เวียดนามจะแซงไทย เป็นไปได้แต่อาจไม่สำคัญอย่างที่คิด

เวียดนามจะแซงไทย-เป็นไปได้แต่อาจไม่สำคัญอย่างที่คิด
เวียดนามจะแซงไทย เป็นไปได้แต่อาจไม่สำคัญอย่างที่คิด

วันดีคืนดี ประเด็นเรื่องเศรษฐกิจเวียดนามจะแซงไทยก็กลับมาปรากฏมากมายบนหน้าฟีด ผมสืบค้นที่มาที่ไปจนมาเจอต้นทางจากรายงานการจัดลำดับประเทศตามเศรษฐกิจ (World Economic League) ประจำปี 2025 ที่จัดทำโดยศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจในสหราชอาณาจักร (Centre for Economics Business Research)

รายงานดังกล่าวคาดการณ์ว่า ภายในปี 2030 เวียดนามจะแซงไทยขึ้นเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของอาเซียน และอาจไต่ขึ้นถึงอันดับหนึ่งภายในปี 2036

(ซ้าย) จีดีพีของไทยและเวียดนามระหว่างปี 1985-2023 หน่วย: พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ขวา) จีดีพีต่อหัวของไทยและเวียดนามระหว่างปี 1985-2023 หน่วย: พันดอลลาร์สหรัฐฯ (ข้อมูลจากธนาคารโลก)

หากเปรียบเทียบตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือ GDP ระหว่าง 2 ประเทศตั้งแต่ปี 1985 จนถึงปัจจุบันจะเห็นว่า ไทยออกตัวแรงกว่า เพราะใช้ระบบจัดสรรทรัพยากรโดยตลาด และเปิดประเทศต้อนรับกระแสโลกาภิวัตน์มาก่อนจะสะดุดหยุดลงเมื่อเจอวิกฤตต้มยำกุ้ง แต่ก็ตั้งหลักใหม่แล้วพุ่งทะยานได้อีกครั้ง ส่วนเวียดนามเริ่มเปลี่ยนผ่านจากระบอบจัดสรรทรัพยากร จากส่วนกลางแบบคอมมิวนิสต์สู่ระบอบตลาดนับตั้งแต่นโยบาย ‘โด๋ยเม้ย’ (Đổi Mới) หรือที่แปลว่าการบูรณะ

ที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยและเวียดนามเติบโตโดยทิ้งช่วงห่างกันตลอด กระทั่งเศรษฐกิจไทยเจอจุดสะดุดครั้งใหญ่จากการระบาดของโรคโควิด-19 และอีกสารพันปัญหาโครงสร้างที่เริ่มปรากฏตัวขึ้น ช่องว่างของขนาดเศรษฐกิจก็เริ่มหดแคบลงเรื่อยๆ ยิ่งปัจจุบันที่ไทยเผชิญภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวที่คาดว่า ทั้งปีนี้และปีหน้าเศรษฐกิจไม่น่าจะเติบโตเกิน 2-3% ส่วนเวียดนามมีแนวโน้มว่าจะสามารถรักษาอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในกรอบ 5-6% ซึ่งต่อเนื่องยาวนานมากว่า 15 ปีอีกสักระยะ

แต่ถึงแม้ขนาดเศรษฐกิจของ 2 ประเทศจะขยับเข้าใกล้กัน แต่หากหารผลผลิตทางเศรษฐกิจต่อหัวแล้ว เวียดนามยังห่างจากไทยอยู่มาก เนื่องจากประชากรเวียดนามมีจำนวนแตะ 100 ล้านคน ขณะที่ไทยตอนนี้อยู่ที่ราว 70 ล้านคนเท่านั้น เรียกได้ว่า เวียดนามยังคงเป็นหน้าใหม่ของกลุ่มประเทศรายได้ปานกลาง ส่วนไทยนั้นอยู่ในระหว่างดิ้นรนเพื่อขยับตัวเองสู่ประเทศรายได้สูง

อย่างไรก็ตามภายใต้ตัวเลขการเติบโตอันน่าอัศจรรย์ของเวียดนาม นักเศรษฐศาสตร์จำนวนหนึ่งก็เริ่มมองเห็นสัญญาณความเปราะบางของเศรษฐกิจเวียดนามที่อาจ ‘ชนเพดาน’ การเติบโตในไม่ช้า นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ โต เลิม (To Lam) เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ของเวียดนาม หมายมั่นว่าจะผลักประเทศให้สร้างนวัตกรรมด้วยตัวเอง ไม่ใช่เป็นแค่ฐานผลิตค่าแรงต่ำ เพื่อส่งออกอย่างที่เคยเป็นมา

ความท้าทายครั้งใหญ่ของเวียดนาม

เวียดนามเดินตามรอยสูตรสำเร็จ ขยับเป็นประเทศรายได้ปานกลางของนานาประเทศรวมถึงไทย นั่นคือการใช้ข้อได้เปรียบจากแรงงานราคาถูก ดึงดูดเม็ดเงินให้บริษัทต่างชาติมาลงทุน เพื่อใช้เป็นฐานการผลิตสินค้าส่งออกไปทั่วโลก ปีที่ผ่านมาเวียดนามยังคงดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้มหาศาล โดยคิดเป็น 6 เท่าตัวของไทย ถ้าหากดาวเด่นของไทยคือ ชิ้นส่วนยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ เรือธงของเวียดนามก็คือ โทรศัพท์ โดยมีเจ้าใหญ่อย่างซัมซุง (Samsung)

โรงงานขนาดใหญ่ที่สุดของซัมซุงตั้งอยู่ที่จังหวัดไทเหงียน ไม่ไกลจากกรุงฮานอย และจ้างแรงงานชาวเวียดนาม 1.6 แสนคน เพื่อประกอบชิ้นส่วนสมาร์ตโฟน บริษัทซัมซุงเพียงแห่งเดียวก็คิดเป็นสัดส่วนมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 14% จากมูลค่าการส่งออกทั้งหมดที่คิดเป็นสัดส่วนราว 90% ของ GDP เวียดนาม

การพึ่งพาเงินลงทุนจากต่างชาติที่ฉุดพาให้เศรษฐกิจเวียดนามเติบโต เป็นทั้งยาวิเศษและยาพิษ จากสถิติพบว่า มูลค่าเพิ่มต่อหน่วยของสินค้าที่ผลิตในเวียดนามนั้นต่ำมาก เมื่อเทียบกับประเทศไทยหรือมาเลเซีย ภาคการผลิตสินค้าเพื่อส่งออกของเวียดนามส่วนใหญ่เป็นงานใช้แรงงานเข้มข้น แต่ไม่ต้องอาศัยทักษะ ในขณะที่ชิ้นส่วนสำคัญก็ไม่ได้ผลิตในประเทศ แต่นำเข้ามาจากจีนหรือเกาหลีใต้ หากวันหนึ่งค่าแรงของเวียดนามเพิ่มสูงขึ้น เหล่าบริษัทข้ามชาติก็มีโอกาสย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีค่าแรงต่ำกว่า เช่น บังคลาเทศหรือแอฟริกา

เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ใช่เรื่องเกินคาด เพราะเวียดนามกำลังก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนลิวอิส (Lewis Turning Point) เพราะภาคอุตสาหกรรมดึงดูดแรงงานส่วนเกินในภาคการเกษตรและชนบทมาจนหมดแล้ว หากมีการขยายตัวของอุตสาหกรรมเพิ่ม สิ่งที่ตามมาคือการเพิ่มขึ้นของค่าแรงอย่างรวดเร็ว สถิติชี้ชัดว่า เวียดนามกำลังเข้าใกล้จุดดังกล่าว เพราะจำนวนแรงงานจากภาคเกษตรที่เคยหลั่งไหลเข้ามาสู่ภาคอุตสาหกรรมราวปีละ 1 ล้านคน กลับหดตัวเหลือเพียง 2 แสนคนเท่านั้น

อีกโจทย์สำคัญคือ ข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วทำให้โครงสร้างพื้นฐานของเวียดนามเติบโตตามไม่ทัน เมืองใหญ่อย่างโฮจิมินห์และฮานอยต่างประสบปัญหาโครงสร้างพื้นฐานย่ำแย่ ทั้งถนนหนทาง การขนส่งสาธารณะ ท่าเรือ และโครงข่ายพลังงานที่ไม่เพียงพอ ธนาคารโลกระบุว่า โครงสร้างพื้นฐานนี้เองที่จะกลายเป็นข้อจำกัดในการเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนาม ปัญหาดังกล่าวเริ่มปรากฏชัดจากเหตุการณ์ไฟฟ้าดับบ่อยครั้ง รวมถึงการปันส่วนการใช้ไฟฟ้าเมื่อเกิดคลื่นความร้อน

และอีกหนึ่งโครงสร้างสำคัญที่เวียดนามยังล้าหลังกว่าประเทศไทยอย่างมาก คือภาคการเงิน ธนาคารในเวียดนามอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐอย่างเข้มงวด และกลายเป็นเครื่องมือเพื่อเอื้อประโยชน์พวกพ้อง โดยปล่อยสินเชื่อให้กับเครือข่ายทางการเมืองด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าและอนุมัติง่ายกว่า ส่วนตลาดทุนเองก็ยังต้องพัฒนาอีกมาก โดยตลาดหุ้นเวียดนามถูกจัดอยู่ในประเภทตลาดชายขอบ (Frontier Market) ซึ่งต้องยกระดับเรื่องกฎเกณฑ์ ความโปร่งใส และบรรษัทภิบาลเพื่อให้ได้สถานะตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) เช่นของประเทศไทย 

จึงไม่น่าแปลกใจนักที่ โต เลิม ผู้นำคนปัจจุบันของเวียดนามจะเร่งเดินหน้านโยบายปฏิรูปครั้งใหญ่ ทั้งลดความซับซ้อนของกฎระเบียบในการทำธุรกิจ เร่งรัดงบประมาณด้านโครงสร้างพื้นฐาน และที่สำคัญ เพิ่มสัดส่วนงบประมาณด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อผลักดันให้เวียดนามเป็นมากกว่า ‘โรงงานประกอบชิ้นส่วนค่าแรงต่ำ’ ซึ่งนับว่าไม่ง่ายเลยสำหรับภาวะภูมิรัฐศาสตร์ในปัจจุบันที่มีความไม่แน่นอนสูงจากนโยบายกำแพงภาษีของทรัมป์ ซึ่งอาจสูงถึง 46%

เวียดนามจะแซงไทย แล้วมันยังไงนะ

หากวันหนึ่งเศรษฐกิจเวียดนามจะมีมูลค่าสูงกว่าไทย สำหรับผมแล้วมันไม่ใช่ปัญหาเลย เพราะหากวัดในมิติอื่นๆ ทั้งด้านรายได้ต่อหัว ทุนมนุษย์ โครงสร้างพื้นฐาน และตลาดทุนตลาดเงิน ยังไงประเทศไทยก็ยังเหนือกว่า โจทย์ของไทยในปัจจุบันก็คล้ายกับเวียดนาม คือจะทำอย่างไรเพื่อเร่งสร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างนวัตกรรมของตัวเอง แล้วก้าวกระโดดจากกับดักประเทศรายได้ปานกลางให้เป็นรายได้สูงได้สำเร็จ

นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ สิ่งสำคัญคือเราต้องตั้งเป้าหมายให้ชัดว่าเราต้องการเป็นอะไร และจะบรรลุเป้าหมายนั้นอย่างไร พร้อมกับยอมรับความจริงว่าระหว่างทางย่อมมีคน เจ็บตัว จากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว

ที่ผ่านมาการเมืองที่ลุ่มๆ ดอนๆ เหมือนทำให้เราหลงทิศหลงทางและอยากเป็นทุกอย่าง เราอยากสนับสนุนพลังงานหมุนเวียน แต่ในขณะเดียวกันก็อยากเป็นศูนย์กลางด้านก๊าซธรรมชาติเหลว เราอยากเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า แต่จะยืนหยัดเป็นบ้านหลังสุดท้ายของรถสันดาป เราอยากเป็นครัวของโลก แต่ผลิตภาพทางการเกษตรของเรายังต่ำเตี้ยเรี่ยดิน และหยุดนิ่งมาร่วมทศวรรษ ฯลฯ

ก่อนที่เราจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด เราต้องเริ่มจากยอมรับความจริงให้ได้ว่า การไปถึงปลายทางนั้นอย่างไรก็มีคนเจ็บตัว หากจะสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ยักษ์ใหญ่ด้านเชื้อเพลิงฟอสซิลก็ต้องอยู่ลำบาก หากจะหนุนรถยนต์ไฟฟ้า โรงงานรถสันดาปก็ต้องปิดตัว หากจะเพิ่มผลิตภาพทางการเกษตรก็ต้องนำเครื่องจักรเข้าไปใช้ เท่ากับว่าแรงงานในภาคการเกษตรจำนวนมากต้องตกงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นี่คือกระบวนการทำลายล้างอย่างสร้างสรรค์ (Creative Destruction) ในระบบเศรษฐกิจหนึ่ง เรามีทรัพยากรอยู่อย่างจำกัด การที่บริษัทใดบริษัทหนึ่งล้มหายตายจากไปคือ การเคลื่อนที่ของทุนและแรงงานไปยังธุรกิจที่ ‘มีอนาคต’ มากกว่า แต่หากยังพยายามยื้อยุดอุตสาหกรรมเก่าที่ใกล้หมดลมหายใจเอาไว้ เราก็จะตกอยู่ในภาวะอิหลักอิเหลื่ออย่างเช่นในปัจจุบัน

ภาครัฐและภาคเอกชนไทยไม่ได้ขาดแคลนเงินทุน เพียงแต่ทุกวันนี้เราใช้เงินทุนเหล่านั้นเพื่อยื้อสถานภาพที่เป็นอยู่เดิมเอาไว้ ไม่ได้ใช้เพื่อเปลี่ยนผ่านหรือปฏิรูปเศรษฐกิจ ผู้เขียนก็ได้แต่เฝ้าฝันว่า จะมีพรรคการเมืองใจถึงเข้ามาสร้างการเปลี่ยนแปลง และกล้าที่จะยอมเจ็บตัวในระยะสั้นเพื่อหวังผลบวกในระยะยาว ไม่ใช่เอาแต่แก้วิกฤตเฉพาะหน้า ประสานประโยชน์ลงตัวทุกฝ่ายแต่ประเทศไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

เอกสารประกอบการเขียน

The man with a plan for Vietnam

Vietnam’s economy is booming, but its new leader is worried

Viet Nam’s Economy is Forecast to Grow 6.1% in 2024: WB

World Economic League Table

เวียดนามจะแซงไทย? ทำไมนักเศรษฐศาสตร์ถึงมองว่า เศรษฐกิจเวียดนามอาจไม่สดใสอย่างที่คิด

เศรษฐกิจไทยแพ้เวียดนามตรงไหน? เทียบตัวเลขเศรษฐกิจ-ทุนมนุษย์-เทคโนโลยี

Tags: , , , , ,

———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://themomentum.co/econcrunch-vietnam-economy/&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw1ouDUmahWCg_8UNNoO8G7c

Related Post

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *