จีนปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึงจุดสูงสุดแล้วหรือยัง แนวโน้มในปัจจุบันเป็นอย่างไร ?
ที่มาของภาพ, Getty Images
- Author, โทนี่ ฮัน
- Role, บีบีซี โกลบอล ไชนา ยูนิต (Global China Unit)
ในช่วงปีที่ผ่านมา การเพิ่มขึ้นของการปล่อยคาร์บอน หรือ ก๊าซเรือนกระจกของจีนกลับสวนทางกับที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ตามรายงานของ คาร์บอน บรีฟ (Carbon Brief) ที่เขียนโดย ลอรี มิลลีเวียร์ตา จากศูนย์วิจัยพลังงานและอากาศสะอาด ( Centre for Research on Energy and Clean Air) ซึ่งระบุว่า อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งหมดของจีนในไตรมาสแรกของปี 2025 ลดลง 1.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน
ผู้เชี่ยวชาญรายอื่นที่ให้สัมภาษณ์กับบีบีซี ระบุว่าพวกเขายังไม่ได้ตรวจสอบอย่างเป็นอิสระต่อตัวเลขสถิติดังกล่าว แต่เสริมว่าการเปลี่ยนแปลงของแหล่งที่มาด้านพลังงานของจีนหมายความว่าจีนกำลังจะยุติการเพิ่มขึ้นของการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่เป็นมาอย่างยาวนานหลายทศวรรษ หรือไม่จีนก็อาจได้ยุติการเพิ่มขึ้นไปแล้วเสียด้วยซ้ำ
อัตราการปล่อยก๊าซของจีนเคยลดลงมาก่อน แต่มันเกิดขึ้นเฉพาะในช่วงที่เกิดภาวะฉุกเฉิน เช่น การระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งทำให้เศรษฐกิจของประเทศชะลอตัว
หากตัวเลขการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ลดลงของจีนได้รับการยืนยัน นี่จะถือเป็นครั้งแรกที่อัตราการปล่อยก๊าซดังกล่าวของประเทศลดลง แม้ความต้องการด้านพลังงานของเศรษฐกิจจีนจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วก็ตาม
หากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของจีนลดลงต่อเนื่อง นั่นจะถือเป็นจุดสิ้นสุดของจีนในการเป็นประเทศผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งแต่เมื่อต้นศตวรรษนี้
โดยเมื่อ 50 ปีก่อน สัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของจีนต่อทั้งหมดทั่วโลกอยู่ที่ต่ำกว่า 7% แต่หลังจากการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วหลายทศวรรษ ซึ่งขับเคลื่อนโดยการใช้ถ่านหินเป็นหลัก ทำให้ปัจจุบันจีนปล่อยก๊าซเรือนกระจกคิดเป็นประมาณ 30% ของทั้งหมดทั่วโลก
ในปี 2019 จีนปล่อยก๊าซเรือนกระจกปริมาณมากกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งหมดรวมกัน
ในขณะที่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของจีนพุ่งสูงขึ้น ประเทศผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกชั้นนำอื่น ๆ เช่น สหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป กลับปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลง เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้เริ่มเปลี่ยนจากการผลิตพลังงานเข้มข้นและการใช้ถ่านหินเพื่อผลิตไฟฟ้า
จีนเคยโต้แย้งมานานแล้วว่า ตนเพียงเดินตามรอยประเทศที่ร่ำรวยกว่า ซึ่งการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้ก็มาพร้อมกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สูงขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงยังคงอยู่ว่า จีนเป็นแรงขับเคลื่อนหลักในการเติบโตของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
มิลลีเวียร์ตา ผู้เขียนรายงาน คาร์บอน บรีฟ กล่าวว่า “จีนมีส่วนรับผิดชอบต่อการเติบโตของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิทั่วโลกในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาอย่างมีนัยสำคัญ หากไม่ใช่เพราะจีน โลกจะสามารถคงปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว”
ด้วยปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมหาศาล[ที่ปล่อยมาจาก]จีนนี้ หากจะทำให้การดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศทั่วโลกประสบความสำเร็จ จีนจำเป็นต้องลดอัตราการเติบโตของปล่อยก๊าซนี้
การเติบโตของพลังงานสะอาด
มิลลีเวียร์ตา กล่าวด้วยว่า เหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้จีนสามารถลดการเติบโตของการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ คือ การขยายตัวอย่างมหาศาลของโรงงานไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมและแหล่งพลังงานสะอาดอื่น ๆ ทั่วประเทศ
“ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จีนได้ติดตั้งโรงงานไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมเป็นจำนวนมากกว่าครึ่งหนึ่งของที่ติดตั้งทั่วโลก” เขากล่าว
“กำลังการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ที่จีนติดตั้งเมื่อปีที่แล้วเทียบได้กับที่สหภาพยุโรปมีโดยรวม ซึ่งถือเป็นการเติบโตอย่างรวดเร็ว”
ข้อมูลใหม่จากกลุ่มสถาบันคลังสมองเอมเบอร์ (Ember) ในสหราชอาณาจักร แสดงให้เห็นว่า ในเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา พลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์สามารถผลิตไฟฟ้าได้มากกว่าหนึ่งในสี่ของไฟฟ้าที่ผลิตจีนทั้งหมดเป็นครั้งแรก
ขณะเดียวกัน ไฟฟ้าในจีนที่ผลิตจากเชื้อเพลิงฟอสซิลในช่วงสี่เดือนแรกของปี 2025 ลดลง 3.6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว
ข้อมูลเหล่านี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของประเทศที่พึ่งพาถ่านหินมาโดยตลอด หยาง บี่ชิง นักวิเคราะห์ด้านพลังงานของเอมเบอร์ ระบุ
“รัฐบาล[จีน]กำลังพิจารณาให้ความสำคัญของพลังงานถ่านหินในบริบทแผนสำรองมากขึ้นเรื่อย ๆ ” เธอกล่าว พร้อมเสริมด้วยว่า เธอไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลของมิลลีเวียร์ตา โดยละเอียด แต่เห็นด้วยว่า การปล่อยคาร์บอนที่มีความเกี่ยวข้องกับพลังงานของจีนกำลังลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงการเติบโตของสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนในการผลิตไฟฟ้าของจีน
จุดสูงสุด หรือ ช่วงที่มีการเจริญเติบโตน้อย ?
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจีนจะควบคุมการเติบโตของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะลดลงอย่างต่อเนื่อง
“คุณอาจอยู่ในจุดสูงสุดในช่วงแรก แต่คุณก็อาจติดอยู่ในภาวะอัตราการเติบโตน้อยหรือภาวะนิ่งดังกล่าวเป็นเวลานานได้ ซึ่งนั่นไม่เป็นประโยชน์นักต่อแผนการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ” หลี่ ซัว จากสถาบันนโยบายสังคมเอเชีย (Asia Society Policy Institute – ASPI) กล่าว
สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากการขึ้นสู่จุดสูงสุดนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ทั้งจากในประเทศและทั่วโลก
ตามที่หลี่กล่าว ความวุ่นวายในตลาดน้ำมันโลกที่เป็นผลจากเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่น สงครามในยูเครน เป็นแรงผลักดันให้ผู้นำจีนมุ่งมั่นที่จะรักษาแหล่งพลังงานในประเทศ ซึ่งทำให้พวกเขาหันกลับไปใช้ถ่านหินซึ่งจีนมีอยู่เป็นจำนวนมาก
“หากเรายังคงจะได้เห็นความวุ่นวายทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มมากขึ้น ฉันคิดว่าความต้องการด้านความมั่นคงทางพลังงานจะยังคงมีอยู่ และนั่นจะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับการเปลี่ยนผ่านด้านสภาพภูมิอากาศของจีน” หลี่กล่าว
อย่างไรก็ตาม คริสตอฟ เนโดพิล หวัง ผู้อำนวยการสถาบันกริฟฟิธเอเชีย (Griffith Asia Institute) ในออสเตรเลีย กล่าวว่า การผลักดันความมั่นคงด้านพลังงานนั้นมีผลต่อสองแง่มุม คือ นอกจากแหล่งสำรองถ่านหินแล้ว จีนยังครองตำแหน่งผู้นำด้านเทคโนโลยีพลังงานสะอาดระดับโลก อาทิ กังหันลมและแผงโซลาร์เซลล์
เขากล่าวเสริมด้วยว่า “การลดการนำเข้าใด ๆ ก็ตามที่เกิดจากการพึ่งพาพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น จะช่วยพัฒนาความมั่นคงของชาติให้กับจีน”
ที่มาของภาพ, Getty Images
เนโดพิล หวัง ยังตั้งข้อสงสัยว่า ความตึงเครียดด้านการค้ากับสหรัฐฯ และการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในจีนจะส่งผลทำให้ผู้นำจีนหันมากระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจในลักษณะที่จะนำไปสู่การปล่อยคาร์บอนสูงอีกครั้ง
ผู้กำหนดนโยบายในจีนเชื่อว่า แรงขับเคลื่อนในอนาคตของเศรษฐกิจจีนจะมาจากภาคส่วนที่มีการปล่อยคาร์บอนค่อนข้างต่ำ เช่น ภาคเทคโนโลยีสารสนเทศหรือไอที ด้านเทคโนโลยีชีวภาพ ยานยนต์ไฟฟ้า และเทคโนโลยีพลังงานสะอาด โดยมีแนวโน้มสูงที่จีนจะพยายามขยายการเติบโตของภาคส่วนเหล่านี้ เนโดพิล หวัง ระบุ
“อุตสาหกรรมเหล่านี้ได้เปลี่ยนศูนย์กลางของเศรษฐกิจจีนไปจากภาคส่วนที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงบางภาคส่วนอย่างแท้จริง” เขากล่าว เขากล่าว
“ฉันไม่เห็นว่าจีนพร้อมที่จะขยายอุตสาหกรรมแบบเก่า [ที่มีการปล่อยคาร์บอนสูง] เหล่านั้นอย่างมหาศาล เช่น การผลิตเหล็กกล้า”
จำเป็นต้องมีความมุ่งมั่นด้านสภาพภูมิอากาศอย่างต่อเนื่อง
ผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดที่ถูกอ้างอิงในบทความฉบับนี้กล่าวว่า จีนได้ชะลอการเติบโตของการปล่อยก๊าซคาร์บอนอย่างมาก หรือแม้กระทั่งประเทศจะได้เปลี่ยนทิศทางดารปล่อยก๊าซดังกล่าวไปแล้วหรือไม่ก็ตาม ทว่า จีนยังคงเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ในการบรรลุพันธกรณีระหว่างประเทศเกี่ยวกับคาร์บอน
ภายใต้กรอบข้อตกลงปารีส จีนได้ให้คำมั่นว่าจะลดความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนมากกว่า 65% จากระดับต่าง ๆ ใน 2005 ให้ได้ภายในกำหนดเส้นตายในปี 2030
ความเข้มข้นของคาร์บอนวัดจากการปล่อยคาร์บอนที่ผลิตได้ต่อหน่วยกับผลผลิตทางเศรษฐกิจ
ในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 จีนได้หลุดจากแนวทางคำมั่นสัญญาทางสภาพภูมิอากาศข้างต้นนี้ไปมาก เนื่องจากจีนต้องพึ่งพาการผลิตพลังงานเข้มข้นในช่วงเวลาดังกล่าว
โดยการที่จีนซึ่งเป็นผู้ปล่อยมลพิษรายใหญ่ที่สุดในโลก การไม่ปฏิบัติพันธกรณีระหว่างประเทศเกี่ยวกับสภาพอากาศ ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการดำเนินการด้านสภาพอากาศในลักษณะพหุภาคี
ขณะนี้ ความหวังเดียวของจีนคือ การบรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนที่ลดลงระหว่างตอนนี้จนถึงปี 2030 เนโดพิล กล่าว พร้อมเสริมด้วยว่า การลดการปล่อยคาร์บอนข้างต้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น
แต่ เนโดพิล กล่าวว่า ถัดมาจีนต้องกำหนดเป้าหมายและนโยบายที่มีความทะเยอทะยานมากขึ้น
ในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า การดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศของจีนจะอยู่ในสายตาของสาธารณชนเพราะการประชุมสุดยอดด้านสภาพภูมิอากาศ หรือ COP30 ซึ่งจะจัดขึ้นที่เมืองเบเลง ประเทศบราซิล ในเดือน พ.ย. โดยจีนจะประกาศเป้าหมายที่ปรับปรุงใหม่ภายใต้ข้อตกลงปารีสในช่วงไม่กี่เดือนก่อนหน้าการประชุมดังกล่าว
ท่ามกลางความไม่ร่วมมือของรัฐบาลทรัมป์ต่อการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศแบบพหุภาคี จีนได้พยายามวางตำแหน่งตนเองให้เป็นผู้นำระดับโลกในประเด็นนี้
ในการประชุมด้านสภาพภูมิอากาศเมื่อเดือน เม.ย. ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน กล่าวกับบรรดาผู้นำโลกว่า “แทนที่จะเอาแต่พูด เราต้องลงมือทำ…เราต้องเปลี่ยนเป้าหมายของเราให้เป็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม”
ดังนั้น จึงเป็นไปได้ที่จีนต้องการหลีกเลี่ยงเพื่อไม่ให้ดูเหมือนว่าประเทศกำลังละทิ้งเป้าหมายความการลดความเข้มข้นของคาร์บอน ซึ่งเป็นคำมั่นสัญญาหัวข้อหลักเรื่องสภาพภูมิอากาศระหว่างประเทศ นอกจากนี้ ผู้นำของจีนอาจมองว่า จุดสูงสุดของการปล่อยก๊าซที่อาจเกิดขึ้นแล้วในปีที่ผ่านมา ถือเป็นความสำเร็จที่ควรค่าแก่การนำเสนอ
หลี่ ซัว จากสถาบันนโยบายสังคมเอเชีย อธิบายว่า ผู้นำของจีนจะกำหนดเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศใหม่โดยคำนึงถึงสายตาจากทั่วโลก
“พวกเขาจะนำปัจจัยต่าง ๆ ที่ซับซ้อนมาพิจารณา ซึ่งรวมถึงความทะเยอทะยานด้านสภาพภูมิอากาศของประเทศตนเอง แต่รวมถึงภูมิรัฐศาสตร์ด้วย และปัจจัยว่าโลกจะมองจีนอย่างไร” หลี่ ซัว กล่าวทิ้งท้าย
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.bbc.com/thai/articles/cjwq8gypwvzo&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw1pjscAkJ7XjIWWKHg9JFPa