานหรือการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ การควบคุม การระบายน้ำ และการเก็บกักน้ำ ให้สามารถใช้งานได้ เช่น ซ่อมแซมพนังกั้นน้ำ/คันกั้นน้ำ ซ่อมแซมระบบส่งน้ำ/ระบายน้ำ ซ่อมแซมอาคารบังคับน้ำ เป็นต้น (2) การปรับปรุงอาคารชลศาสตร์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพอาคารเดิมให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ในปัจจุบันหรือสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต หรือขยายขอบเขตการรับประโยชน์ เช่น ปรับปรุงแหล่งกักเก็บน้ำหรืออาคารประกอบ การขยายขีดความสามารถระบบโทรมาตรและการแจ้งเตือนภัย เป็นต้น (3) การเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ เพื่อแก้ไขสิ่งกีดขวางทางน้ำที่เป็นอุปสรรคต่อการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ การระบายน้ำ การจัดการพื้นที่น้ำท่วม/พื้นที่ชะลอน้ำ หรือเสริมประสิทธิภาพการระบายน้ำ เช่น การกำจัดผักตบชวา/วัชพืชน้ำ ขุดลอกคู คลอง ลำน้ำ แก้มลิง การรื้อย้ายฝายชำรุด ก่อสร้างพนังกั้นน้ำ/เขื่อนป้องกันตลิ่ง เป็นต้น (4) การเพิ่มน้ำต้นทุน โดยการจัดหาแหล่งน้ำรองรับน้ำส่วนเกินในช่วงฤดูฝน หรือแหล่งน้ำสำรองเพื่อเสริมการบริหารจัดการน้ำในช่วงเวลาฤดูแล้งถัดไป เช่น สระ/อ่างเก็บน้ำ ระบบกระจายน้ำ ขุดเจาะบ่อบาดาล ขุดลอกสระ ปฏิบัติการฝนหลวง เป็นต้น (5) การสร้างความมั่นคงด้านน้ำเพื่อการอุปโภค – บริโภค โดยการซ่อมแซม ปรับปรุง ระบบประปาที่มีอยู่เดิมและจัดหาระบบประปาใหม่ เช่น การเป่าล้างทำความสะอาดบ่อบาดาล ซ่อมแซมระบบประปา ก่อสร้างระบบประปา เป็นต้น (6) การเตรียมพร้อมเครื่องจักร เครื่องมือ โดยเตรียมความพร้อมเครื่องจักรเครื่องมือที่มีอยู่แล้วให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน และจัดหาเพิ่มเติมตามความจำเป็นเร่งด่วน เพื่อรองรับการบริหารจัดการน้ำตามสถานการณ์ต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น ซ่อมแซมเครื่องสูบน้ำ จัดหาเรือกู้ภัย เป็นต้น |
การติดตาม และประเมินผล |
(1) โครงการที่ดำเนินการโดยจังหวัด หรือจังหวัดให้หน่วยงานอื่นเบิกจ่ายแทน ให้จังหวัดเป็นผู้รับผิดชอบรวบรวม วิเคราะห์ สรุป จัดทำรายงานความก้าวหน้า (2) โครงการที่ดำเนินการโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดนั้น ๆ เป็นผู้รับผิดชอบ รวบรวม วิเคราะห์ สรุป และจัดทำรายงานความก้าวหน้า (3) โครงการที่ดำเนินการโดยส่วนราชการ ให้หน่วยงานต้นสังกัดของหน่วยรับงบประมาณเป็นผู้รับผิดชอบรวบรวม วิเคราะห์ สรุป จัดทำรายงานความก้าวหน้า โดยให้รายงานความก้าวหน้าการขอรับการจัดสรรงบประมาณ และรายงานผลการดำเนินงานให้ สทนช. ทราบ ทุกวันที่ 5 ของทุกเดือนจนกว่าการดำเนินโครงการจะแล้วเสร็จ |
หมายเหตุ : สทนช. จะไม่พิจารณาแผนงานภายใต้โครงการที่ไม่เกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เช่น งานด้านซ่อม/ปรับปรุงถนน สะพาน หรืออาคารสิ่งปลูกสร้างที่พักอาศัย/สำนักงาน งานปรับปรุงภูมิทัศน์ เป็นต้น
14. เรื่อง การขอรับความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 46 การประชุมสุดยอดอาเซียน-คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ ครั้งที่ 2 และการประชุมสุดยอดอาเซียน-คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับกับสาธารณรัฐประชาชนจีน
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
1. ร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 46 การประชุมสุดยอดอาเซียน-คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ ครั้งที่ 2 และการประชุม สุดยอดอาเซียน-คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับกับสาธารณรัฐประชาชนจีน (ร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ) (การประชุมสุดยอดอาเซียนฯ) จำนวน 14 ฉบับ โดยหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างเอกสารในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้ กต. หรือส่วนราชการเจ้าของเรื่องดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก
2. ให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ ในระดับผู้นำอาเซียน จำนวน 1 ฉบับ ได้แก่ ร่างปฏิญญากรุงกัวลาลัมเปอร์ว่าด้วยอาเซียน 2045: อนาคตร่วมกันของเรา (ตามข้อ 1.1)
3. ให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ ในระดับผู้นำอาเซียน จำนวน 10 ฉบับ (ตามข้อ1.2)
4. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ จำนวน 3 ฉบับ (ตามข้อ 1.3)
(จะมีการลงนาม/รับรองร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ รวม 14 ฉบับ ในการประชุมสุดยอดอาเซียนฯ ระหว่างวันที่ 26 – 27 พฤษภาคม 2568 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย)
สาระสำคัญ
1. การประชุมสุดยอดอาเซียนฯ จะจัดขึ้นในวันที่ 26 – 27 พฤษภาคม 2568 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย กต. จึงขอเสนอร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ รวม 14 ฉบับ โดยแบ่งเป็น (1) ร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ ที่ผู้นำอาเซียนจะร่วมลงนาม จำนวน 1 ฉบับ (2) ร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ ที่ผู้นำอาเซียนจะร่วมรับรอง จำนวน 10 ฉบับ และ (3) ร่างเอกสาร ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะลงนาม จำนวน 3 ฉบับ รายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
1.1 ร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ ที่ผู้นำอาเซียนจะร่วมลงนาม จำนวน 1 ฉบับ ได้แก่ ร่างปฏิญญากรุงกัวลาลัมเปอร์ว่าด้วยอาเซียน 2045: อนาคตร่วมกันของเรา เพื่อรับรองร่างวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ค.ศ. 2045 พร้อมทั้งแผนยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะรวมเป็นชุดเอกสารเรียกว่า “ASEAN 2045: Our Shared Future” โดยมีความครอบคลุมในด้านการเมืองและความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคมและวัฒนธรรม ด้านความเชื่อมโยงและด้านการเสริมสร้างความเข้มแข็งเชิงสถาบัน เพื่อให้บรรลุการเป็นประชาคมอาเซียนที่เข้มแข็ง มีนวัตกรรม มีพลวัต และมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง
1.2 ร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ ที่ผู้นำอาเซียนจะร่วมรับรอง จำนวน 10 ฉบับ ดังนี้ (1) ร่างวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ค.ศ. 2045 “อาเซียนที่เข้มแข็ง มีนวัตกรรม มีพลวัติและมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง” (2) ร่างแผนยุทธศาสตร์ประชาคม การเมืองและความมั่นคงอาเซียน (3) ร่างแผนยุทธศาสตร์ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ค.ศ. 2026 – 2030 (4) ร่างแผนยุทธศาสตร์ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (5) ร่างแผนยุทธศาสตร์ความเชื่อมโยงอาเซียน (6) ร่างปฏิญญากรุงกัวลาลัมเปอร์ว่าด้วยการครบรอบ 10 ปี ของการจัดตั้งประชาคมอาเซียน (7) ร่างปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยความมุ่งมั่นเพื่อความมั่นคงและการพึ่งพาตนเองด้านยา (8) ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมสุดยอดอาเซียน-คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (9) ร่างปฏิญญาร่วมว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) กับคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (จีซีซี) (10) ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมสุดยอดสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (จีซีซี) และสาธารณรัฐประชาชนจีน (การประชุมสุดยอดอาเซียน-จีซีซี-จีน)
1.3 ร่างเอกสารที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะลงนาม จำนวน 3 ฉบับ ดังนี้ (1) ร่างหนังสือให้ความยินยอมต่อการภาคยานุวัติสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยสาธารณรัฐโปแลนด์ (2) ร่างหนังสือให้ความยินยอมต่อการภาคยานุวัติสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยโรมาเนีย (3) ร่างหนังสือให้ความยินยอมต่อการภาคยานุวัติสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยสาธารณรัฐบูรพาอุรุกวัย
ประโยชน์ที่ได้รับ
1. ร่างเอกสารตามข้อ 1.1 และ 1.2 จะเป็นประโยชน์กับประเทศไทยในการส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนและกับประเทศนอกภูมิภาคในประเด็นที่ไทยต้องการเพิ่มพูนศักยภาพ เช่น การเสริมสร้างความปลอดภัยและความมั่นคง การพัฒนาแรงงาน การส่งเสริมการสาธารณสุขการเสริมสร้างความเชื่อมโยง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและเป็นสิ่งที่ประเทศไทยดำเนินการอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว ดังนั้น ร่างเอกสารดังกล่าวทั้ง 11 ฉบับ จึงไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ และไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
2 ร่างเอกสารที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะลงนาม จำนวน 3 ฉบับ ตามข้อ 1.3 เป็นการยินยอมให้สาธารณรัฐโปแลนด์ โรมาเนีย และสาธารณรัฐบูรพาอุรุกวัย ซึ่งเป็นรัฐภายนอกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สามารถภาคยานุวัติสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยจะช่วยเพิ่มพูนความร่วมมือในการส่งเสริมสันติภาพ เสถียรภาพ และความสมานฉันท์ทั้งในภูมิภาคและในระดับโลก ซึ่งเป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับหลักการของอาเซียนและแนวนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ รวมทั้งการดำเนินความสัมพันธ์เพื่อสร้างผลประโยชน์ร่วมกัน
15. เรื่อง การรับรองร่างแถลงการณ์โคลัมโบ การประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย ครั้งที่ 24
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการรับรองร่างแถลงการณ์โคลัมโบ การประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย (Indian Ocean Rim Association: IORA) ครั้งที่ 24 ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ
สาระสำคัญ
ร่างแถลงการณ์ฯ มีสาระสำคัญ เช่น (1) การส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศและการเสริมสร้างพลังทางเศรษฐกิจแก่ผู้หญิง (2) สนับสนุนให้ประเทศสมาชิกใช้กองทุนพิเศษ IORA เพื่อดำเนินโครงการภายใต้ประเด็นที่มีความสำคัญเพื่อส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และความมั่งคั่งในระดับภูมิภาค (3) การเข้าเป็นประเทศหุ้นส่วนคู่เจรจา IORA ลำดับที่ 12 ของสหภาพยุโรป โดยจะมีการรับรองร่างแถลงการณ์ฯ ผ่านระบบการประชุมทางไกล ในวันที่ 21 พฤษภาคม 2568 ทั้งนี้ กต. เห็นว่า ร่างแถลงการณ์ฯ ไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศและไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
16. เรื่อง ขอความเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย รัฐบาลแห่งมาเลเซีย และรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย ว่าด้วยความร่วมมือด้านน้ำมันปาล์ม
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย รัฐบาลแห่งมาเลเซีย และรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย ว่าด้วยความร่วมมือด้านน้ำมันปาล์ม (ร่างบันทึกความเข้าใจฯ) ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวในประเด็นที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้ กษ. พิจารณาดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก รวมทั้ง อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ในการประชุมวางแผนยุทธศาสตร์เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาภายใต้แผนงาน IMT – GT ครั้งที่ 16 ระหว่างวันที่ 20 – 21 มีนาคม 2566 ณ กรุงเทพมหานคร ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้จัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านน้ำมันปาล์มเพื่อพัฒนาความร่วมมือด้านน้ำมันปาล์มในระดับอนุภูมิภาค โดยเห็นชอบให้อินโดนีเซียยกร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าว และให้ศูนย์ประสานงานความร่วมมืออนุภูมิภาค IMT – GT แจ้งเวียนให้ประเทศสมาชิกพิจารณา ต่อมาเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 ประเทศสมาชิกแผนงาน IMT – GT ได้ร่วมกันหารือและเห็นชอบในร่างสุดท้ายของบันทึกความเข้าใจฯ โดยประเทศสมาชิกแต่ละประเทศจะดำเนินการตามกฎหมายภายในประเทศ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ร่วมกัน
2. เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 คณะทำงานสาขาการเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตร IMT – GT ของทั้งสามฝ่าย ได้เข้าร่วมการประชุมวางแผนยุทธศาสตร์เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาภายใต้แผนงาน IMT – GT ครั้งที่ 18 ณ เมืองปุตราจายา มาเลเซีย โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้มีการลงนามร่างบันทึกความเข้าใจฯ โดยมีรัฐมนตรีเกษตรของประเทศสมาชิกแผนงาน IMT – GT หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนาม ในช่วงการประชุมระดับผู้นำ IMT – GT ครั้งที่ 16 ในวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย
3. ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย รัฐบาลแห่งมาเลเซีย และรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย ว่าด้วยความร่วมมือด้านน้ำมันปาล์ม มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกัน สนับสนุนและเอื้ออำนวยการส่งเสริมการค้ารวมถึงเสริมสร้างประสบการณ์และการแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดีระหว่างกัน บนพื้นฐานของการต่างตอบแทนและผลประโยชน์ร่วมกันในด้านการพัฒนาน้ำมันปาล์ม มีสาขาความร่วมมือ เช่น การเสริมสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องในอนุภูมิภาค แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่ายอินโดนีเซีย – มาเลเซีย – ไทย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา รวมถึงการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับกระทรวงการต่างประเทศ (กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ) เห็นว่า ร่างบันทึกความเข้าใจฯ ไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
17. เรื่อง การประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 16 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย -มาเลเซีย – ไทย (IMT – GT)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ ดังนี้ (1) ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 16 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย – มาเลเซีย – ไทย (IMT – GT) ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการยืนยันความมุ่งมั่นในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานภายใต้แผนงาน IMT – GT ในด้านต่าง ๆ เช่น การฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยว การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน (2) ให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้การรับรองแถลงการณ์ร่วมฯ และ (3) ให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์) หรือผู้แทนปฏิบัติหน้าที่เป็นรัฐมนตรีประจำแผนงาน IMT – GT และเข้าร่วมการประชุมฯ ทั้งนี้ จะมีการรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศ (กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ) และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่า ร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศและไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
18. เรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง – ล้านช้าง ประจำปี พ.ศ. 2567 ระหว่างกระทรวงสาธารณสุขกับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง – ล้านช้าง ประจำปี พ.ศ. 2567 ระหว่างกระทรวงสาธารณสุขกับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย (ร่างบันทึกความเข้าใจฯ) ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นที่ต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าวในประเด็นที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดผลประโยชน์ของไทย ให้ สธ. สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง รวมทั้ง อนุมัติให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุขหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. กองทุนพิเศษกรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง จัดตั้งขึ้นในปี 2559 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นกองทุนสำหรับการดำเนินกิจกรรมหรือโครงการความร่วมมือต่าง ๆ ของประเทศสมาชิก (ได้แก่ ราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และประเทศไทย) ในสาขาหลักของกรอบความร่วมมือ 5 สาขา ได้แก่ (1) ความเชื่อมโยง (2) ศักยภาพในการผลิต (3) เศรษฐกิจข้ามพรมแดน (4) ทรัพยากรน้ำ และ (5) การเกษตรและการขจัดความยากจน ซึ่งที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2561 มีหน่วยงานของประเทศไทยหลายหน่วยงานได้ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนดังกล่าวเพื่อดำเนินโครงการต่าง ๆ เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น โดยในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้เคยขอรับการสนับสนุนจากกองทุนดังกล่าวมาแล้ว 3 ครั้ง รวมจำนวน 4 โครงการ รวมเป็นเงินประมาณ 21.7 ล้านบาท ดังนี้ ปี 2563 ได้แก่ โครงการ Strengthening on HIV/AIDS Cooperation in the CCLM (Cambodia, China, Lao PDR, Myanmar) Countries ปี 2565 (1) โครงการ Improving Maternal and Child Health System in Remote Area and Bordering Thailand-Lao PDR (2) โครงการ Current Status of Blood & Liver Fluke and Other Parasite Infection along the Mekong River in Thailand, Lao PDR and Cambodia และ ปี 2567 ได้แก่ โครงการ Strengthening the Cooperation of Traditional and indigenous Medicine in response to COVID – 19 Pandemic in the Greater Mekong Basin
ในครั้งนี้ สธ. ได้เสนอขอรับการสนับสนุน จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ (1) โครงการการพัฒนารูปแบบการปรับปรุงสุขอนามัย และการส่งเสริมความรู้และการปฏิบัติงานของอาสาสมัครในการป้องกันโรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน พื้นที่ชายแดนไทย – ลาว ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความรู้และแนวปฏิบัติของอาสาสมัครสาธารณสุขเพื่อป้องกันโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน งบประมาณ 243,300 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 8.2 ล้านบาท) และ (2) โครงการส่งเสริมและพัฒนาสถานพยาบาลและบุคลากรด้านการแพทย์เพื่อสนับสนุนการส่งเสริมสุขภาพแม่และเด็กในพื้นที่ชายแดนลุ่มน้ำล้านช้าง – แม่โขง ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งของสถานบริการสุขภาพและผู้ประกอบวิชาชีพด้านการดูแลสุขภาพเพื่อส่งเสริมการดูแลสุขภาพแม่และเด็กในพื้นที่ชายแดนของประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ได้แก่ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเวียดนาม และไทย งบประมาณ 182,500 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 6.2 ล้านบาท)
2. ร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เป็นการกำหนดรายละเอียดสำหรับการดำเนินโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง – ล้านช้าง ประจำปี 2567
ทั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พิจารณาแล้วเห็นชอบ/ไม่ขัดข้อง โดยกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า ร่างบันทึกความเข้าใจฯ ไม่เป็นสนธิสัญญาภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศและไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
19. เรื่อง การสนับสนุนค่าบำรุงของประเทศสมาชิกองค์การอนามัยโลก
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการสนับสนุนค่าบำรุงของประเทศสมาชิกองค์การอนามัยโลก ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ
สาระสำคัญ
การสนับสนุนค่าบำรุงของประเทศสมาชิกองค์การอนามัยโลก เป็นการเพิ่มการจ่ายเงินบำรุงค่าสมาชิกองค์การอนามัยโลกของประเทศไทยในอัตราใหม่ ดังนี้ (1) ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 – 2570 จ่ายเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 จากปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 (2) ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2571 – 2572 จ่ายเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 จากปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 และ (3) ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2573 – 2574 จ่ายเพิ่มขึ้น ร้อยละ 27 จากปีงบประมาณ พ.ศ. 2572 โดยจะมีการหารือและให้การรับรองการเพิ่มการจ่ายเงินบำรุงดังกล่าว ในที่ประชุมสมัชชาอนามัยโลก สมัยที่ 78 ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศ (กรมองค์การระหว่างประเทศ) พิจารณาแล้วไม่ขัดข้องในหลักการ
20. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้ง นางสาวจิตรา ณีศะนันท์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง ผู้อำนวยการกอง (ผู้อำนวยการสูง) กองมาตรฐานการกำกับและตรวจสอบภาษี กรมสรรพากร ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านพัฒนาฐานภาษี (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป
21. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงพาณิชย์)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอแต่งตั้ง นายกิตติวัฒน์ ปัจฉิมนันท์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง รองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์ เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป
22. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เสนอแต่งตั้ง นายนคร เสรีรักษ์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านการรักษาผลประโยชน์ของชาติ) ในคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระเนื่องจากขอลาออก ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป โดยผู้ได้รับแต่งตั้งแทนนี้อยู่ในตำแหน่งได้เท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งตนแทน
23. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (กระทรวงสาธารณสุข)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง นายสุวัฒน์ วิริยพงษ์สุกิจ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล แทน รองศาสตราจารย์จิรุตม์ ศรีรัตนบัลล์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากขอลาออก ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป และผู้ได้รับแต่งตั้งแทนนี้อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว
24. เรื่อง แต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) เสนอแต่งตั้ง นายพิสิฐ รังสฤษฎ์วุฒิกุล เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ แทน นายนคร ศิลปอาชา ประธานกรรมการเดิมที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากมีอายุครบเจ็ดสิบปีบริบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป และผู้ได้รับแต่งตั้งตั้งแทนนี้อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของประธานกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว
*****************************
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/96574&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw27rCVZF_TtS8ssOvZCDBDh