สภาพัฒน์ฯชี้คนไทยติดหรู เสี่ยงก่อหนี้เกินตัว ยอดหนี้ครัวเรือนปี 67 พุ่งกว่า16 ล้านล้าน

สภาพัฒน์ฯชี้คนไทยติดหรู-เสี่ยงก่อหนี้เกินตัว-ยอดหนี้ครัวเรือนปี-67-พุ่งกว่า16-ล้านล้าน
สภาพัฒน์ฯชี้คนไทยติดหรู เสี่ยงก่อหนี้เกินตัว ยอดหนี้ครัวเรือนปี 67 พุ่งกว่า16 ล้านล้าน

วันนี้, 12:09น.

          นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผย ภาวะสังคมไทยไตรมาสหนึ่ง ปี 2568 ว่า คนไทยมีพฤติกรรรมการบริโภคแบบติดหรู ซึ่งอาจนำไปสู่การก่อหนี้เกินตัวได้ง่าย จากงานวิจัย ของมหาวิทยาลัยมหิดล ในปี 2567 พบว่า คนไทย 1 ใน 3 นิยมใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าหรู (Luxury) และบริการระดับพรีเมียม อาทิ อาหารเครื่องดื่ม บัตรคอนเสิร์ต บริการเสริมความงาม ของสะสม เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดี และการยอมรับจากสังคม ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการก่อหนี้เกินตัว

           สาเหตุมาจากความต้องการได้รับการยอมรับและได้แสดงสถานะทางสังคม โดยเพศชายมีความต้องการโดดเด่นที่มากกว่าเพศหญิง ซึ่งสินค้าที่นิยมซื้อแบบติดหรู ได้แก่ อุปกรณ์เทคโนโลยี ขณะที่เพศหญิงนิยมซื้อสินค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม โดยกว่าร้อยละ 50 มีเงินออม สำหรับยามฉุกเฉินน้อยกว่า 6 เดือน ทำให้มีแนวโน้มเข้าสู่วงจรหนี้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย หรือเหตุการณ์ไม่คาดฝัน สะท้อนปัญหาการขาดความรู้ และการวางแผนทางการเงินที่เหมาะสม

           ส่วนภาวะหนี้สินครัวเรือนในไตรมาสสี่ ปี 2567 พบว่า หนี้สินครัวเรือนมีมูลค่ารวม 16.42 ล้านล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 0.2 ชะลอตัวลงต่อเนื่อง 6 ไตรมาสติดต่อกัน จากความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ที่ให้สินเชื่อลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP ปรับลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 88.4 จากร้อยละ 88.9 ในไตรมาสก่อนหน้า

          เมื่อพิจารณาหนี้ครัวเรือนจำแนกตามวัตถุประสงค์การก่อหนี้ ในไตรมาสสี่ ปี 2567 พบว่า สินเชื่อที่ขยายตัวชะลอลง ได้แก่ สินเชื่อเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ ขยายตัวร้อยละ 2.3 จากร้อยละ 2.5 ในไตรมาสก่อน ตามกำลังซื้อที่ลดลง เช่นเดียวกับสินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับที่ขยายตัวเพียงร้อยละ 3.9 และ 1.4 จากเดิมที่ไตรมาสก่อนขยายตัวร้อยละ 4.6 และ 4.0 ตามลำดับ

          ขณะที่ประเภทสินเชื่อที่หดตัว ได้แก่ สินเชื่อยานยนต์หดตัวร้อยละ 9.6 ตามยอดขายรถยนต์ส่วนบุคคลและรถจักรยานยนต์ที่ลดลง สินเชื่อบัตรเครดิตหดตัวร้อยละ 3.4 และสินเชื่อเพื่อการประกอบธุรกิจหดตัวร้อยละ 0.3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

           ส่วนคุณภาพสินเชื่อของครัวเรือนลดลง โดยในไตรมาสสี่ ปี 2567 จากข้อมูลบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด พบว่า มูลค่าสินเชื่อส่วนบุคคลที่ค้างชำระเกิน 90 วันขึ้นไป (NPLs) มีมูลค่า 1.22 ล้านล้านบาท ขยายตัว ร้อยละ 16.4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 8.94 ของสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็น ไตรมาสที่ 4 ติดต่อกัน

           โดยสัดส่วน NPLS ต่อสินเชื่อรวมในสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ สินเชื่อเพื่อการพาณิชย์ และสินเชื่ออื่น ๆ โดยเฉพาะสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพ และสินเชื่อเช่าซื้ออื่นที่ไม่ใช่รถยนต์ที่มีสัดส่วนสูงถึง ร้อยละ 27.25 และ 22.02

            สำหรับสินเชื่อที่มีสัดส่วน NPLs ต่อสินเชื่อรวมลดลง ได้แก่ สินเชื่อที่อยู่อาศัย บัตรเครดิต และการเกษตร ขณะที่สินเชื่อส่วนบุคคลมีสัดส่วนคงที่ที่ร้อยละ 10.77 สำหรับด้านสินเชื่อค้างชำระระหว่าง 30 – 90 วัน (SMLs) มีมูลค่า 5.68 แสนล้านบาท ลดลงร้อยละ 6.9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเป็นการลดลง 2 ไตรมาสติดต่อกัน

            อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณารายประเภทสินเชื่อ พบว่า SMLS ของสินเชื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อเพื่อการพาณิชย์ มีสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมและมูลค่าขยายตัวมากขึ้น สะท้อนแนวโน้มที่อาจมีหนี้เสียเพิ่มจึง อาจต้องส่งเสริมให้ลูกหนี้โดยเฉพาะในกลุ่มดังกล่าวปรับโครงสร้างหนี้ผ่านโครงการคุณสู้เราช่วยที่มีการดำเนินการอยู่

เพิ่มเติมhttps://www.nesdc.go.th/ewt_dl_link.php?nid=16508&filename=index

#หนี้ครัวเรือน

Cr:สภาพัฒน์ 

ข่าวทั้งหมด

———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.js100.com/en/site/news/view/151786&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw03jbJuQkaSgeEhrAQ5fPJj

Related Post

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *