ศูนย์วิจัย CEBR จากสหราชอาณาจักร ระบุชัดในรายงาน “World Economic League Table” ว่า ในปี 2028 เวียดนามจะมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่าไทย ซึ่งหากดูจากข้อมูลแล้วมีความเป็นไปได้สูง เพราะ ในปี 2024 เวียดนามมีขนาด GDP ที่ 571,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ วียดนามได้กลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ในอาเซียน รองจากอินโดนีเซีย และ ไทย แต่ได้แซงหน้ามาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ไปเรียบร้อยแล้ว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
IMF คาดว่า ปี 2027 ไทยจะมี GDP อยู่ที่ 692,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่เวียดนาม… 690,000 ล้าน ต่างกันนิดเดียว!และในปี 2028 คาดว่า GDP เวียดนามจะแซงไทยอย่างเป็นทางการ ทำให้ไทยจะมีขนาดเศรษฐกิจหล่นไปเป็นอันดับ 3 ของอาเซียน
ยิ่งเมื่อดูอัตราการเติบโตของ GDP ไตรมาส 1 ปี 2568 ก็พบว่า GDP เวียดนาม โตแรงสุดในภูมิภาค
- เวียดนามโตแรงสุดในอาเซียน 6.9%
- ฟิลิปปินส์ ขยายตัว 5.4 %
- อินโดนีเซีย 4.9%
- มาเลเซียโต 4.4
- สิงคโปร์ 3.8%
- ไทย 3.1% เกือบรั้งท้ายอาเซียน
บทความนี้ SPOTLIGHT พูดคุยกับดร.ปิยะศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. InnovestX บริษัทการเงินการลงทุนในกลุ่ม SCBX จึงอยากจะสรุปปัจจัยที่ผลักดันให้เวียดนาม กลายมาเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจร้อนแรงที่สุดในภูมิภาคอาเซียน อะไรคือจุดแข็งของเวียดนาม เปรียบเทียบกับประเทศเศรษฐกิจเคยโตแรงในอดีตอย่างไทย ได้เวลาต้องหันมาทบทวนตัวเอง
1. เวียดนามโตแรง ตั้งเป้าหมายGDP โตเฉลี่ย 6.5%
รัฐบาลเวียดนามวางเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยปีละ 6.5% และที่ผ่านมาก็สามารถบรรลุเป้าหมายได้สำเร็จ เศรษฐกิจเวียดนามเติบโตเฉลี่ยปีละ 6-7% มาต่อเนื่องหลายปี
- ปี 2567 โต 7.09% ทั้งปี โดยไตรมาส 4 โตสูงสุดในรอบ 2 ปีที่ 7.55%
- คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 6.7% ในช่วง 2024–2028 และ 6.4% ในช่วง 9 ปีถัดไป
ในขณะที่ไทยเศรษฐกิจขยายตัวไม่ถึง 3% ต่อปี มานาน 20 ปี หรือ 2 ทศวรรษแล้ว นี่อาจไม่ใช่แค่ปัญหาตัวเลข แต่สะท้อนว่าไทยเริ่มโตไม่ทันคู่แข่งในภูมิภาค แม้ในอดีตจะเคยนำหน้ามาก่อน
2.นโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจเวียดนามชัดเจน
นโยบาย “Doi Moi” หรือนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจ ที่เวียดนามใช้มาตั้งแต่ปี 2529 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยเป็นการปรับเปลี่ยนจากระบบวางแผนส่วนกลางมาเป็นระบบเศรษฐกิจสังคมนิยมที่เน้น ระบบตลาดมากขึ้น และกระจายอำนาจให้แก่ภาคธุรกิจและท้องถิ่น
จากนั้นมาเวียดนามมีการวางเป้าหมายและเดินหน้าพัฒนาประเทศที่ชัดเจน รัฐบาลคาดหวังให้รายได้ประชากรต่อหัวแตะ 7,500 ดอลลาร์ ภายในปี 2030 และตั้งเป้าเข้าสู่ Top 20 เศรษฐกิจโลก ภายในปี 2036
ทั้งหมดจึงทำให้เกิดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค การศึกษา และการสร้างคนอย่างเป็นระบบ ในขณะที่ไทยยังไม่มีเป้าหมายที่คนทั้งประเทศ “จับต้องได้” เท่าเวียดนาม เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของไทยยังเปลี่ยนแปลงตามรัฐบาลอีกด้วย
3.เวียดนามมีแรงงานพร้อม ส่วนไทยประชากรสูงวัยและเป็นหนี้
โครงสร้างประชากรของเวียดนามได้เปรียบอย่างชัดเจน มีประชากรอายุต่ำกว่า 30 ปี มากถึง 60% มีแรงงานที่อยู่ในวัยผลิตเต็มที่
ไม่ใช่เพียงแค่จำนวนแรงงานหนุ่มสาว แต่ยังมีบุคลากร IT มากถึง 500,000 คน เทียบกับไทยแค่ 170,000 คน โดยเวียดนามสามารถผลิตวิศวกรซอฟต์แวร์จบใหม่ปีละ 50,000 คน ส่วนไทยผลิตได้เพียง 5,000 คน
ยิ่งไปกว่านั้นเงินเดือนแรงงานในเวียดนามยังถูกกว่าไทยมาก นั่นหมายถึงต้นทุนยังต่ำกว่าไทย วิศวกรซอฟต์แวร์จบใหม่ในเวียดนาม เริ่มต้นที่ 22,000 บาท แต่วิศวกรในไทยเริ่มที่ประมาณ 40,000 บาท
ดังนั้นเมื่อเทียบกันแล้วเวียดนามกลายเป็น แหล่งแรงงานคุณภาพในต้นทุนต่ำจึงดึงดูดนักลงทุนจากทั่วโลก
4. เงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้าเวียดนามมากกว่าไทยเกือบ 3 เท่า
ตัวเลข FDI หรือการลงทุนโดยตรงของนักลงทุนต่างชาติล่าสุดชัดเจนว่า ตอนนี้ต่างชาติแห่ลงทุนในเวียดนามมากกว่าไทย FDI ของเวียดนาม 31,150 ล้านดอลลาร์ ไทยเพียง 12,000 ล้านดอลลาร์
เพราะนักลงทุนต่างชาติมองว่าเวียดนามมีต้นทุนต่ำแรงงานพร้อม ที่สำคัญมากคือการเมืองมีเสถียรภาพระดับหนึ่งและมีการเจรจาข้อตกลงทางการค้าได้รวดเร็วทำให้ปัจจุบันเวียดนามวางตัวเองเป็น “ศูนย์กลางการผลิตแห่งใหม่ของโลก” ด้วยการเอื้อประโยชน์ทางภาษี ข้อตกลงพิเศษ และโครงสร้างภาษีที่จูงใจต่างชาติ
ในทางกลับกัน ไทยแม้จะมีโครงสร้างพื้นฐานดีกว่าเวียดนามแต่ติดปัญหาเรื่องแรงงาน แรงจูงใจด้านภาษี และการเมืองที่เปราะบางมากขึ้นเรื่อย ๆ
5. เวียดนามมี FTA ครอบคลุมกว่า แต้มต่อการค้าระหว่างประเทศ
FTA หรือข้อตกลงการค้าเสรี คือแต้มต่อในการแข่งขันทางการค้า ซึ่งต้องยอมรับว่าเวียดนามทำการบ้านเรื่องนี้มาดีมาก
- ปัจจุบันเวียดนามมี FTA 16 ฉบับ ครอบคลุม 54 ประเทศ
- ส่วนไทยมี FTA เพียง 14 ฉบับ ครอบคลุม 18 ประเทศ
ที่สำคัญคือ FTA ระหว่างสหภาพยุโรปกับเวียดนามมีผลบังคับใช้แล้ว
- ทำให้สินค้าส่งออกเวียดนามไปยุโรป ได้สิทธิยกเว้นภาษีทันที 71%
- ส่งผลให้การส่งออกเวียดนามไปยุโรปโต 270% ภายใน 10 ปี
- ไทยโตแค่ 30% ในช่วงเวลาเดียวกัน
ขณะที่ไทยยัง “อยู่ระหว่างเจรจา” FTA กับ EU และมีประเด็นที่คาราคาซัง เช่น เรื่องสุรา บุหรี่ การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา และภาคการเกษตรของไทย
5. ไทยติดกับดักเดิม แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างไม่สำเร็จ
ประเทศไทยรับรู้ปัญหาเชิงโครงสร้างของตัวเองมาตลอด แต่ยังแก้ไม่ตก เช่นโครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมสูงวัยมากขึ้น ขาดแคลนแรงงานฝีมือ ขาดแคลนบุคลากรเทคโนโลยีห่วงโซ่อุตสาหกรรมไม่ครบ ขณะที่ประชาชนมีรายได้ไม่โตตามค่าใช้จ่าย แม้ประเทศไทยวางยุทธศาสตร์ แต่ไม่ตามผลลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน แต่เชื่อมเศรษฐกิจไม่ได้จริง
ดังนั้นนี่อาจกล่าวได้ว่า เวียดนามโตเพราะ “เลือกที่จะเปลี่ยนตัวเอง” จากประเทศที่เคยรายได้น้อย ยากจนที่สุดในอาเซียน ทะยานสู่ประเทศที่มีอุตสาหกรรมส่งออกสมาร์ตโฟนรายใหญ่ของโลก และกำลังกลายเป็น Tech Talent Hub แห่งเอเชีย
ขณะที่ไทยยังติดกับดักเดิมโครงสร้างเก่า การเมืองเปราะบาง แรงงานไม่พร้อม และขาดแผนปฏิรูปจริงจัง ถ้าเรายังไม่เปลี่ยน ไม่ใช่แค่เวียดนามจะ “แซงไทย” แต่เขาอาจ “ทิ้งไทย” ไปแบบไม่หันหลังกลับมาไม่เจอกัน
อีก 3 ปี อาจเป็นแค่จุดเริ่มต้นของสิ่งที่น่าห่วงที่สุด แล้วเราจะรอให้เขาแซงก่อน หรือจะเริ่มเดินให้ทันตั้งแต่วันนี้ ?
ที่มาข้อมูล: สัมภาษณ์ ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ , รอยเตอร์
คอนเทนต์แนะนำ
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.amarintv.com/spotlight/economy/515064&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw1pAZ9y90SPx__G8RwChoFY