ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 ภาพรวมเศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับการชะลอตัวที่ชัดเจน จากหลายปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ ทั้งปัญหาการเมืองที่ไม่แน่นอน กำลังซื้อในประเทศที่ซบเซา ไปจนถึงปัจจัยเศรษฐกิจโลกที่มีความไม่มั่นคงสูง ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจถดถอยลงอย่างเห็นได้ชัด เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความท้าทายที่ประเทศไทยจะต้องเผชิญในอนาคตอันใกล้ ถึงเวลาที่ภาคเอกชนเองต้องเร่งปรับแผนรองรับทั้งด้านการลงทุน การบริหารจัดการต้นทุน และกลยุทธ์การตลาดเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อให้เกิดขึ้น
GULF เดินหน้าลงทุนตามแผน 2 หมื่นล้าน
นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจพลังงาน เนื่องจากการเติบโตของธุรกิจพลังงานขึ้นอยู่กับการเติบโตของ GDP ซึ่งหาก GDP ติดลบ ธุรกิจพลังงานก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย
อย่างไรก็ตามขณะนี้มีความต้องการใช้ไฟฟ้าจากภาคธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ Data Center ที่ต้องการพลังงานที่เสถียร จำเป็นต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การดำเนินงานไม่สะดุด และป้องกันปัญหาการขาดแคลนพลังงานในอนาคต
สำหรับการลงทุนของ GULF ยังคงเดินหน้าตามแผนที่วางไว้ โดยมุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจพลังงานและเทคโนโลยี เช่น ซอฟต์แวร์และ AI พร้อมทั้งปรับแผนการดำเนินงานให้มีความยืดหยุ่น เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ การลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าใหม่จะเริ่มต้นขึ้นเมื่อกระทรวงพลังงานอนุมัติแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า (PDP) ฉบับใหม่ หลังจากที่มีความล่าช้ามานาน
ในส่วนของการลงทุนในต่างประเทศ GULF กำลังศึกษาความเป็นไปได้ในหลายภูมิภาค ทั้ง สหรัฐฯ, ยุโรป, และ ภูมิเอเชีย โดยเน้นที่ผลตอบแทนที่น่าสนใจจากการเข้าซื้อกิจการและการขายสินทรัพย์ โดยจะพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อไม่ให้ได้สินทรัพย์ที่ไม่มีคุณภาพ
สำหรับแผนการซื้อขายสินทรัพย์ในปีนี้ GULF จะพิจารณาตามมูลค่าของสินทรัพย์และปัจจัยทางธุรกิจเป็นหลัก และยังคงถือหุ้นในบริษัท SPCG ไว้เหมือนเดิมโดยไม่มีแผนขายออก
นายสารัชถ์ กล่าวต่อว่า แม้ว่าจะมีการชะลอตัวของเศรษฐกิจ แต่ GULF ยังคงเดินหน้าลงทุนตามแผนที่วางไว้ โดยเฉพาะการใช้จ่ายเงินจากวงเงินหุ้นกู้ 3 แสนล้านบาท ซึ่งจะทยอยออกบอนด์ต่อเนื่อง ส่วนแผนการลงทุนยังคงใช้งบลงทุน 2 หมื่นล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ยังมีการลงทุนในธุรกิจ Data Center ที่กำลังดำเนินการไปได้ดี รวมถึงแผนการลงทุนในโครงการระยะ 2 และ 3 ที่มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง
ชง “ควิกวิน” เรียกความเชื่อมั่นนักลงทุน
ด้านนายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ ฉายมุมมองเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้เหมือนยุค “รถยนต์ 3 ล้อ” ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย สวนทางกับเศรษฐกิจที่ดีที่ควรจะเหมือน “รถอีวี” ที่ขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้บางประเทศในเอเชียอย่างเวียดนามและอินโดนีเซียจะยังคงเติบโตได้ดี แต่เศรษฐกิจไทยที่เคยอยู่ในฐานที่สูง กำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากปัจจัยภายนอก
สำหรับข้อเสนอแนะแก่รัฐบาลเพื่อแก้ไขสถานการณ์เศรษฐกิจในระยะสั้น (3-6 เดือน) รัฐบาลต้องมีมาตรการ “ควิกวิน” หรือการสร้างความเชื่อมั่นอย่างเร่งด่วน เพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติที่แสดงความสนใจเข้ามาลงทุนในไทย พร้อมทั้งกระตุ้นตลาดทุนที่ยังคงซบเซา และเร่งออกนโยบายต่างๆ ที่มีความชัดเจนและเป็นรูปธรรม ส่วนระยะกลางและระยะยาว ต้องเร่งการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่
เช่น การขยายขนาดโครงการ EEC, โครงการแลนด์บริดจ์ รวมถึงการทบทวนโครงการขุดคอคอดกระ เพื่อสนับสนุนการขนส่งและโลจิสติกส์ของประเทศ ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้น และเมื่อเศรษฐกิจดี กำลังซื้อของประชาชนก็จะปรับตัวดีขึ้นตามมา รัฐบาลต้องกล้าที่จะเดินหน้าโครงการเหล่านี้อย่างจริงจัง
ด้านแผนลงทุนของเครือสหพัฒน์ “นายบุณยสิทธิ์” กล่าวว่า ปีนี้เครือสหพัฒน์จะลงทุนไม่มากนัก แต่จะเน้นการร่วมมือกับพันธมิตรมากขึ้น โดยทิศทางการลงทุน เครือสหพัฒน์ได้ปรับลดการลงทุนในธุรกิจแฟชั่นที่กำลังซบเซา และหันมารุกธุรกิจอาหารอย่าง “มาม่า” และขยายไปยังธุรกิจอื่นๆ ที่มีศักยภาพ เช่น อสังหาริมทรัพย์ บริการ และเฮลท์แคร์ โดยกำลังก่อสร้างโครงการมิกซ์ยูส “คิง สแควร์” ซึ่งประกอบไปด้วย KingsQuare Residence (คอนโดมิเนียม), KINGSQUARE Community Mall และ Dusit Suites KINGSQUARE Bangkok (เซอร์วิส อพาร์ตเมนต์และโรงแรม) รวมถึงการทำโรงเรียนนานาชาติ เป็นต้น
4 ปัจจัยเสี่ยงชี้เป็นชี้ตาย ศก.ไทย
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า ในการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ล่าสุด (4 มิ.ย. 68) ได้ปรับลดคาดการขยายตัวของจีดีพีและการส่งออกไทยลงจากที่คาดการณ์ไว้ในเดือนเมษายน โดยในส่วนของจีดีพีคาดจะขยายตัวได้ 1.5-2.0% จากเดือนเมษายนคาดขยายตัวที่ 2.0-2.2% และการส่งออกคาดจะอยู่ที่ -0.5% ถึง 0.3% จากเดือนพฤษภาคมคาดขยายตัว 0.3% ถึง 0.9% จากภาคการส่งออกของไทยในครึ่งปีหลังมีความเสี่ยงจากหลายประเด็น ได้แก่
1. อัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ที่เดิมสหรัฐอเมริกาจะเรียกเก็บจากไทยในอัตรา 36% ซึ่งต้องจับตาผลการเจรจาของรัฐบาลไทยกับสหรัฐจะออกมาว่าเป็นเช่นไร
2. การเจรจาภาษีตอบโต้ของสหรัฐกับประเทศคู่แข่งขันส่งออกสำคัญไปสหรัฐ ซึ่งจะมีผลต่อความได้เปรียบ-เสียเปรียบในการเข่งขันของสินค้าไทยในตลาดสหรัฐ
3. การเจรจาการค้าสหรัฐ-จีน หลังสหรัฐและจีนได้บรรลุข้อตกลงในเบื้องต้นที่สหรัฐจะเก็บภาษีสินค้าจีน 30% (จากเดิม 145%) และจีนเก็บภาษีสินค้าสหรัฐ 10% (จากเดิม 125%) โดยชะลอออกไป 90 วัน ซึ่งจะครบกำหนดในต้นเดือนสิงหาคมนี้ ต้องติดตามว่าสุดท้ายเมื่อครบกำหนดแล้วภาษีนำเข้าจากจีน สหรัฐจะเก็บในอัตราเท่าใด(ล่าสุดสหรัฐ-จีนได้บรรลุข้อตกลงการค้าใหม่ โดยสหรัฐจะเก็บภาษีสินค้าจีน 55%และจีนคงเก็บภาษีสินค้าสหรัฐที่ 10% (ซึ่งยังไม่มีรายละเอียดในทางปฏิบัติว่าจะมีผลบังคับใช้เมื่อใด)
4. จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เป็นนักท่องเที่ยวอันดับ 1 ของไทยจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายหรือไม่ (เป้าหมายจีนเที่ยวไทยปีนี้ 6.9 ล้านคน ล่าสุดตัวเลขตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.- 8 มิ.ย. 68 มีนักท่องเที่ยวจีนมาไทน 2.02 ล้านคน เป็นอันดับ 2 รองจากมาเลเซียที่เข้ามา 2.04 ล้านคน)
อย่างไรก็ดีไม่ว่าผลการเจรจาเรื่องภาษีจะออกมาเป็นเช่นไร สิ่งที่ประเทศไทยต้องเร่งดำเนินการคือ การเร่งหาตลาดใหม่เพื่อลดความเสี่ยงตลาดสหรัฐ โดยตลาดที่สินค้าไทยมีโอกาสและมีศักยภาพในการแข่งขัน เช่น ตะวันออกกลาง ตลาดกลุ่ม GCC 6 ประเทศ ลาตินอเมริกา อินเดีย เอเชียใต้ เป็นต้น ซึ่งสิ่งที่ภาคเอกชนเสนอกับภาครัฐคือการบูรณาการข้อมูลกันอย่างเรียลไทม์ รวมถึงข้อมูลต่าง ๆ จากทูตพาณิชย์ทั่วโลกในการเจาะตลาด ซึ่งรัฐมนตรีพาณิชย์ได้รับเรื่องและสั่งการไปแล้ว
ต่างชาติชะลอตัว-ยอดจองรร.ลดฮวบ
สถานการณ์การท่องเที่ยวตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-8 มิถุนายน 2568 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยสะสมแล้วกว่า 15,016,878 คน ลดลง 2.87 % สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 699,295 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.7 % ขณะที่การเดินทางเที่ยวในประเทศ อยู่ที่ 89.8 ล้านคน-ครั้ง เพิ่มขึ้น 1.6 % รายได้ 5 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.7 % การชะลอตัวของนักท่องเที่ยวที่เกิดขึ้นเนื่องจากเป็นช่วงโลว์ซีซัน ประกอบกับการชะลอตัวของนักท่องเที่ยวจีน
นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เผยว่า การท่องเที่ยวในช่วงไตรมาส 1 ถือว่าเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แม้จะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของนักท่องเที่ยวจีน แต่ในช่วงไตรมาส 2 และ 3 ซึ่งเป็นช่วงโลว์ซีซัน
เป็นโมเมนตั้มของนักท่องเที่ยวจะลดลง ซึ่งเป็นช่วงที่ต้องบูสต์ตลาดขึ้นมาให้ได้ โดยการหาตลาดอื่นที่ดีมานด์เข้ามาทดแทน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวตะวันออกกลาง ที่จะเป็นตลาดที่มีบุ๊กกิ้งเข้ามาในช่วงนี้ เพราะตลาดนักท่องเที่ยวจีน ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะกลับมาได้แบบคึกคักเต็มที่
การปรับฐานตลาดนักท่องเที่ยวเป็นสิ่งสำคัญ อย่าง โครงการเอเชีย ทีค เดิมพึ่งพานักท่องเที่ยวจีนมากกว่า 70% ปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนมาเป็นนักท่องเที่ยวหลากหลายตลาดผสมผสานกัน (Mix) โดยนักท่องเที่ยวจีนคิดเป็นสัดส่วนเพียง 10% เท่านั้น และยังเตรียมจะเปิด จูราสสิค เวิลด์ ในช่วงก.ค.นี้ ที่จะเป็นจุดขายใหม่ด้านการท่องเที่ยว
ซึ่งตั้งเป้าหมายนักท่องเที่ยว 3 หมื่นคนต่อวัน หรือ อย่างที่โรงแรมในพัทยา เคยพึ่งพานักท่องเที่ยวจีนและรัสเซียเป็นหลัก ปัจจุบันได้ปรับเป็นนักท่องเที่ยวผสมจากหลายประเทศ ทำให้ธุรกิจมีความมั่นคงมากขึ้น และเตรียมจะเปิดโรงแรมในพัทยาเพิ่มอีก 1 แห่งในเร็วๆนี้
ขณะที่นางสริญทิพญ ทัพมงคลทรัพย์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดระยอง และหนึ่งในผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมเกาะเสม็ด กล่าวว่า ปี 2568 ภาพรวมกลับเริ่มซบเซาใกล้วิกฤตอีกครั้ง ยกตัวอย่างเกาะเสม็ดที่เคยมีนักท่องเที่ยว 7,000-10,000 คนต่อวัน ลดลงเหลือเพียง 100-200 คนต่อวัน หลังเทศกาลสงกรานต์ปลายเดือนเมษายนจนถึงปัจจุบัน สถานการณ์เงียบเหงาลงอย่างเห็นได้ชัด
ในมุมมองของผู้ประกอบการถือว่าตอนนี้การท่องเที่ยวอยู่ในสถานการณ์วิกฤต นโยบายที่เคยใช้ได้ผลอย่างไทยเที่ยวไทยหรือคนละครึ่งก็หยุดชะงัก จึงอยากเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามามีบทบาทในการแก้ไขเรื่องอย่างจริงจัง ตั้งแต่ต้นเหตุ โดยสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย, ส่งเสริม Roadshow/B2B, เร่งโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ, จัดตั้งกองทุนการท่องเที่ยว, แก้ไขเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์, มิจฉาชีพ, อาชญากรข้ามประเทศ
ลุ้นอสังหาฯ ภูธรโต
ทางด้านตลาดอสังหาริมทรัพย์ แม้ยังเผชิญกับปัจจัยเสี่ยง แต่หลายค่ายต่างประเมินว่าครึ่งปีหลังยังมีโอกาสเติบโต และต่างหาช่องทางขยายฐานธุรกิจมากขึ้น โดยนางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา หรือ CPN สะท้อนตลาดอสังหาฯครึ่งปีหลังว่า ยังคงเห็นศักยภาพการเติบโต
โดยเฉพาะในตลาดต่างจังหวัดซึ่งมีฐานลูกค้าท้องถิ่นที่มีกำลังซื้อสูง และเปิดรับโครงการคุณภาพจากกรุงเทพฯและยังระบุว่า ลูกค้าหลายกลุ่มที่เคยชะลอการตัดสินใจเริ่มกลับเข้าสู่ตลาด โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวรุ่นใหม่และกลุ่มวัยทำงานที่ต้องการบ้านหลังแรกหรือที่พักใกล้แหล่งงาน ซึ่งโครงการที่อยู่ในโครงข่ายศูนย์การค้าจะได้เปรียบมากขึ้น เนื่องจากตอบโจทย์การใช้ชีวิตครบวงจร
“เราวางกลยุทธ์พัฒนาโครงการมิกซ์ยูสและเรสซิเดนซ์ควบคู่ศูนย์การค้า งบลงทุน 5 ปีที่วางไว้ 1.2 แสนล้านบาท โดย 10% หรือประมาณ 12,000 ล้านบาทต่อปี ใช้กับโครงการที่อยู่อาศัย แต่ในปีนี้ได้ตั้งงบลงทุนที่ 16,000 ล้านบาท ซึ่งเราหวังจะดันแบรนด์ให้ติดท็อป 10 ในปีนี้”
บล.แนะลงทุนระยะยาว
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) และในฐานะนายกสมาคมจัดการลงทุนกล่าวทิศทางเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังว่า ปัญหาภาษีทรัมป์ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกโดยรวม ทำให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้คาดว่าจะเติบโตได้เพียง 1.8% เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ในช่วงต้นปี และความท้าทายเหล่านี้อาจทำให้การเติบโตของประเทศลดลงมากกว่าเดิมในครึ่งปีหลัง
นอกจากนี้ การเมืองในประเทศไทยยังเป็นปัจจัยที่ไม่อาจมองข้ามได้ โดยความไม่มั่นใจในสถานการณ์ทางการเมืองส่งผลให้ภาคการบริโภคชะลอตัว และส่งผลกระทบต่อการลงทุนในประเทศ ความไม่แน่นอนทางการเมืองจึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องจับตามอง ซึ่งหากการเมืองไม่สามารถคลี่คลายได้อย่างรวดเร็ว ก็จะทำให้การลงทุนชะลอตัวออกไปมากยิ่งขึ้น
“ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยยังคงมีมูลค่าและคุณค่าของการลงทุนที่สูงอยู่ โดยหุ้นไทยมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ที่สูงและดีกว่าในหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เฉลี่ยประมาณ 10% ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนควรใช้เป็นจังหวะในการลงทุน โดยเฉพาะในกลุ่มบริษัทที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง
มีความมั่นคงในการเติบโต และสามารถสร้างมูลค่าระยะยาวให้กับนักลงทุน อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนในช่วงนี้คือการไม่ตัดสินใจลงทุนในระยะสั้น แต่ควรเน้นการลงทุนระยะยาว โดยการเลือกลงทุนในหุ้นที่มีมูลค่าหรือเป็นหุ้นที่คาดว่าจะมีผลตอบแทนที่ดีในอนาคต”
นายวิน พรหมแพทย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า นักลงทุนน่าจะเตรียมพอร์ตให้พร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนในครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะในช่วงที่ยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับภาษีทรัมป์และสถานการณ์ทางการเมือง การจัดพอร์ตให้มีความหลากหลายและมีความยืดหยุ่นในการปรับตัวจะช่วยให้พอร์ตการลงทุนสามารถรับมือกับความผันผวนในตลาดได้
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าจุดแย่ที่สุดผ่านไปแล้ว เพียงแต่จากนี้ไป เรื่องภาษีคงไม่กลับไปเท่าอดีต คงสูงกว่าเดิม วันนี้นักลงทุนต้องเตรียมใจยอมรับว่า ปีนี้พายุเข้า เราคาดการณ์ได้ยากว่า พายุลูกนี้จะใหญ่แค่ไหน กระทบใครบ้าง แต่สิ่งที่เราควรทำคือ จัดพอร์ตตัวเองให้รองรับว่า เมื่อพายุเข้ามา พอร์ตเราต้องรอด
เครื่องสำอางอ่วม ต้นทุนเพิ่ม
ขณะที่นางเกศมณี เลิศกิจจา นายกสมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไทย และประธานกิตติมศักดิ์คลัสเตอร์สุขภาพและความงาม กล่าวว่า ในภาวะที่กำลังซื้อลดลง ต้นทุนผู้ประกอบการกลับเพิ่มขึ้นและไม่สามารถปรับขึ้นราคาสินค้าได้ทันที ปัญหาสำคัญคือการถูกเก็บภาษีหัวน้ำหอมโดยกรมสรรพสามิต ถือเป็นวัตถุดิบสำคัญที่ผู้ประกอบการไทยผลิตเองไม่ได้ในประเทศ ซึ่งไม่ควรถูกจัดเก็บเพราะจะทำให้อุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยแข่งขันได้ยาก ทำให้ต้นทุนจะเพิ่มขึ้นประมาณ 6-7% แม้หน่วยงานรัฐจะคิดว่าเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้นซึ่งไม่เป็นความจริง
“ประเด็นภาษีหัวน้ำหอมส่งผลกระทบในวงกว้างกระทบต่อต้นทุนและการแข่งขัน นอกจากนี้ยังมีความซับซ้อนและค่าใช้จ่ายแอบแฝงหลายอย่าง กระทบตั้งแต่รายใหญ่ไปจนถึงรายย่อยอย่าง SMEs และ OTOP ในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้หากสายป่านไม่ยาวพอจะประคองธุรกิจไม่ได้นานเกินกว่า 3-4 เดือน ตอนนี้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตานักลงทุนต่างชาติอาจจะยังดี แต่ภายในฟอนเฟะ หากรัฐบาลไม่รีบแก้ไขจะเกิดความเสียหายอย่างมาก”
อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์เศรษฐกิจของไทยในไตรมาส 3 ภาครัฐต้องรับฟังเสียงของผู้ประกอบการให้มาก ในภาคธุรกิจเครื่องสำอางควรรีบแก้ไขนโยบายการเก็บภาษีหัวน้ำหอมโดยทันที สนับสนุนและสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ อย่าเพิ่มนโยบายที่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน
ธุรกิจร้านอาหารเผาจริง
สถานการณ์ธุรกิจร้านอาหารไทยที่เข้าขั้นวิกฤตตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน ซึ่งคาดว่าในไตรมาส 3 จะเข้าสู่สถานการณ์ “เผาจริง” หลังได้รับผลกระทบอย่างหนักจากเศรษฐกิจไทยที่ซบเซา หนี้สาธารณะและหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูง
นายธิติฏฐ์ ทัศนาขจร หรือเชฟต้น มหาบัณฑิต MBA จากสหรัฐอเมริกา ผู้ก่อตั้งและเจ้าของร่วมร้านอาหารไทยมากกว่า 15 แบรนด์รวม 25 สาขา ทั้งในและต่างประเทศ กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจร้านอาหารโดยรวมได้รับผลกระทบอย่างหนัก ไม่ใช่แค่ร้านอาหารหรู แต่กระทบไปถึงร้านระดับรากหญ้า เนื่องจากร้านอาหารไม่ใช่ปัจจัยสี่ และผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น ทำให้เงินที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจน้อยลง คนไม่จับจ่ายใช้สอย
สัญญาณซบเซาเริ่มเห็นชัดตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว กำลังซื้อหลักในช่วงไฮซีซันจากคนไทย รวมถึงบริษัทห้างร้านต่างๆ ที่เคยมีงบสังสรรค์หรือจัดเลี้ยง ได้หายไปจำนวนมาก เนื่องจากเริ่มมีการปรับลดงบประมาณและตัดงบพนักงาน ยิ่งไปกว่านั้น นักท่องเที่ยวจีนที่หายไปกว่า 70% ซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักที่มียอดการใช้จ่ายสูง ได้สร้างผลกระทบอย่างมหาศาล โดยตรงต่อยอดการใช้จ่ายในทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะร้านอาหารไทยซึ่งเป็น Soft Power
“ตลาดร้านอาหาร Fine Dining กำลังเผชิญภาวะที่ยากลำบากเป็นพิเศษ ส่งผลให้ไม่เติบโตในอีก 5 ปีข้างหน้า เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีมาร์จิ้นต่ำ และการอยู่รอดเป็นเรื่องยากในภาวะที่กำลังซื้อกลุ่ม High-End รัดเข็มขัด ผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างรวดเร็ว ร้านไฟน์ไดนิ่งที่มีราคาขาย 5,000 – 10,000 บาทต่อมื้อ จะต้องมีฐานลูกค้าประจำและสายป่านที่ยาวพอสมควรถึงจะอยู่รอดได้ แต่ร้านที่สายป่านไม่ยาวเท่าเตรียมร่วงภายใน 5 ปีนี้แน่นอน ซึ่งคาดว่าร้านไฟน์ไดนิ่งจะอยู่รอดในตลาดไม่ถึง 50%”
ด้านนายสรเทพ โรจน์พจนารัช ประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารและเจ้าของร้านอาหารในเครือสตีฟ คาเฟ่ กล่าวว่า ปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นคือการขาดความช่วยเหลือจากภาครัฐ ซึ่งหากยังไม่ดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ราคาวัตถุดิบ ร้านอาหารขนาดเล็กและร้านระดับกลางจะต้องปิดตัวจำนวนมาก และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม เนื่องจากร้านเหล่านี้เป็นผู้เสียภาษีรายหลักในระบบเศรษฐกิจ หากร้านระดับกลางซึ่งเป็นธุรกิจขนาดกลาง (SME) หายไป จะมีผลกระทบถึงการเก็บภาษีและเศรษฐกิจทั้งประเทศ
สำหรับการรับมือในไตรมาสที่ 3 ยอมรับว่าไม่สามารถใช้กลยุทธ์ใหม่ได้มากนัก เพราะผู้ประกอบการร้านอาหารได้ใช้กลยุทธ์ทั้งหมดไปแล้ว สิ่งที่ต้องการที่สุดในตอนนี้คือการแก้ไขจากภาครัฐ หากรัฐบาลยังคงนิ่งเฉยต่อปัญหานี้ การล่มสลายของธุรกิจร้านอาหาร SME จะเป็นปัญหาที่ใหญ่ขึ้นในระยะยาว
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.thansettakij.com/business/marketing/629845&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw09xrCyZqKq3qJFbPa-Ve_s