เครื่องยนต์ใหม่ : เศรษฐกิจสุขภาพ

เครื่องยนต์ใหม่-:-เศรษฐกิจสุขภาพ
เครื่องยนต์ใหม่ : เศรษฐกิจสุขภาพ

ผมเพิ่งอ่านบทความ “Wellness Economy 5.0 : เศรษฐกิจสุขภาพคือกำลังใหม่ของชาติในศตวรรษที่ 21” ของ “หมอแอมป์” นพ.ตนุพล วิรุฬหการุญ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ป้องกัน ซีอีโอบีดีเอ็มเอส อ่านแล้วก็ขออนุญาตเผยแพร่ต่อ เพราะเป็นข้อเสนอที่ดีมาก ผมเห็นด้วยกับคุณหมอว่า “อนาคตของประเทศ ไม่ได้วัดจาก GDP อย่างเดียวอีกต่อไป แต่วัดจากความยืนยาวของประชากรและคุณภาพชีวิตของคนในชาติ” วันนี้โรคเรื้อรัง  (NCDs) คร่าชีวิตคนทั่วโลกกว่า 45 ล้านคนต่อปี และประชากรโลกกว่า 45% (3,600 ล้านคน) กำลังเผชิญปัญหาน้ำหนักเกินและโรคอ้วน

การเปลี่ยนผ่านจาก ระบบสาธารณสุขเชิงรับ (Reactive Healthcare) ไปสู่ ระบบการดูแลเชิงรุก (Proactive Healthcare) จึงไม่ใช่ “ทางเลือก” อีกต่อไป แต่มันคือ “ทางรอด”

ประเทศไทยกำลังยืนอยู่ในจุดเปลี่ยนแห่งศตวรรษ ด้วย 3 โจทย์ใหญ่ 1) คนไทยมีอายุยืนขึ้น แต่อยู่ไม่แข็งแรง  2) ความเครียดสะสมทำให้เทโลเมียร์สั้นลง นำไปสู่โรคเรื้อรังและการแก่ก่อนวัย 3) ผู้บริโภคต้องการการดูแลสุขภาพที่แม่นยำเป็นรายบุคคลและยั่งยืน

(ผมขออธิบายคำว่า “เทโลเมียร์ (Telomere)” สักนิดนะครับ เทโลเมียร์หมายถึงส่วนปลายสุดของโครโมโซม หรือปลายสายของดีเอ็นเอ  (DNA)  ทำหน้าที่ ปกป้องรหัสพันธุกรรมที่อยู่ภายในโครโมโซม ไม่ให้ถูกทำลายระหว่างกระบวนการแบ่งเซลล์ ทุกครั้งที่เซลล์ในร่างกายมีการแบ่งตัว เทโลเมียร์จะหดสั้นลงเรื่อยๆ เมื่อเทโลเมียร์สั้นลงถึงระดับหนึ่ง เซลล์จะไม่มีการแบ่งตัวอีกต่อไป ร่างกายเข้าสู่ “ภาวะชรา”  ความยาวของเทโลเมียร์จึงเป็นตัวบ่งชี้อายุทางชีวภาพ (Biological Age) แต่ในทางเวชศาสตร์ป้องกันสามารถช่วยให้เทโลเมียร์ยาวขึ้นได้ หมายความว่า ช่วยให้เราหนุ่มขึ้นจากอายุจริง หรือ แก่ช้าลง)

ประเทศไทยวันนี้ มีผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปกว่า 13 ล้านคน 20.17% ของประชากรทั้งหมด 65 ปีขึ้นไป 8.9 ล้านคน 14% ของประชากรทั้งหมด จังหวัดที่มีผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป มากที่สุด อันดับ 1 กรุงเทพมหานคร 1.27 ล้านคน  อันดับ 2 นครราชสีมา กว่า 5 แสนคน  อันดับ 3 เชียงใหม่ กว่า 4 แสนคน  คนไทยอายุยืนขึ้น แต่อยู่อย่างไม่แข็งแรง คุณหมอแอมป์ บอกว่า วงการแพทย์มีเครื่องมือใหม่แล้ว นั่นคือ “Wellness Tech ที่ใช้ AI และชีววิทยาที่แม่นยำ”  ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพสูงที่จะเป็นผู้นำด้าน Wellness Tech สำหรับนักท่องเที่ยวคุณภาพทั่วโลก  โดยเฉพาะ กลุ่ม High Spenders ที่ใช้จ่ายมากกว่านักท่องเที่ยวทั่วไป 130–170%

คุณหมอแอมป์ บอกว่า Wellness Tourism ไม่ใช่แค่เพิ่มรายได้ แต่ยังช่วยให้ประชาชนในชาติแข็งแรงขึ้นและมีสุขภาพกายและจิตเข้มแข็ง ลดภาระระบบสาธารณสุขในระยะยาว สร้างอาชีพใหม่มากกว่า 1 ล้านตำแหน่งใน 10 ปี   ส่งออกบริการสุขภาพแทนการส่งออกทรัพยากร เปลี่ยนการท่องเที่ยวจาก Mass tourism เป็น Meaningful tourism ที่สำคัญ ยังช่วยฟื้นฟูจิตวิญญาณของชาติผ่านศาสตร์และศิลป์แบบไทย เช่น นวดไทย สมุนไพรไทย

คุณหมอแอมป์  เห็นว่า ในยุคที่โลกเผชิญกับภาวะโลกร้อน การท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม คือคำตอบร่วมของ Sustainable Development Goals (SDGs) ประเทศไทยต้อง “กล้าพอ”  ที่จะเป็นผู้นำโลกด้านสุขภาพ “เราไม่ต้องวิ่งแข่งกับโลก แต่เราต้องกล้าที่จะวิ่งนำด้วยสิ่งที่เราเชื่อและเชี่ยวชาญ”  ประเทศไทยมีครบ ทั้งภูมิปัญญา ทรัพยากร เทคโนโลยี และทีมแพทย์ที่มีวิสัยทัศน์ ขาดเพียง “แพลตฟอร์มระดับชาติ”  ที่จะรวมพลังของคนไทยทุกภาคส่วน Wellness Hub Thailand จึงไม่ใช่แค่ “นโยบาย” แต่ต้อง “กล้าขายคุณค่า” ที่เรามีให้ทั้งโลก

ผมสนับสนุนไอเดียของ คุณหมอแอมป์ เต็มที่เลยครับ แต่รัฐบาลจะมีวิสัยทัศน์พอที่จะเห็นโอกาสในยามวิกฤติหรือไม่ ต้องดูกันจากนี้ต่อไป

มูลค่าของ Global Wellness Economy กำลังสูงขึ้นทุกปี ข้อมูลขอ Global Wellness Institute ระบุว่า ปี 2566 เศรษฐกิจสุขภาพมีมูลค่าสูงถึง 6.3 ล้านดอลลาร์ กว่า 208 ล้านล้านบาท ไทยได้ส่วนแบ่งสัก 5% ก็เป็นเงิน 11 ล้านล้านบาทแล้ว รวยกันทั้งประเทศแล้ว.

“ลม เปลี่ยนทิศ”

———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.thairath.co.th/news/local/2862087&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw2-IaZrYbZ3BnEt4w5d0LTs

Related Post

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *