“พิชัย” หารือรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-จีน-ญี่ปุ่น-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ผนึกกำลังเสริมแกร่งเศรษฐกิจท่ามกลางความท้าทายการค้าโลก
26/05/2568 | 26 |
“พิชัย” หารือรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-จีน-ญี่ปุ่น-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ผนึกกำลังเสริมแกร่งเศรษฐกิจท่ามกลางความท้าทายการค้าโลก
บทสรุป
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ร่วมกับประเทศคู่ค้าสำคัญ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ โดยที่ประชุมได้ออกแถลงการณ์ร่วมยืนยัน ความมุ่งมั่นในการรักษาความเป็นกลางทางเศรษฐกิจ เดินหน้าส่งเสริมความร่วมมือกับพันธมิตรอย่างสมดุล พร้อมหลีกเลี่ยงมาตรการตอบโต้ทางการค้า โดยจีน อาเซียนและไทย ได้ร่วมกันเร่งรัดการลงนามยกระดับความ ตกลงการค้าเสรีอาเซียน–จีนภายในปี 2568 ส่วนญี่ปุ่น ไทยเสนอให้ขยายความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อส่งเสริมให้อาเซียนเป็นฐานการผลิตและห่วงโซ่อุปทานสำคัญของญี่ปุ่นในอนาคต ขณะที่กับออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ที่ประชุมเห็นพ้องให้เร่งใช้ประโยชน์จากการยกระดับความตกลงการค้าเสรีอาเซียน–ออสเตรเลีย–นิวซีแลนด์ ในสาขาเศรษฐกิจหมุนเวียน *เศรษฐกิจสีเขียว **เศรษฐกิจสีน้ำเงิน พลังงานทดแทน และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ โดยก่อนหน้านี้นายพิชัย ได้หารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่น ถึงแนวทางความร่วมมือและการกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับญี่ปุ่น พร้อมทั้งเชิญชวนญี่ปุ่นลงทุนในไทยเพิ่มเติมในอุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
*เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy)การพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
**เศรษฐกิจสีน้ำเงิน (Blue Economy) การใช้ทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืนเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ
รายละเอียด
(25 พ.ค. 68) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนได้ประชุมร่วมกับประเทศคู่ค้าสำคัญ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ผ่านระบบทางไกล
โดยมีการออกแถลงการณ์ร่วมยืนยันความมุ่งมั่นในการรักษาความเป็นกลางทางเศรษฐกิจ เดินหน้าส่งเสริมความร่วมมือกับพันธมิตรอย่างสมดุล พร้อมหลีกเลี่ยงมาตรการตอบโต้ทางการค้า โดยที่ประชุมเน้นย้ำการสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคีที่ยึดหลักการคาดการณ์ได้ โปร่งใส เสรี เป็นธรรม ครอบคลุม และยั่งยืน โดยมีองค์การการค้าโลก (WTO) เป็นกลไกหลัก ตลอดจนมุ่งส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่ค้าหลักให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ซึ่งไทยจะร่วมกับอาเซียนผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจระดับภูมิภาคและระดับโลก พร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ โดยใช้ความร่วมมือทางเศรษฐกิจลดผลกระทบต่อการค้า การลงทุน และเศรษฐกิจโดยรวม โดยเฉพาะการผลักดันความตกลงทางการค้าที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
สำหรับจีน อาเซียน และไทย ได้ร่วมกันเร่งรัดการลงนามยกระดับความตกลงการค้าเสรีอาเซียน–จีนภายในปีนี้ (2568) เพื่อขยายความร่วมมือในสาขาใหม่ เช่น เศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจสีเขียว และการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน
ส่วนญี่ปุ่น ไทยได้เสนอให้ขยายความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อส่งเสริมให้อาเซียนเป็นฐานการผลิตและห่วงโซ่อุปทานสำคัญของญี่ปุ่นในอนาคต
ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ที่ประชุมเห็นพ้องให้เร่งใช้ประโยชน์จากการยกระดับความตกลงการค้าเสรีอาเซียน–ออสเตรเลีย–นิวซีแลนด์ ในสาขาเศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว เศรษฐกิจสีน้ำเงิน (แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจบนพื้นฐานการใช้ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอย่างยั่งยืน) พลังงานทดแทน และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
ทั้งนี้ ปี 2567 จีนยังคงเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของอาเซียน ด้วยมูลค่าการค้ารวม 770,936.07 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 10.63% จากปีก่อนหน้า คิดเป็น 19.76% ของการค้ารวมอาเซียนในตลาดโลก โดยอาเซียนส่งออกไปจีนมูลค่า 290,846.85 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (+1.20%) และนำเข้า 480,089.85 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (+17.25%)และญี่ปุ่นเป็นคู่ค้าอันดับ 3 มูลค่าการค้ารวม 235,136.39 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยอาเซียนส่งออก 119,673.92 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้า 115,462.47 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่ ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ เป็นคู่ค้าอันดับ 6 และ 10 ตามลำดับ โดยมูลค่าการค้าระหว่างอาเซียนกับออสเตรเลียอยู่ที่ 94,410.44 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งออก 51,957.57 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นำเข้า 42,452.86 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และกับนิวซีแลนด์อยู่ที่ 11,949.87 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งออก 7,164.09 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นำเข้า 4,785.78 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
“พิชัย” หารือญี่ปุ่นสนับสนุนความร่วมมือเศรษฐกิจแห่งอนาคต พร้อมชักชวนลงทุนเพิ่มในไทย
(24 พ.ค. 68) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เข้าร่วมการหารือทวิภาคีกับ
นายมิยาจิ ทาคูมะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่น ซึ่งจัดขึ้นในช่วงการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค (APEC Ministers Responsible for Trade Meeting) ณ จังหวัดเชจู สาธารณรัฐเกาหลี โดยได้หารือแนวทางความร่วมมือและการกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับญี่ปุ่น พร้อมทั้งเชิญชวนญี่ปุ่นลงทุนในไทย
นายพิชัย กล่าวว่า ญี่ปุ่นเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดและเป็นคู่ค้าสำคัญของไทย โดยญี่ปุ่นเป็นคู่ค้าลำดับ 3 และเป็นนักลงทุนสะสมลำดับ 1 ของไทยมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน และการหารือครั้งนี้ ได้เชิญชวนนักลงทุนญี่ปุ่นเข้ามาขยายการลงทุนในไทยเพิ่มเติม ทั้งในอุตสาหกรรมยานยนต์ เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตทั้งยานยนต์สันดาปและยานยนต์ยุคใหม่ให้กับญี่ปุ่น และในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่ญี่ปุ่นมีศักยภาพ เช่น
เซมิคอนดักเตอร์ AI แผงวงจรพิมพ์ (PCB) และเทคโนโลยีขั้นสูง
ขณะที่ฝ่ายญี่ปุ่นได้แสดงความขอบคุณรัฐบาลไทย ที่ได้มีการปรับปรุงกฎระเบียบด้านการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจของชาวต่างชาติในไทยมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นและเอื้อต่อการดำเนินธุรกิจของญี่ปุ่น พร้อมทั้งยืนยันที่จะสนับสนุนความร่วมมือระหว่างสองประเทศในมิติต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีชาวญี่ปุ่นพำนักอยู่ในประเทศไทยกว่า 70,000 คน และมีบริษัทญี่ปุ่นดำเนินธุรกิจในไทยมากกว่า 6,000 บริษัท
ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือถึงประเด็นมาตรการขึ้นภาษีนำเข้า (reciprocal tariff) ของสหรัฐอเมริกาที่มีต่อประเทศคู่ค้า โดยญี่ปุ่นจะถูกขึ้นภาษีในอัตรา 24% ส่วนไทยจะถูกขึ้นภาษีในอัตรา 36% ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่สูง
ซึ่งญี่ปุ่นได้มีการเจรจากับสหรัฐอเมริกาแล้วรวม 2 ครั้ง โดยคาดหวังว่าจะสามารถหาข้อยุติร่วมกันได้และเป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย ขณะที่ไทยได้จัดทำข้อเสนอส่งให้สหรัฐอเมริกาแล้ว เพื่อยืนยันถึงความตั้งใจของไทย
ในการรักษาความสัมพันธ์ทางการค้าและแก้ไขประเด็นทางการค้าในเชิงสร้างสรรค์ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่อาจมีต่อผู้ประกอบการและนักลงทุนของทั้งสองประเทศ
ซึ่งเมื่อช่วงต้นปีนายพิชัยได้หารือกับ Mr. HAYASHI Yoshimasa, Chief Cabinet Secretary และ Mr.Taro KONO สส.จังหวัดคานางาวะ อดีตรัฐมนตรีดิจิทัลของญี่ปุ่น ซึ่งทั้งคู่เป็นนักการเมืองที่มีบทบาทสำคัญในญี่ปุ่น ในประเด็นความร่วมมือระหว่างไทยกับญี่ปุ่นในอุตสาหกรรมใหม่ ที่ญี่ปุ่นกำลังจะมีการลงทุนเพื่อสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของญี่ปุ่นในช่วง 10 ปีข้างหน้า โดยจะทุ่มงบประมาณมากกว่า 10 ล้านล้านเยน (2.2 ล้านล้านบาท) ซึ่งไทยต้องการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในซัพพลายเชนของญี่ปุ่นด้วย ทั้งนี้ ในปี 2567 ไทยและญี่ปุ่นมีมูลค่าการค้าระหว่างกัน 52,020.41 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยส่งออกไปญี่ปุ่น 23,285.76 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ไก่แปรรูป เครื่องใช้ ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่น ๆ เครื่องจักรและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล เคมีภัณฑ์ และไทยนำเข้าจากญี่ปุ่น 28,734.65 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้านำเข้าสำคัญ เช่น เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ อุปกรณ์ยานยนต์และส่วนประกอบ และแผงวงจรไฟฟ้า
รูปภาพ
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://ratchaburi.prd.go.th/th/content/category/detail/id/57/iid/392071&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw3CDOpZp1AzAg0IjlEVSQvG