‘อินเดีย’ ลดดอกเบี้ย 0.5% เซอร์ไพรส์ตลาด หวังอุ้มเศรษฐกิจจากภาษีทรัมป์

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานวันนี้ (6 พ.ค.) ว่า ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) ดำเนินการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับที่เกินความคาดหมายของตลาด พร้อมทั้งลดข้อกำหนดเงินสำรองของสถาบันการเงิน เพื่อส่งเสริมการไหลเวียนของเงินทุนในระบบเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญกับความท้าทายจากการชะลอตัวของการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการลดลงของอัตราเงินเฟ้อ

คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินจำนวน 6 ท่าน ภายใต้การนำของผู้ว่าการ ซานเจย์ มัลโฮตรา ได้มีมติด้วยคะแนนเสียง 5 ต่อ 1 ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงลง 0.5% มาอยู่ที่ระดับ 5.5% ในวันที่ 6 พ.ค. ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่นักวิเคราะห์เศรษฐกิจเพียงรายเดียวจากทั้งหมด 34 รายจากที่ Bloomberg สำรวจได้คาดการณ์ไว้ประเมินไว้ถูกต้อง

ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางได้ปรับเปลี่ยนแนวทางนโยบายการเงินจากสถานะ “ส่งเสริมการเติบโต” หรือ Accomodative มาเป็น “เป็นกลาง” Neutral โดยผู้ว่าการได้ชี้แจงว่าการดำเนินมาตรการในอนาคตจะพิจารณาจากสถานการณ์และข้อมูลทางเศรษฐกิจที่เข้ามาใหม่

บทวิเคราะห์ของบลูมเบิร์ก เผยว่า การประกาศนโยบายในครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจโลกไม่เอื้ออำนวย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายภาษีนำเข้า ของ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ก่อให้เกิดความตึงเครียดทางการค้าและส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่การผลิตทั่วโลก เศรษฐกิจอินเดียมีอัตราการเติบโตที่ลดลงมาอยู่ที่ 6.5% ในปีงบประมาณที่สิ้นสุดในเดือนมี.ค. ทำให้เกิดแรงกดดันต่อผู้กำหนดนโยบายในการหาทางกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ตลาดตราสารหนี้อินเดียมีความผันผวนในการซื้อขายช่วงที่ผ่านมา ขณะที่ตลาดหุ้นฟื้นตัวจากการปรับตัวลงก่อนหน้าและปิดการซื้อขายสูงขึ้น 1% โดยหุ้นกลุ่มธนาคารพุ่งแตะจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ใหม่ ส่วนค่าเงินรูปีคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง

นอกจากนี้ ธนาคารกลางได้ลดอัตราสำรองเงินสดของธนาคารพาณิชย์ลง 1% จากเดิม 4% เหลือ 3% ซึ่งเป็นการปรับลดครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2020 การดำเนินมาตรการนี้จะแบ่งออกเป็นหลายช่วงตลอดทั้งปี และจะปลดปล่อยสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงินในปริมาณ 2.5 ล้านล้านรูปี หรือเทียบเท่า 2.91 หมื่นล้านดอลลาร์ ตามที่ มัลโฮตรา กล่าวในการปราศรัยทางโทรทัศน์จากกรุงมุมไบ

อ้างอิง: Bloomberg