ผู้ว่าธปท. เตือนสงครามภาษีสหรัฐฯ ทำเศรษฐกิจไทยเสียสมดุล แนะอาเซียนร่วมมือแก้เกม “ทรัมป์”

ผู้ว่าธปท.-เตือนสงครามภาษีสหรัฐฯ-ทำเศรษฐกิจไทยเสียสมดุล-แนะอาเซียนร่วมมือแก้เกม-“ทรัมป์”
ผู้ว่าธปท. เตือนสงครามภาษีสหรัฐฯ ทำเศรษฐกิจไทยเสียสมดุล แนะอาเซียนร่วมมือแก้เกม “ทรัมป์”

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ  ผู้ว่าธปท. เผยกับ Nikkei Asia เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 โดยระบุว่า สงครามภาษีสหรัฐฯ ทำเศรษฐกิจไทยเสียสมดุล โดยแนะให้อาเซียนหันมาร่วมมือเพื่อเลี่ยงผลกระทบ “ทรัมป์”

กรุงเทพฯ – ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เตือนว่า การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และการทะลักของสินค้าที่เข้ามาประเทศไทย อาจสร้างความเสียหายรุนแรงต่อภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ของไทย ซึ่งเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอาจทิ้งรอยแผลเป็นที่ลึกเอาไว้

คลิกอ่าน : From tires to furniture, Thai central bank says tariffs throw economy off balance

คำเตือน ของดร.เศรษฐพุฒิสะท้อนถึงเอเชียด้วย เนื่องจากมาตรการภาษีที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้นำมาใช้เริ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่แท้จริง หลังจากที่สร้างความปั่นป่วนในตลาดการเงินมาตลอดสองเดือนที่ผ่านมา

ดร.เศรษฐพุฒิ ระบุว่า ภาคอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออกอาจได้รับผลกระทบอย่างหนัก หากไม่สามารถส่งออกไปขายที่ตลาดสหรัฐฯได้ เช่น กลุ่มอาหารแปรรูป อิเล็กทรอนิกส์ และชิ้นส่วนรถยนต์ โดยเฉพาะยางรถยนต์

ยิ่งไปกว่านั้น ตลาดในประเทศก็คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากสินค้าที่ไม่สามารถส่งออกไปสหรัฐฯ และถูกเทเข้ามาในประเทศไทยแทน เช่น เฟอร์นิเจอร์ สิ่งทอและเครื่องแต่งกาย พลาสติก ปิโตรเคมีภัณฑ์ และเหล็ก

“การนำเข้าที่เพิ่มขึ้นมาจากหลายประเทศ แต่แหล่งที่สำคัญแน่นอนคือจากจีน”

ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าวอีกว่า สำหรับไทยสิ่งที่น่าเป็นห่วงเป็นพิเศษคือ เอสเอ็มอีที่จะได้รับผลกระทบจากการนำเข้าสินค้าที่ทะลักเข้ามา เพราะเป็นหมวดสินค้าที่มีอุตสาหกรรม SME จำนวนมาก และเปราะบางกว่ามาก และมีสัดส่วนการจ้างงานที่ค่อนข้างมาก

ตามข้อมูลของทางการศุลกากรจีน การส่งออกของจีนไปยังสหรัฐฯ ลดลง 21% ในเดือนเมษายน นับตั้งแต่รัฐบาลทรัมป์ประกาศมาตรการ “ภาษีตอบโต้” เมื่อวันที่ 2 เมษายน ในขณะเดียวกัน การส่งออกทั่วโลกของจีนเติบโต 8% และเป็นการส่งออกไปไทยเพิ่มขึ้น 28%

ผู้ว่าธปท.ได้พบกับ Nikkei Asia เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 ซึ่งความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายภาษีก็เพิ่มขึ้นตั้งแต่ขณะนั้น โดยศาลการค้าของสหรัฐฯ ได้มีคำสั่งให้ระงับการเก็บภาษีโดยทันทีเมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยตัดสินว่าทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขตในการบังคับใช้มาตรการดังกล่าว แต่ในวันถัดมา ศาลอุทธรณ์ของรัฐบาลกลางได้คืนสถานะการเก็บภาษีดังกล่าวชั่วคราว

ดร.เศรษฐพุฒิกล่าวว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่กว้างขวางเช่นนี้ทำให้ธนาคารกลางคาดการณ์เศรษฐกิจได้ยาก ซึ่งกระตุ้นให้ ธปท. ต้องทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน คือการประมาณการณ์ไว้สองสถานการณ์

เมื่อวันที่ 30 เมษายน ธปท. ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทย โดยคาดการณ์ผลลัพธ์ที่เป็นไปในทางดีที่สุดคือการเติบโต 2% ในปีนี้ และอีกสถานการณ์คือแย่ที่สุดเศรษฐกิจไทยจะเติบโตเพียง 1.3%

ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์ฯ) ที่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโต 1.3%-2.3% โดยมีค่ากลางอยู่ที่ 1.8% ในปี 2568

“เราจะเริ่มเห็นผลกระทบของภาษี แสดงผลในไตรมาสที่ 3 และ 4  ซึ่งส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับการเจรจาและผลลัพธ์ของการเจรจา ทั้งนี้ได้ประมาณการอัตราการเติบโตระยะยาวของเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงสูงกว่า 2%”

ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าวอีกว่า จากการคาดการณ์ล่าสุดบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจไทยจะโตต่ำกว่าศักยภาพการเติบโต เนื่องจากผลกระทบจากภาษีเป็นอุปสรรการต่อการส่งออกของไทย ซึ่งส่งออกคิดเป็นสัดส่วนกว่า 60% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP)

เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ ธปท. ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายแล้วสองครั้งในปีนี้ โดยอัตราปัจจุบันอยู่ที่ 1.75%

“นโยบายการเงินในปัจจุบันเอื้อต่อการเติบโต ธปท. ไม่ได้พิจารณาเพียงเป้าหมายเงินเฟ้อ ในการตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ย แต่คำนึงถึงแนวโน้มการเติบโตที่อ่อนแอลงที่เห็นในอนาคต ผมไม่สามารถบอกได้ว่าเราจะลดอัตราดอกเบี้ยอีกเมื่อไร แต่การผ่อนคลายนโยบายการเงินยังคงจำเป็นสำหรับประเทศไทยในตอนนี้”

ดร.เศรษฐพุฒิ อดีตนักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารโลก ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ ธปท. มาตั้งแต่ปี 2020 วาระ 5 ปีของเขาจะสิ้นสุดในวันที่ 30 กันยายนนี้ และไม่สามารถดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่สองได้ เนื่องจากจะครบอายุ 60 ปีในปีนี้ เขาย้ำว่า ธปท. จะยังคงรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาท เพื่อคงนโยบายที่เอื้อต่อการเติบโตและส่งเสริมการเติบโต

ประเทศไทยเป็นประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยภาคการธนาคารมากกว่าตลาด และผลกระทบจากภาษีต่อตลาดการเงินของไทยนั้นมีน้อยกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอย่างสหรัฐฯ

“เงินบาทที่อ่อนค่าลงมักจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ส่งออกในประเทศไทย แม้ว่าคำกล่าวนี้จะเป็นจริง แต่เราไม่มีเป้าหมายหรือระดับอัตราแลกเปลี่ยนที่กำหนดไว้ในใจ เราตระหนักดีถึงอันตรายและความเสี่ยงของการพยายามทำมากเกินไปเกี่ยวกับระดับอัตราแลกเปลี่ยน” ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวเสริม โดยอ้างอิงถึงบทเรียนอันหนักหน่วงจากวิกฤตทางการเงินในเอเชียช่วงทศวรรษ 1990

ดร.เศรษฐพุฒิ เปรียบเทียบภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันกับวิกฤตการณ์ครั้งก่อนๆ ว่า ไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายเกินไปเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน เนื่องจากประเทศไทยยังมีภาคบริการ ซึ่งคาดว่าจะยังคงอยู่รอดได้แม้จะมีภาษีของทรัมป์ และอาจมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเศรษฐกิจไทย

“พายุครั้งนี้ไม่เลวร้ายเท่าครั้งที่เราเคยผ่านมา” นายเศรษฐพุฒิกล่าว โดยอ้างถึงช่วงที่ GDP ไทยหดตัว 7.6% ในปี 1997 และเมื่อเศรษฐกิจหดตัว 6.1% ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2020 การคาดการณ์การเติบโตที่ 1.3% ถึง 2.0% ในปีนี้ ดีกว่ามากเมื่อเทียบกับช่วงเวลาที่มืดมนเหล่านั้น เราจะผ่านพ้นพายุลูกนี้ไปได้ เพราะเราเคยผ่านสิ่งที่เลวร้ายกว่ามาแล้ว และเราก็ผ่านมันมาได้”

ดร.เศรษฐพุฒิ เผยว่า คาดว่าต้องใช้เวลาสักระยะในการแก้ไขปัญหาภาษีของทรัมป์ โดยจะขึ้นอยู่กับว่าประเทศไทยจะจัดการกับการเจรจากับสหรัฐฯ อย่างไร แต่เมื่อถูกถามว่าปัญหาการค้าจะยืดเยื้อนานเท่าไร เขาตอบว่า “ผมไม่คิดว่ามีใครรู้จริงๆ”

ตราบใดที่แรงกดดันจากภาษียังคงอยู่ ดร.เศรษฐพุฒิแนะนำให้ประเทศยืนหยัดในการปรับโครงสร้าง โดยเฉพาะปัญหาหนี้สิน เพื่อให้ประเทศมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในยามวิกฤต แทนที่จะหันไปใช้วิธีการลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นธุรกิจอยู่เสมอ

“อัตราดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือที่ไม่ตรงจุด และส่งผลกระทบต่อหลายสิ่งหลายอย่าง และประสิทธิผลจากการลดอัตราดอกเบี้ยจะค่อยๆ ลดทอนลง โดยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงจะกระตุ้นให้ผู้คนกู้ยืมมากขึ้น และนั่นอาจทำให้หนี้เพิ่มขึ้นจนเป็นภาระต่อเศรษฐกิจ”

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูง ซึ่งทำให้ธนาคารต้องใช้มาตรการที่เข้มงวดในการให้สินเชื่อ ซึ่งนำไปสู่การลดลงของอำนาจซื้อสินค้าคงทน โดยเฉพาะรถยนต์ โดยยอดขายรถยนต์ปี 2024 ลดลง 26%

โดยหนี้ครัวเรือนของไทยพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 95.5% ในปี 2021 เมื่อประเทศไทยยังคงต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างไรก็ตาม ธปท. ได้ดำเนินมาตรการลดหนี้ครัวเรือนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และส่งผลให้สามารถลดหนี้ลงเหลือ 88.4% ของ GDP ณ สิ้นปี 2024

“อย่างน้อยที่สุด ทิศทางก็กำลังไปในทางที่ถูกต้อง แต่ 88% ก็ยังถือว่าสูงเกินไป” ดร.เศรษฐพุฒิกล่าวถึงหนี้ครัวเรือนไทยต่อจีดีพี

ผู้ว่าการธปท.กล่าวด้วยว่า การหยุดชะงักทางการค้าที่เกิดจากภาษีของทรัมป์อาจเป็นโอกาสที่ดีสำหรับอาเซียนในการสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกันมากขึ้นในภูมิภาค ท่ามกลางช่วงเวลาที่โลกกำลังมองหาสมดุลทางการค้าใหม่ สิ่งหนึ่งที่ผมหวังว่าจะเกิดขึ้น คือ การรวมกลุ่มในภูมิภาคมากขึ้น โดยเฉพาะภายในอาเซียน รวมทั้งประเทศพันธมิตร

ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าวถึงญี่ปุ่นที่ถือว่าเป็นหุ้นส่วนทางการค้าที่พิเศษสำหรับประเทศไทยด้วยว่า “เศรษฐกิจไทยที่ค่อนข้างประสบความสำเร็จในอดีต ส่วนหนึ่งมาจากการลงทุนจากญี่ปุ่น เราซาบซึ้งใจมาก”

อ่านข่าว เศรษฐกิจทั่วไทย ทั้งหมด ได้ที่นี่

———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://moneyandbanking.co.th/2025/176048/&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw3gx6TqWT8r4-n7B1qNWt_u

Related Post

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *