จี้รัฐเร่งใช้งบ 1.57 แสนล้านกระตุก-กระตุ้น-กระเตื้องเศรษฐกิจไทยที่กำลังอาการหนัก | เดลินิวส์

จี้รัฐเร่งใช้งบ-1.57-แสนล้านกระตุก-กระตุ้น-กระเตื้องเศรษฐกิจไทยที่กำลังอาการหนัก-|-เดลินิวส์
จี้รัฐเร่งใช้งบ 1.57 แสนล้านกระตุก-กระตุ้น-กระเตื้องเศรษฐกิจไทยที่กำลังอาการหนัก | เดลินิวส์

ดังนั้นการโยกงบดิจิทัลวอลเล็ต 1.57 แสนล้านบาท ที่เตรียมไว้แจกเฟสสาม ไปใช้กระตุ้นเศรษฐกิจในด้านอื่น จึงถูกคาดหวังไว้สูงมากว่า จะเป็นตัวแปรสำคัญ เข้ามาช่วยประคับประคองเศรษฐกิจในไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ที่ทำท่าจะติดลบ ทั้งการส่งออก การท่องเที่ยว รวมถึงการบริโภค ที่กำลังทรุดหนักให้ผ่านพ้นไปได้

แต่มิวาย ที่ชะตากรรมประเทศไทย เหมือนถูกเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เพราะในเมื่องบดิจิทัลวอลเล็ต ถูกปรับเปลี่ยนมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจแบบคุณขอมา โดยเปิดให้หน่วยงานภาครัฐ เสนอโครงการกระตุ้นที่เหมาะสมเข้ามาขอใช้ได้นั้น ก็กลับเป็นที่หมายปองตามสัญชาตญาณนักการเมือง ในการเข้ามารุมทึ้งราวกับก้อนเนื้อชิ้นโต เพื่อให้ได้ประโยชน์ต่อตัวเองและพวกพ้องสูงสุด

แม้คณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และ ครม. ได้มีมติกำหนดกรอบเงื่อนไข ของการใช้งบในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใน 4 ด้าน เพื่อให้พุ่งเป้าการกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีทิศทางชัดเจน ได้แก่ 1.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำและคมนาคม 2.การท่องเที่ยว 3.การลดผลกระทบส่งออกและเพิ่มผลิตภาพ ตลอดจน 4. เศรษฐกิจชุมชนและอื่นๆ เพื่อกระจายเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ รักษาการจ้างงาน และวางรากฐานการเติบโตระยะยาวของประเทศ ให้มากที่สุด

แต่ในความเป็นจริง ที่ไม่ได้เหนือความคาดหมายก็คือ หลังเปิดให้หน่วยงานกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ เสนอโครงการขอเงินเข้ามาแล้ว กลับพบว่ามีการแห่ชงสารพัดโครงการ ส่งเข้าประกวดอย่างน่าตกใจ รวมแล้วมีหลายหมื่นโครงการ รวมเป็นงบประมาณมากกว่า 4 แสนล้านบาท จนทำให้คณะอนุกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่มีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ใส่เกียร์ถอย ตีกลับไปทุกโครงการ และสั่งทุกหน่วยงานไปทบทวนโครงการใหม่ทั้งหมด เพราะงบที่ขอเข้ามา โอเว่อร์เกินว่างบที่มีถึง 3 เท่าตัว ทำให้การพิจารณา’งบประมาณก้อนนี้ต้องล่าช้าออกไป

ลองมาฟังเสียงผู้ประกอบการ และนักวิชาการ อยากบอกอะไรกับรัฐบาลถึงการจัดทำงบประมาณดังกล่าว เริ่มจากนายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย ระบุว่า “แสงชัย ธีรกุลวาณิช” ประธานยุทธศาสตร์ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย ระบุว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภายใต้วงเงิน 1.57 แสนล้านบาท กับการใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับไทย สถานการณ์เศรษฐกิจที่ประชาชนแบกรับค่าครองชีพสูง รายรับไม่เพียงพอกับรายจ่าย และวิกฤติความเสี่ยงรอบด้านที่ถาโถม ทั้งสงครามการค้า สงครามภูมิรัฐศาสตร์ สงครามโลกเดือด สงครามหนี้ท่วมประชาชน และผู้ประกอบการเอสเอ็มอี สงครามการเมือง

ดังนั้นงบประมาณ 1.57 แสนล้านควรทบทวนเร่งด่วน เพื่อออกแบบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มรายได้ให้กับเศรษฐกิจฐานราก โดยเฉพาะภาคการผลิต ภาคการบริการ และการค้าเพื่อเพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน ไม่ใช่แค่แจกเงิน แต่เป็นการกระตุก กระตุ้น ให้เศรษฐกิจกระเตื้องอย่างยั่งยืน เช่น  SME Wallet ร่วมกับหวยใบเสร็จ จูงใจให้เอสเอ็มอี และประชาชนเห็นถึงความสำคัญภาษีมูลค่าเพิ่ม และนำมาตรการคนละครึ่ง เข้ามาผนวก เพื่อให้เกิดการขยายผลในกลุ่มเปราะบางและผู้มีรายได้ต่ำ

ขณะเดียวกันเมื่อเอสเอ็มอี เก็บภาษีมูลค่าเพิ่มให้รัฐ รัฐสร้างกลไกภาษีมูลค่าเพิ่ม คนละครึ่งให้เอสเอ็มอี ใช้ในการพัฒนาธุรกิจ เช่น ส่งเสริมเอสเอ็มอี ให้ปรับเปลี่ยนธุรกิจด้านดิจิทอล ระบบ POS Software IOT ปรับปรุงบรรจุภัณฑ์ ขอรับรองมาตรฐาน การทำตลาดออนไลน์ การปรับปรุงสถานประกอบการ หน้าร้านให้ทันสมัย การปรับปรุงเครื่องจักร อุปกรณ์ การเพิ่มผลิตภาพ ประสิทธิภาพของธุรกิจด้านต่างๆ

เสมือนภาครัฐนำรายได้จากการเก็บภาษีมูลค่ามาใช้ประโยชน์ให้เอสเอ็มอี โดยเพิ่มเอสเอ็มอี จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม  ขณะที่ “ทบทวนภาษีแบบเหมาจ่ายมาเป็นเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเพียงอย่างเดียว” และขยับเพดานรายได้จาก 1.8 ล้านต่อปี เป็น 3 ล้านบาทต่อปี โดยไม่ต้องทำภาษีรายเดือน รายปี จะช่วยจูงใจให้รายย่อย รายย่อมที่อยู่นอกระบบเข้าระบบเพิ่มมากขึ้น

ทั้งนี้ภาครัฐอาจใช้เม็ดเงินลงทุนให้ SME เพื่อเข้าระบบก่อนโดยใช้ SME Wallet เพื่อให้มี Digital footprint ทางการเงิน และสามารถนำมาประเมิน Financial Credit Scoring ที่ชัดเจนได้อีกด้วย เพิ่มการเข้าถึงแหล่งทุนในระบบดอกเบี้ยต่ำควบคู่การพัฒนา ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะใช้ได้กับทุกภาคธุรกิจของ SME เป็นการเพิ่ม GDP SME ให้เกิดการขยายตัวที่ดีขึ้น

ถึงเวลานี้ “ใครคิดไม่สำคัญ เท่ากับ ใครทำให้สำเร็จและเห็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม เพราะ“เวลาและวิกฤติไม่ค่อยท่า ความยากลำบากประชาชน SME ไม่คอยใคร กล้าเปลี่ยนจะอยู่รอดท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง”

ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มองว่า ขณะนี้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจยังไม่มี จากเดิมที่รัฐบาลประกาศว่า งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 จำนวน 1.57 แสนล้านบาทฐบาล คาดว่า จะประกาศได้ช่วงปลายเดือนพ.ค. แต่ขณะนี้มียื่นขอเข้ามากว่า 4 แสนล้านบาท ทำให้ต้องเลื่อนประกาศออกไปก่อน  แต่ภาวะเศรษฐกิจขณะนี้ เป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องเร่งใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเข้ามา เนื่องจากกำลังซื้อแผ่วเบามาก สงครามการค้า ยังไม่แน่นอน ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก ถ้าปล่อยแบบนี้ต่อไป จนถลำลึก มีโอกาสไทยเข้าสู่ภาวะเงินฝืด  

ทั้งนี้สิ่งที่ภาครัฐจะต้องเร่งดำเนินการ คือ การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะงบ 1.75 แสนล้านบาท จะต้องมีการออกมาตรการมาให้ได้โดยเร็ว เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในไตรมาส  3 และ 4 และมีมาตรการทางการเงินให้มีการผ่อนปรนมากขึ้น มีการลดดอกเบี้ย ปรับโครงสร้างหนี้ รวมถึงเร่งกระตุ้นการท่องเที่ยวที่ยังเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ทีมีเป้าหมายปีนี้ให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศ 35 ล้านคน  โดยเฉพาะการดึงนักท่องเที่ยวจีนที่หายไปกลับมา และยังต้องให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ องค์การการปกครองส่วนท้องถิ่น เร่งลงทุนในพื้นที่เพื่อให้เม็ดเงินลงพื้นที่

“ตอนนี้ต้องจับตาสถานการณ์การเมืองในครึ่งปีหลังที่อาจเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 69 หากเกิดอุบัติเหตุยุบสภาก็จะทำให้การจัดทำร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯล่าช้าออกไป 6-9 เดือน รวมทั้งเงินจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 ล้านบาทก็จะหายไปเพราะรัฐบาลรักษาการจะใช้เงินไม่ได้” 

———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.dailynews.co.th/news/4818909/&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw3Fncu_TjzTrrC6iG18KiKY

Related Post

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *