รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCI) เดือน พ.ค. 68 ปรับตัวลดลงจากระดับ 55.4 เป็น 54.2 ปรับตัวลดลงทุกรายการต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และอยู่ในระดับที่ต่ำสุดในรอบ 2 ปี นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2566 เป็นต้นมา
เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าจากนโยบาย Trump 2.0 และเศรษฐกิจไทยกำลังชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่ารัฐบาลจะออกมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ และธนาคารแห่งประเทศไทยได้ใช้นโนบายการเงินผ่อนคลายจากการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายตั้งแต่ต้นปีมาแล้ว 2 ครั้งรวม 0.5% ก็ตาม แต่ผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวได้ช้าและการเข้าถึงสินเชื่อลำบาก
โดยปัจจัยบวก ที่มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือน พ.ค. 68 เช่น
มาตรการช่วยเหลือด้านอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาล
- การส่งออกของไทยในเดือนเมษายนที่เพิ่มขึ้น 10.18%
- ระดับราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับลดลง
- จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้น
- ราคาพืชผลทางการเกษตรปรับตัวดีขึ้น
- เงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นจากระดับ 33.74 เป็น 32.93
ปัจจัยลบ
- ความกังวลต่อแนวทางนโยบายเศรษฐกิจของอเมริกาและการตอบโต้ของประเทศต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบของนโยบาย Trump 2.0
- ผู้บริโภคมีความรู้สึกว่าเศรษฐกิจยังฟื้นตัวช้า
- ปัญหาด้านค่าของชีพ รวมไปถึงปัจจุบันผู้บริโภคมีความรู้สึกว่ารายได้ในปัจจุบันไม่สอดคล้องกับค่าของชีพที่ปรับตัวสูง
- SET Index ในเดือนพฤษภาคมปรับตัวลดลง 48.08 จุด
- ความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ของโลกที่ยังยืดเยื้อ เป็นต้น
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวม และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ระดับ 48.1 51.9 และ 62.7 ตามลำดับ และพบว่าปรับตัวลดลงทุกรายการต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 การที่ดัชนียังอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติที่ระดับ 100 สะท้อนให้เห็นว่า ผู้บริโภคยังไม่มีความมั่นใจเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ โอกาสในการหางานทำ และรายได้ในอนาคต เพราะมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในประเทศ และค่าครองชีพที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง
ตลอดจนปัญหาเศรษฐกิจโลกที่มีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะชะลอตัวลงจากสงครามการค้าที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจไทยและการจ้างงานมีโอกาสฟื้นตัวได้ช้าในอนาคต ซึ่งจะทำให้รายได้ในอนาคตของผู้บริโภคมีความไม่แน่นอนสูง
สำหรับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในปัจจุบันปรับตัวลดลงจากระดับ 39.8 เป็น 38.8 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นในอนาคตปรับตัวลดลงจากระดับ 62.9 มาอยู่ที่ระดับ 61.7 โดยหอการค้า มองว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวลดลงทุกรายการต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 แสดงให้เห็นว่า
ผู้บริโภคเริ่มมีความเชื่อมั่นของบริโภคลดลงได้ในอนาคต หากสงครามการค้ารุนแรงขึ้นและเศรษฐกิจไม่สามารถจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นได้อย่างรวดเร็วภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
นอกจากนี้ หอการค้าได้มี ข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ และแนวทางการดำเนินการของภาคเอกชน ว่า ควรเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เช่น โครงการคนละครึ่ง เพื่อช่วยเพิ่มกำลังซื้อให้เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจของไทยรวมถึงจะช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบมากยิ่ง มาตรการทางการเงินที่ช่วยเหลือสภาพคล่องของภาคธุรกิจ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน จากงบประมานกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาทให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศ กระตุ้นการท่องเที่ยวทั้งเมืองหลักและเมืองรองให้ต่อเนื่องเพื่อให้เม็ดเงินกระจายลงสู่พื้นที่และเร่งออกมาตรการเที่ยวไทยคนละครึ่งให้เร็วที่สุด รวมไปถึงต้องกระตุ้นดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากจีนให้กลับเข้ามาในประเทศให้เร็วที่สุด เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม การดึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคกลับมานั้น อาจจะต้องจับตาที่ความเสี่ยงทางการเมืองด้วย เพราะถ้าหากเกิดเหตุการณ์ยุบสภาเกิดขึ้น ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อการบริหารงบประมาณในการพัฒนาประเทศ จนนำไปสู่การกระตุ้นเศรษฐกิจที่ล่าช้าได้
หอการค้าไทย คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยในปี 68 จะยังขยายตัวอยู่ในกรอบ 1.5-2% หรืออาจจะต่ำกว่า 1% ถ้าหากไทย ถูกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้จากสหรัฐแบบรุนแรงที่ 36%
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.pptvhd36.com/wealth/economic/250613&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw1QJ2x1Z2MzcaVS37ynZHvV