เปิดมุมมอง‘กูรูเศรษฐกิจ’ ชี้หนทางรับมือหลังโลกเซ | เดลินิวส์

เปิดมุมมอง‘กูรูเศรษฐกิจ’-ชี้หนทางรับมือหลังโลกเซ-|-เดลินิวส์
เปิดมุมมอง‘กูรูเศรษฐกิจ’ ชี้หนทางรับมือหลังโลกเซ | เดลินิวส์

ย่างเข้าสู่เดือนที่ 5 ของปี 68 ไม่ต้องบอกก็พอสัมผัสได้ว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้กำลังดำาดิ่งลงลึกจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศความเชื่อมั่น ไปไหนมาไหน2-3 ทุ่ม ก็เงียบสงัดน่าวังเวงใจ ตึกแถวปักป้ายขาย-เช่าเต็มไปหมด หรือแม้แต่โชเฟอร์แท็กซี่ บ่นกันถ้วนหน้าว่า…เงินหายาก สาหัสสุด! นับตั้งแต่ทำอาชีพขับแท็กซี่

ขณะที่แวดวงกูรูเศรษฐกิจ ต่างพร้อมใจกันหั่นเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจลงพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย ทั้งธนาคารโลกมองว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จะโตต่ำาสุดในอาเซียนเหลือเพียง1.6% เช่นเดียวกับ…กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ก็หั่นจีดีพีไทยจากที่คาดว่าจะเติบโตได้ 2.9% เหลือแค่ 1.8% ส่วนกระทรวงการคลัง ก็ต้านกระแสไม่ไหว!! ยอมลดเป้าหมายจีดีพีจาก 3% เหลือ2.1% เหมือน ๆ กับแบงก์ชาติ ที่มองว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้เต็มไปด้วยความเสี่ยง โดยเชื่อว่าเติบโตได้เพียง 1.3-2% เท่านั้น

ครึ่งปีหลังสาหัสแน่
นี่…ไม่นับรวมบริษัทจัดอันดับเครดิตชั้นนำาอย่าง มูดี้ส์เรตติ้งส์ ที่ปรับลดแนวโน้มเศรษฐกิจไทย จากระดับมีเสถียรภาพลงสู่เชิงลบเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 17 ปี หรือแม้แต่ภาคเอกชนอย่างคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน ที่ประกอบไปด้วยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หอการค้าและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ก็ลดคาดการณ์จีดีพีเหลือ 2-2.2% เช่นกัน

ทุกคนทุกฝ่าย!! ต่างมองเป็นภาพเดียวกันว่า…ครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยสาหัสแน่นอน และจากนี้ประเทศไทยควรไปต่อในทางไหน และรัฐบาลควรบริหารประเทศอย่างไร ภายใต้ข้อจำากัดของงบประมาณ และหนี้สาธารณะที่สูง หนี้ครัวเรือนที่ยังไม่ลดลงแบบมีนัยสำาคัญ และกลายเป็นปัญหาสำคัญ

“ทีมเศรษฐกิจ เดลินิวส์” ได้รวบรวมความเห็นจากบรรดากูรูเศรษฐกิจชั้นนำาของประเทศ มาย้ำาเตือนกันอีกครั้ง!!

หากระสุนรับสงคราม
“ศุภชัยพานิชภักดิ์”อดีตเลขาธิการการประชุมสหประชาชาติ ว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (อังค์ถัด) และอดีตผู้อำานวยการใหญ่ องค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) ให้ความเห็นไว้อย่างน่าสนใจ ว่าการรับมือกับสังคมโลกที่มีความวุ่นวาย ผันผวนสูง และเกิดการแบ่งขั้วอำานาจหลายขั้ว ทั้งสหรัฐ จีน รัสเซีย ตลอดจนกลุ่มซีกโลกใต้ เช่น อินเดีย บราซิล อาเซียน ประเทศไทยจำาเป็นต้องรักษาพื้นที่ทางการคลังให้ดี อย่าพยายามใช้จ่ายหรือกู้เงินในส่วนที่ไม่จำาเป็น เพราะอีกไม่นานนี้ อาจมีความจำาเป็นยิ่งกว่าที่จะใช้เงินจำานวนมากเพื่อดูแลประเทศ เพราะขณะนี้ทั่วโลกต่างกังวลกันว่า ความขัดแย้งของมหาอำานาจอาจรุนแรงขึ้น รวมถึงอาจเกิดสงครามจริง ๆ ในลักษณะสงครามตัวแทนตามภูมิภาค ที่สร้างความวุ่นวายต่อเศรษฐกิจและสังคมอย่างแน่นอน

ไม่เพียงเท่านี้ ดร.ศุภชัย ยังได้ฉายภาพให้เห็นกันชัด ๆ อีกว่าในห้วงเวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่ประเทศไทย ต้องรีบกู้เงินจำานวนหลายแสนล้านบาท เพื่อมาลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะเชื่อว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นยังเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น แต่ที่ทุกคนต้องพึงระมัดระวังให้ดี คือ…ต่อจากนี้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ความขัดแย้งอาจรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมเข้าไปอีก ดังนั้น…สิ่งที่ไทยต้องเตรียมพร้อมวันนี้ คือการดูแลหนี้สาธารณะต่อจีดีพีให้มีช่องว่างเหลือพอ

แจกเงินไม่ตอบโจทย์
เช่นเดียวกับเรื่องของการแจกเงินเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ ที่ดร.ศุภชัย เห็นว่า ในช่วงนี้ไม่ใช่เวลาของการแจกเงินเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ ไม่ตอบโจทย์แน่นอน เพราะตราบใดที่ประชาชนคนไทยตาดำๆ ยังมีหนี้ครัวเรือน และหนี้นอกระบบจำานวนมาก การใส่เงินลงไปย่อมไม่เกิด “มัลติพลายเออร์ “หรือ “เงินหมุนเวียน” ในระบบเศรษฐกิจเกิดขึ้นได้น้อย เนื่องจากประชาชนจะนำาเงินไปใช้หนี้สินจนไม่เกิดการกระตุ้น

ดังนั้น…แนวทางที่ควรทำคือการแก้ปัญหาหนี้สินของประชาชนให้ลดลง แต่…ถ้าหนี้สินลดลง ก็หมายถึงว่าเป็นการกระตุ้นกำลังซื้อให้ปะชาชนมีเงินไปใช้จ่ายเพิ่มไปในตัว ขณะเดียวกัน ไทยควรเร่งทำให้เกิดการสร้างงานเพื่อให้คนไทยมีรายได้ จะเป็นการที่ดีกว่าเรื่องทั้งปวง

ศก.พอเพียงคือทางรอด
ส่วนการลงทุนด้านคอมเพล็กซ์ และเป็นคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ใด ๆ ก็ตามคอมเพล็กซ์นั้นควรเป็นเรื่องของสุขภาพ และกระจายไปในภาคต่าง ๆ เพื่อรองรับสังคมสูงอายุ ที่เป็นสิ่งที่ต้องการมากขึ้นในอนาคต ตามโครงสร้างประชากรของประเทศที่ได้เข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มรูปแบบไปแล้ว

ดร.ศุภชัย ท้ิงท้ายให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้นว่า “หนทางรอด” ของประเทศไทยในเวลานี้ที่อยู่ท่ามกลางวิกฤติที่ไม่สามารถควบคุมได้ ประเทศไทยต้องเดินสายกลางและสร้างภูมิคุ้มกัน ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพราะเมื่อโลกไม่แน่นอนสูง ก็ต้องรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี หรือหากลงทุน…ก็ต้องลงทุนที่มีผลดีต่อเศรษฐกิจและโครงสร้างทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง สุขอนามัยการศึกษา พลังงานทดแทน หรือเศรษฐกิจสีเขียว เพราะหนทางเหล่านี้ จะช่วยประคองให้ไทยผ่านพ้นวิกฤติิไปได้แน่นอน

กู้เพิ่มสัดส่วนหนี้เพิ่ม
หันมาที่ “กิริฎา เภาพิจิตร” ผู้อำานวยการวิจัย นโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและการพัฒนา และผู้อำานวยการโครงการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงลึก สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ที่สรุปใจความสำาคัญกับการรับมือทางด้านเศรษฐกิจในรอบนี้ ไว้ว่า อันดับแรก ทุกฝ่ายต้องยอมรับให้ได้ว่า “กระสุน” ที่มีเหลือทางการคลังมีน้อยแล้ว สะท้อนให้เห็นได้จาก…เพดานการขาดดุลงบประมาณปี 69 เกือบชนเพดาน ดังนั้น!! หากรัฐบาลจะหาเงินมากระตุ้นเศรษฐกิจ ก็จำาเป็นต้องออก พ.ร.ก.กู้เงินมาใช้ แต่ต้องแลกกับสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี ที่ต้องเพิ่มสูงขึ้น

แม้ว่ากรอบเพดานหนี้สาธารณะที่ตั้งไว้ 70% ต่อจีดีพี จะสามารถปรับขยายเพิ่มขึ้นได้ก็ตาม แต่ในความจริง ต้องยอมรับว่าการมีหนี้สาธารณะจำานวนมาก ก็ไม่ใช่เรื่องดี เพราะอาจทำให้บริษัทจัดอันดับเครดิตเรตติ้ง เช่น มูดี้ส์ เพ่งเล็งประเทศไทยมากขึ้นไปอีกที่สำาคัญ!! หากปรับลดเรตติ้งประเทศไทยขึ้นมา ย่อมต้องส่งผลเสียต่อภาพรวมประเทศในทุกด้าน ดังนั้นเมื่อกระสุนมีจำากัด ก็ควรเก็บไว้ใช้ให้ได้ประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงการการแจกเงินโดยส่วนตัวแล้วมองว่า ไม่ควรต้องแจกแล้ว เพราะก่อนหน้านี้รัฐบาลได้แจกเงิน10,000 บาท ให้กับกลุ่มเปราะบางไปแล้วถึง14 ล้านคน ที่มองในภาพใหญ่แล้ว พบว่าไม่ได้ช่วยกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายมากนัก แม้เงินตัวนี้จะช่วยให้คนมีเงินเพิ่มจริง แต่ก็ต้องแบ่งบางส่วนไปใช้หนี้ ไม่ได้นำาไปใช้จ่ายอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

หยุดแจกหันช่วยธุรกิจ
ดังนั้น งบกระตุ้นเศรษฐกิจที่เหลืออยู่1.5 แสนล้านบาทควรนำไปช่วยเหลือภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า จะเป็นประโยชน์มากกว่าไม่ว่าจะช่วยทางด้านภาคการผลิต ดูแลลูกจ้างหรือส่งเสริมการจ้างงาน ที่มีลักษณะคล้ายกับช่วงสถานการณ์โควิด-19 แต่การให้ก็ไม่ควรเป็นเงินให้เปล่า ควรวางเงื่อนไข เช่น ได้รับเงินแล้วต้องนำาไปพัฒนาการผลิต พัฒนาทักษะฝีมือแรงงานให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีหรืออุตสาหกรรมใหม่ ที่กำลังเป็นที่ต้องการของโลก ที่สำาคัญ…ต้องโฟกัสไปที่ธุรกิจที่เดือดร้อนจริง ๆ

ขณะเดียวกันรัฐบาล ควรช่วยกระจายความเสี่ยงให้กับธุรกิจมองหาโอกาสทางการตลาดใหม่ สินค้าใหม่ให้กับธุรกิจไทย เพราะสงครามการค้าที่เกิดขึ้นใช่ว่าจะมีแต่ผลเสียอย่างเดียว เพราะบางธุรกิจได้โอกาสขายสินค้าได้เพิ่มขึ้น เช่น เข็มฉีดยา กระบอกฉีดยาถุงมือยาง ที่จีนเรียกเก็บภาษีถึง 245% โดยไทยแม้ถูกเก็บภาษีเพิ่มแต่น้อยกว่าจีนมาก ดังนั้น…ควรหาลู่ทางส่งออกสินค้าไทยไปทดแทนสินค้าจีน ตลอดจนใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอที่มีอยู่ รวมถึงเร่งเจรจาเปิดเอฟทีเอใหม่ ๆ ให้มากที่สุด ซึ่งในโลกทุกวันนี้ หากกระจายความเสี่ยง มีความสำาคัญมากและจะช่วยให้เอาตัวรอดจากวิกฤติเหล่านี้ไปได้

พายุศก.ไม่จบง่าย
ด้านผู้ว่าการแบงก์ชาติ อย่าง “เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ”ที่ย้ำาว่า ผลกระทบสงครามการค้าสหรัฐ อาจใช้เวลานาน ไม่จบเร็วเนื่องจากการเจรจาใช้เวลา โดยผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจจะหนักในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และจุดต่ำาสุดไม่เร็วกว่าไตรมาส 4 ปีนี้โดยพายุเศรษฐกิจรอบนี้ จะใช้เวลาไม่ได้จบในเร็ววัน ผลกระทบคือผู้ส่งออกไปสหรัฐ ถูกกระทบมาตรการภาษี เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ ยางล้อ อาหารแปรรูป เครื่องจักร

นอกจากนี้เป็นห่วงอีกกลุ่มที่ถูกกระทบเยอะ คือ กลุ่มสินค้านำาเข้าที่จะทะลักมาในไทย เพราะประเทศที่ไม่สามารถส่งออกไปสหรัฐได้ ก็จะเข้ามาในไทยสูง และกระทบหลายธุรกิจ ภาคการผลิตภาคบริการ ผลข้างเคียงมีบ้าง จากความไม่แน่นอนสูง และมีผลระยะยาวมหาศาล แต่เทียบกับผลกระทบอื่นไม่เท่าวิกฤติที่ผ่านมาทั้งโควิดและวิกฤติปี 40 แต่หลังพายุ โลกจะเปลี่ยนแปลงไป จากสถานการณ์ตรงนี้ จึงจำาเป็นต้องปรับตัว อยู่อย่างสง่างามหลังพายุ

มาตรการเฉพาะไม่ปูพรม
ผู้ว่าแบงก์ชาติ ขยายมุมมองให้เห็นชัดเจนขึ้นว่า เวลานี้โอกาสเศรษฐกิจเป็นเหมือนตัววีขากว้าง ต้องดูว่า ความชัน ความลึก ความเร็วเป็นอย่างไร และหลังจากกลับขึ้นมาเป็นอย่างไร ซึ่งต้องอยู่ที่การเจรจา และคงต้องใช้เวลา โจทย์นโยบายคือการรับมือทำอย่างไร ทำให้เบาลง อย่าให้ลึกมาก และช่วยเอื้อการปรับตัวอย่างไร สามารถเติบโตได้ในระดับที่ดีกว่าเดิมได้ ปรับช่วงทรานซิชันเติบโตระยะยาวมาตรการเอื้อไปในทางนั้น มาตรการที่ต้องออกไม่ควรปูพรม เพราะผลกระทบที่เกิดขึ้นค่อนข้างแตกต่างมาก

ส่วนเรื่องราวด้านนโยบายอย่าง “เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” ยอมรับว่ามีหลายมิติ ตอนนี้โจทย์ไม่ใช่แค่ดึงนักท่องเที่ยว เพราะนักท่องเที่ยวมีทางเลือกมากขึ้น แต่จะทำอย่างไรให้เกิดมูลค่า ในช่วงที่โลกมีความไม่ชัดเจน ความไม่แน่นอนสูง ยิ่งสำคัญที่ต้องทำตัวให้ถูกต้อง ขาวสะอาด ตามกฎตามเกณฑ์ตามระเบียบโดยในรายงานล่าสุด ที่มูดี้ส์ เรตติ้งส์ ปรับแนวโน้มเรตติ้งประเทศไทย จากมีเสถียรภาพเป็นเชิงลบ มีสิ่งที่พูดถึงเรื่องการทำอะไรที่ถูกต้องทำตามกฎ ความขาวสะอาด ดังนั้น ชื่อเสียงมีความสำาคัญมาก และหากเป็นเรื่องกาสิโน ทำให้ภาพของความเป็นเทา ๆ ที่มากขึ้น ทำให้เป็นความเสี่ยง แต่ถ้าปรับเป็นศูนย์เวลเนสดูแลผู้สูงอายุ ดูแลสุขภาพ จะเป็นประโยชน์ ผลข้างเคียงน้อยกว่าถือเป็นเรื่องที่ดีกว่าแน่นอน

แก้อุปสรรค-ใส่ใจเครดิต
ไม่เพียงเท่านี้…ผู้ว่าฯเศรษฐพุฒิ ยังย้ำาให้เห็นภาพของการแจกเงินดิจิทัล ว่า แบงก์ชาติไม่เคยเปลี่ยนมุมมองไปจากเดิม โดยต้องดูความคุ้มค่า ประสิทธิผลให้ดี ยิ่งตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปมีความท้าทายใหม่ โดยเฉพาะมีความกังวลสินค้าต่างประเทศทะลักเข้าไทย จากสงครามการค้า และมาตรการการเงินและการคลังมีจำกัดควรใช้ให้ถูกต้อง ให้เกิดประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์ อย่างมาตรการบางอย่างอาจไม่เหมาะสม เช่น เน้นเรื่องการกระตุ้นบริโภค ไม่ตอบโจทย์ เพราะตอนนี้กังวลสินค้าทะลักเข้ามาในไทย แต่ถ้ากระตุ้นบริโภค จะกลายเป็นกระตุ้นสินค้าต่างประเทศแทนที่จะกระตุ้นการบริโภคสินค้าของไทย

อย่างไรก็ตามในเวลานี้ มีหลายเรื่องราวที่ผู้เกี่ยวข้องต้องเริ่มดำเนินการ ทั้งการแก้ไขกฎระเบียบ เพราะเป็นสิ่งที่นักลงทุนไทยและต่างชาติเป็นอุปสรรคลงทุน กฎระเบียบไทยมีค่อนข้างมาก จะช่วยการลดต้นทุน และช่วยกระตุ้นการลงทุน ส่วนการขยายเพดานหนี้สาธารณะ เป็นเรื่องที่เครดิตเรตติ้งสำาคัญต้องใส่ใจ ทำอะไรต้องคำานึงถึง เพราะเมื่อพายุกำลังมา เรื่องเสถียรภาพควรใส่ใจ ขณะที่การลดดอกเบี้ยที่ผ่านมา 2 ครั้งมาอยู่ที่ 1.75% เพียงพอรองรับพายุที่มาได้ระดับหนึ่ง แต่ถ้าเปลี่ยนแปลงไปกว่าที่คาดก็อาจพิจารณาปรับนโยบายเพื่อดูแลเศรษฐกิจ

การคลังพยุงเศรษฐกิจ
เช่นเดียวกับนักการเงินอย่าง “อมรเทพ จาวะลา” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำานักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบีไทย ที่มองว่า เวลานี้ มาตรการการคลังยังมีความจำาเป็น เพราะเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจที่ยังเติบโตช้า และมีความเปราะบางจากผลกระทบสงครามการค้าสหรัฐกับประเทศคู่ค้าต่าง ๆ ทำให้การค้าโลกได้รับผลกระทบ รวมถึงประเทศไทย โดยการแจกเงินเพื่อมากระตุ้นนั้น ต้องทำอย่างตรงจุด เช่น แจกเงินช่วงที่ผ่านมาให้กับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย และผู้สูงอายุ

มาตรการการคลังยังจำาเป็นต้องมาพยุงสถานการณ์ กระตุ้นการบริโภค และเร่งเพิ่มความเชื่อมั่น อย่างไรก็ตามการแจกเงินต้องให้แน่ใจว่าจะมีผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) แต่ที่ผ่านมาการแจกเงินไม่ได้ทำให้จีดีพีขยับตัว อาจต้องพิจารณาว่าเป็นเพราะอะไรที่เงินไม่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ไม่ได้ติดในเรื่องของการแจกเงิน แต่แจกแล้วต้องทำให้จีดีพีขยับในช่วงที่จีดีพีเติบโตค่อนข้างต่ำหรืออาจต้องเปลี่ยนวิธีการ และสิ่งที่จะทำว่าจะนำาเงินไปใช้ทำอะไร เช่น อาจนำาเงินไปให้เกิดการสร้างงาน สร้างสาธารณูปโภคในพื้นที่ต่าง ๆ อย่างถนน ระบบน้ำ เพื่อให้สร้างรายได้ต่อในภาคเกษตรและนอกภาคเกษตร แต่การแจกเงินต้องทำเฉพาะกลุ่ม ไม่ใช่เหวี่ยงแหอีกต่อไป ต้องให้คนที่เดือดร้อนจริง ช่วยในเรื่องของค่าครองชีพที่ได้รับผลกระทบ

คิดกู้เงินต้องรอบคอบ
ในส่วนของการกู้เงินเพื่อมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ ก็อาจจำาเป็นต้องทำในยามที่งบประมาณมีข้อจำากัด และต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจให้จีดีพีขยับ แต่การกู้เงินต้องพิจารณาให้รอบคอบเพราะหนี้สาธารณะใกล้ชนเพดาน70% ไม่ว่าจะกู้ หรือออกเป็น พ.ร.บ. ต้องมาพิจารณา มองว่าในเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่วิธีการว่าจะเป็นงบประมาณหรือเป็นการกู้เงิน แต่อยู่ที่ว่าจะนำาเงินกู้ไปใช้ทำอะไรให้เกิดประสิทธิภาพมากกว่า ให้เกิดประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจ

“ถ้ากู้มาแจกเงินอีก ก่อนจะกู้ต้องลองมาดูว่าจะลดรายจ่ายได้อย่างไร หรือจะเพิ่มรายได้ เช่น การเก็บภาษี แต่ไม่ได้บอกว่าต้องเป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม(แวต) อาจเป็นการเก็บภาษีกับคนที่มีรายได้มากในระบบภาษี หรือเป็นการขายสินทรัพย์ที่มีอยู่ ถ้าจะกู้ก็ทำได้ แต่ต้องพิจารณาหลายรูปแบบ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและไปใช้กับโครงการที่มีประโยชน์”

ต้องยอมรับว่า…คำาเตือนของบรรดากูรูเหล่านี้ น่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นคำาเตือน คำาแนะนำาที่มีผลต่อการดูแลระบบเศรษฐกิจในประเทศ ดูแลความเป็นอยู่ของคนไทยทั้งประเทศ แต่หากรัฐบาลยังนิ่งดูดาย ไม่หยิบฉวยมาปรับมุมมองหรือปรับทิศทางการดูแลเศรษฐกิจให้ใช่ ให้โดน ให้เป็นประโยชน์ต่อคนในชาติ และเป็นประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ก็น่าเป็นห่วงไม่น้อยทีเดียว…เพราะวิกฤติครั้งนี้ไม่รอช้า หายนะกำลังคืบคลานเข้ามาทุกขณะ!!

———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.dailynews.co.th/articles/4808375/&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw0JLvYG9KvX54gZJo8tYY1Z

Related Post

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *