นายบี.วี.อาร์. สุพรามันยม (B.V.R. Subrahmanyam) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารแห่งองค์กรนโยบายแห่งชาติของอินเดีย (National Institution for Transforming India: NITI Aayog) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจของอินเดียมีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ประมาณ 4.187 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ แซงหน้าญี่ปุ่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะขยายตัวทั้งปีที่ 6.2 % ความสำเร็จนี้ทำให้อินเดียขึ้นแท่นประเทศด้วยขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา จีน และเยอรมนี ทั้งนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ยืนยันข้อมูลดังกล่าว โดยคาดการณ์ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่เป็นตัวเงิน (Nominal GDP) ของอินเดียจะอยู่ที่ 4.187 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2568 ซึ่งมากกว่าญี่ปุ่นเพียงเล็กน้อยที่ 4.186 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
ประธานเจ้าหน้าที่ NITI Aayog แสดงความเชื่อมั่นว่า หากกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบันยังดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ อินเดียอาจก้าวขึ้นเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 3 ของโลกภายในระยะเวลา 2.5 ถึง 3 ปีข้างหน้า
ปัจจัยขับเคลื่อนภาคส่วนและภาพรวมเศรษฐกิจ
1.การบริโภคที่แข็งแกร่ง: การเติบโตของอินเดียยังได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ภายในประเทศ การใช้จ่ายภาครัฐ และการปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างต่อเนื่อง
2.การฟื้นตัวของภาคชนบท: อุปสงค์ในชนบทที่กำลังฟื้นตัว อัตราภาษีที่ลดลง นโยบายลดดอกเบี้ย และฤดูมรสุมที่เอื้ออำนวย คาดว่าจะสามารถกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มเติม
3.แนวโน้มรายไตรมาส: การเติบโตของ GDP ในไตรมาสที่ 4 ของปีงบประมาณ 2568 (FY25) คาดว่าจะอยู่ที่ 7.0% เพิ่มขึ้นจาก 6.2% ในไตรมาสที่ 3 สะท้อนถึงแรงหนุนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น
4.มุมมองในอนาคต: หากแนวโน้มการเติบโตในปัจจุบันยังดำเนินต่อ อินเดียอาจก้าวขึ้นเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 3 ของโลกได้
ข้อมูลเพิ่มเติม
1. ภาคบริการเป็นหัวใจหลัก: ภาคบริการของอินเดีย เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศ การเงิน และการค้า เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยมีสัดส่วนถึง 54% ของ GDP ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยภาคบริการอย่างชัดเจน ขณะที่ภาคอุตสาหกรรม มีสัดส่วน 26% เช่น การผลิตและก่อสร้าง และภาคเกษตรกรรม เช่น การเพาะปลูกและปศุสัตว์ แม้การจ้างแรงงานจะมีเป็นจำนวนมาก แต่หากพิจารณาแล้วมีสัดส่วนเพียง 20% ในเชิงมูลค่า สะท้อนให้เห็นว่าแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจอินเดียในปัจจุบันมาจากภาคบริการเป็นหลัก
2. การเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียเป็นผลมาจากการบริโภคภายในประเทศที่แข็งแกร่ง การปฏิรูปเชิงยุทธศาสตร์ และสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เอื้ออำนวย
3.วิสัยทัศน์ “Viksit Bharat @ 2047” ขององค์กรนโยบายแห่งชาติของอินเดีย (NITI Aayog) ได้กำหนดแผนงานในการผลักดันให้ประเทศมีขนาดเศรษฐกิจถึง 30 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2047 โดยเน้น 4 เสาหลัก ได้แก่ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจมหภาค การเสริมพลังแก่ประชาชน การเติบโตอย่างยั่งยืน และนวัตกรรมด้านเทคโนโลยี
ผลกระทบทางเศรษฐกิจและความท้าทาย
1. การก้าวขึ้นของอันดับทางเศรษฐกิจอินเดียในเวทีโลกจะช่วยเสริมสร้างอิทธิพลทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และเพิ่มบทบาทของอินเดียในเวทีความร่วมมือระหว่างประเทศต่างๆ
2. ขนาดตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็วและโอกาสในการลงทุนของอินเดียกำลังดึงดูดนักลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะในภาคโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี ภาคการบริการ และการผลิต
3. ความเหลื่อมล้ำ: แม้ GDP จะยังคงขยายตัว แต่รายได้เฉลี่ยยังกระจุกตัวในเมืองใหญ่ และแรงงานสตรีมีส่วนร่วมในตลาดแรงงานเพียง 35.6%
4. การแข่งขันด้านการผลิต: อินเดียต้องเพิ่มสัดส่วนในห่วงโซ่การผลิตโลก (GVC) เพื่อไล่ตามจีนและเวียดนาม โดยเน้นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องด้านเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น AI และคอมพิวเตอร์
ข้อคิดเห็น
1.อินเดียสามารถขึ้นแท่นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก ถือเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วและอิทธิพลของอินเดียที่เพิ่มขึ้นในเวทีโลก โดยมีมูลค่า GDP ประมาณ 4.187 ล้านล้านสหรัฐ ความสำเร็จนี้สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของอุปสงค์ภายในประเทศและการปฏิรูปทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ อินเดียมีเป้าหมายระยะยาว คือ การรักษาอัตราการเติบโตเฉลี่ย 7.8% ตลอด 22 ปีข้างหน้า เพื่อก้าวสู่สถานะประเทศรายได้สูงภายในปี 2593 โดยเน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและปรับปรุงผลิตภาพแรงงาน แม้ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาของประเทศ และผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ อินเดียยังต้องเผชิญความเสี่ยงจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ (26 %) ที่อาจฉุด GDP ลดลง 0.1–0.3% ในปี 2568 หากผลการเจรจาการค้าระยะที่ 1 ยังไม่เป็นผลในเดือนกันยายน-ตุลาคม 2568 ถึงกระนั้น อินเดียกำลังก้าวขึ้นเป็นแกนนำของ Global South (อินเดีย อินโดนีเซีย บราซิล ฯลฯ) ด้วยเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุดในกลุ่ม G20 ท่ามกลางความท้าทายจากสงครามการค้าและความเหลื่อมล้ำในประเทศ ขณะเดียวกัน การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจและการค้าแบบ South-South จะกำหนดสมดุลอำนาจใหม่ของโลกในยุค Multipolar
2. การเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียได้เปิดโอกาสสำคัญให้แก่ผู้ส่งออกไทยในหลายมิติ โดยเฉพาะการขยายตัวของชนชั้นกลางซึ่งมีแนวโน้มบริโภคสินค้านำเข้าเพิ่มขึ้น อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ และผลิตภัณฑ์อาหารจากไทย นอกจากนี้ ไทยยังสามารถแสวงหาโอกาสด้านการลงทุนผ่านความร่วมมือในรูปแบบกิจการร่วมค้า (Joint Venture) ในสาขาศักยภาพ อาทิ การท่องเที่ยว สาธารณสุข และการศึกษา เพื่อใช้ประโยชน์จากตลาดอินเดียที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว อีกทั้งการส่งเสริมและพัฒนาความตกลงทางการค้าแบบทวิภาคีระหว่างไทยกับอินเดียอย่างต่อเนื่อง จะช่วยลดอุปสรรคด้านภาษีศุลกากรและเพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงตลาดอินเดีย ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคขนาดใหญ่ที่มีอำนาจซื้อสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเติบโตของการค้าระหว่างประเทศอย่างยั่งยืนในอนาคต สำหรับนักลงทุนต่างชาติ ภาคธุรกิจ และพันธมิตรทางการค้า อินเดียในวันนี้คือโอกาสที่น่าจับตามอง ในฐานะศูนย์กลางการผลิต ตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่ และแหล่งนวัตกรรมระดับโลก
ที่มา:1. https://economictimes.indiatimes.com/news/economy/policy/india-to-become-4th-largest-economy-by-end-of-2025-niti-member-arvind-virmani/articleshow/121417057.cms
2.https://www.businesstoday.in/latest/economy/story/india-isnt-catching-up-its-overtaking-strategist-argues-against-indias-low-per-capita-gdp-logic-against-japan-477726-2025-05-26
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.ditp.go.th/post/205928&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw0Tju1yU5t0YCjuHj7NAIX8