ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย เปิดเผยบทความเรื่องสัญญานเศรษฐกิจครึ่งปีหลังเสี่ยงและฝืดหนัก รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาอย่าเล่นการเมืองดัดหลังกันเอง มีเนื้อหาที่น่าสนใจว่า บริบทเศรษฐกิจไทยกำลังเข้าสู่ช่วงครึ่งปีหลัง ปี 2568 ภายใต้สถานการณ์ความไม่แน่นอนและความเสี่ยงจากปัจจัยภายในประเทศเกี่ยวข้องกับเสถียรภาพของรัฐบาล-ภาวะผู้นำ
รวมถึงความเชื่อมั่นในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ขณะเดียวกันปัจจัยภายนอกที่ใกล้ตัว คือ ความมั่นคงชายแดนที่ติดกับกัมพูชา ภายใต้วลี “ยอมถอนแต่ไม่ถอย” ล่าสุดสมเด็จฯฮุน เซ็น ประกาศอาจไม่ให้สินค้าไทยเข้าประเทศ กระทบส่งออก 3.236 แสนล้านบาท จากท่าทีของผู้นำกัมพูชา ปัญหาคงไม่จบง่าย ๆ ด้านเศรษฐกิจโลกที่แสดงอาการอ่อนแอ-ชะงักงัน จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้น บวกกับสงครามทั้งในยูเครน-ฮามาส-ฮูตี
ล่าสุดอิสราเอล ทิ้งระเบิดถล่มกรุงเตหะราน พุ่งเป้าโรงงานนิวเคลียร์และติดขีปนาวุธ ส่งผลทำให้ราคาน้ำมันโลกและค่าระวางเรือพุ่งสูง ที่กล่าวมีผลกระทบต่อการค้าโลก รวมทั้งมาตรการตอบโต้การขาดดุลการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Reciprocal Tariffs) แต่ละประเทศเจอภาษีสูงสกัดการส่งออกเข้าตลาดสหรัฐฯ ซึ่งทรัมป์แยกการเจรจาแบบทวิภาคียกเว้นประเทศอังกฤษ นอกนั้นยังตกลงกันไม่ได้ส่วนใหญ่ รวมทั้งไทยยังไม่นับหนึ่งด้วยซ้ำ
หลายประเทศปรับลด GDP ปี 2568
กรณีประเทศไทยเศรษฐกิจพึ่งพิงกับภาคการส่งออก ซึ่งมีความเสี่ยงหลังครบดีเดย์ขยายเวลา 90 วัน ซึ่งจะครบกำหนดประมาณวันที่ 9 กรกฎาคม สัญญานทางลบที่ส่อว่าเศรษฐกิจครึ่งปีหลังอาจชะลอตัวหนักกว่าช่วงครึ่งปีแรก
เริ่มจากรายงานธนาคารโลกต้นเดือนมิถุนายน ออกรายงาน “World Bank : East Asia & Pacific Economic Update Report” มีการปรับประมาณการณ์ขยายตัวเศรษฐกิจโลก (GDP) ปี 2568 จากเดิมคาดว่าขยายตัวร้อยละ 2.7 เหลือร้อยละ 2.3 ต่ำสุดในรอบ 17 ปีนับแต่วิกฤตซับไพรม์ (2008)
สำหรับประเทศที่เป็นคู่ค้าหลักของไทย เช่น สหรัฐอเมริกา อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจเหลือร้อยละ 1.4 จีนร้อยละ 4.5 อียูและญี่ปุ่นอาการหนักสุด เหลือร้อยละ 0.7 โดยปัจจัยหลักมาจากการชะงักงันการค้าโลก ซึ่งเป็นผลจากมาตรการของปธน.ทรัมป์ ไม่ว่าเหรียญจะออกมาด้านไหน เศรษฐกิจโลกจะไม่เหมือนเดิม
ส่วนการขยายตัวทางเศรษฐกิจของอาเซียน ประเทศไทยถูกปรับลด GDP จากร้อยละ 2.9 เหลือเพียงร้อยละ 1.8 ซึ่งสอดคล้องกับค่าเฉลี่ยของสภาพัฒน์ฯ (สศช. : 20 พ.ค. 68) หากไม่นับประเทศเมียนมาเป็นอัตราการขยายตัวต่ำสุดของอาเซียนและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
เศรษฐกิจไทยทั้งปีน่าห่วงใกล้วิกฤต
อัตราการขยายตัว GDP ของไทยถูกธนาคารโลกหั่นต่ำสุดในภูมิภาค เนื่องจากเศรษฐกิจพึ่งพิงการค้าระหว่างประเทศในสัดส่วนที่สูงมากทั้งการนำเข้า-ส่งออกและภาคท่องเที่ยว กรณีเลวร้ายหากเจอภาษีทรัมป์อัตราร้อยละ 36 การส่งออกอาจหดตัวทำให้ GDP อาจขยายตัวได้เพียงร้อยละ 1.4 ใกล้เคียงกับปี 2564 ซึ่งอยู่ในช่วงวิกฤตโควิด
การที่ธนาคารโลกและสศช. ปรับ GDP ไทยเหลือร้อยละ 1.8 อาจใช้สมมุติฐานภาษีทรัมป์ ซึ่งอาจตกลงกันได้ที่ร้อยละ 10 สัญญานเศรษฐกิจครึ่งปีหลังที่อาจชะลอตัวลง คือ ภาคท่องเที่ยว ครึ่งปีแรกหดตัว
โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนลดลงถึงร้อยละ 32.7 คาดว่า จำนวนนักท่องเที่ยวทั้งปี อาจลดจากเป้าหมาย 35.5 ล้านคน เหลือ 34.479 ล้านคน หายไปประมาณหนึ่งล้านคนเป็นรายได้ 46,569 ล้านบาท ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อการบริโภคทั้งค้าปลีก-โรงแรม-ที่พัก-สถานท่องเที่ยว-ร้านอาหารไปจนถึงบริการต่างๆ
หนี้ครัวเรือนไทย พุ่งทะยาน 16 ล้านล้าน
สถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง ซึ่งเป็นโจทย์ยากแก้ไม่จบ คือ “หนี้ครัวเรือน” ตัวเลขล่าสุดประมาณ 16.422 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 89 ของ GDP โดยประชากรไทยร้อยละ 40 เป็นหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ ตั้งแต่กลุ่มวัยรุ่นที่เป็น “First Jobber” จนไปถึงวัยหลังเกษียณ ซึ่งพบว่า 1 ใน 3 ยังติดวังวนเป็นหนี้ โดยร้อยละ 14 เป็นหนี้เสีย (NPL)
หนี้ครัวเรือนส่วนบุคคลของไทยมีมูลค่าประมาณ 3.5 ล้านล้านบาทคิดเป็น 1 ใน 5 ของหนี้ทั้งประเทศ ลักษณะเป็นหนี้เรื้อรังกู้เงินมาใช้จ่ายอุปโภค-บริโภค เป็นผลจากรายได้ไม่พอค่ารายจ่ายเกี่ยวข้องกับวินัยการใช้เงิน รวมไปถึงหนี้ที่เกิดจากการพนัน
ภาวะหนี้สูงเป็นกับดักรายได้สุทธิลดลง (Net Income) มีผลต่อความสามารถในการจับจ่ายใช้สอย กระทบต่ออัตราการขยายตัวของการบริโภค อำนาจการซื้อที่ลดลง ส่งผลต่อระดับราคาสินค้าไม่สามารถปรับตัวตามต้นทุนที่สูง ทำให้เงินเฟ้อ (ทั่วไป) ของไทยอยู่ในอัตราต่ำ เดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา เงินเฟ้อหดตัวร้อยละ 0.57 คาดว่า ทั้งปี อาจขยายตัวร้อยละ 0.49 เป็นอัตราที่ต่ำมาก
ระดับราคาสินค้าที่ต่ำไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ส่งผลต่อภาวะปัจจุบันที่ภาคเอกชนสต็อกสินค้าสูง เนื่องจากส่งออกลดลงและตลาดในประเทศซบเซา ผลกระทบต่อเนื่อง ทำให้กำลังการผลิตอุตสาหกรรม (Capacity Utilization Rate) อยู่ที่ระดับร้อยละ 63.61 ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าศักยภาพส่งผลให้ GDP
อุตสาหกรรมทั้งปีอาจขยายตัวได้เพียงร้อยละ 1 – 1.5 ภาวะเช่นนี้มีผลต่อกำไรของภาคธุรกิจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นายจ้างไม่สามารถปรับอัตราค่าจ้างให้สูงกระทบต่อกำลังซื้อของครัวเรือน
สัญญาณชัดสินเชื่อหดตัวหนัก
เศรษฐกิจที่ซบเซาของไทยมีความเสี่ยงมากกว่าที่ประเมิน สะท้อนจากสินเชื่อของสถาบันการเงินเดือนมิถุนายน หดตัวร้อยละ 0.6 ต่อเนื่องจากปีที่แล้วหดตัวร้อยละ 0.4 เป็นสัญญานทางลบ แสดงออกเป็น 2 นัย คือ
นัยแรก สถาบันการเงินไม่ปล่อยสินเชื่อ เพราะกลัวหนี้เสีย ซึ่งปัจจุบันมีประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท ครอบคลุมคนเป็นหนี้เสีย 5.4 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นหนี้บ้าน-พาหนะ-หนี้ส่วนบุคคลและบัตรเครดิต
อีกนัยหนึ่ง การที่สินเชื่อครึ่งปีแรกหดตัว แสดงให้เห็นถึงภาคธุรกิจไม่กู้หรือมีการคืนวงเงินสินเชื่อ หากเจาะลึก พบว่า สินเชื่อธุรกิจช่วงครึ่งปีแรก ขยายตัวเพียงร้อยละ 0.5 สินเชื่อ SME หดตัวร้อยละ 2.0หดตัวต่อเนื่องจากปีที่แล้ว สินเชื่อบ้านหดตัวร้อยละ 1.2
แสดงให้เห็นถึงภาวะภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังไม่ฟื้นตัว รวมทั้งสินเชื่อเช่าซื้อรถประเภทต่าง ๆ หดตัวสูงถึงร้อยละ 7.5 จากปีที่ผ่านมาหดตัวร้อยละ 11.4 สะท้อนให้เห็นถึงภาวะของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่อยู่ในอาการย่ำแย่
การที่สินเชื่อธุรกิจแทบไม่ขยายตัวและการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินในภาพรวมหดตัว แสดงให้เห็นถึงภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา สภาวะที่ภาคธุรกิจไม่ลงทุนหรือชะลอขยายธุรกิจกระทบไปถึงการลงทุนเอกชน มีการประเมินว่า ปีนี้อาจหดตัวถึงร้อยละ 0.7 มีผลต่อเนื่องไปจนถึงการจ้างงาน
ล่าสุดภาคธุรกิจชะลอการรับแรงงานใหม่ ซึ่งจะมีผลต่อภาคการบริโภค กระทบต่อเนื่องไปถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ GDP ของไทย ซึ่งอยู่ในอัตราต่ำต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน เป็นวัฏจักรอุบาทว์ของเศรษฐกิจไทยเป็นโจทย์ยากของรัฐบาลที่ต้องเร่งแก้ อย่ามัวแก้ปัญหาส่วนตัวหรือเล่นเกมส์การเมืองดัดหลังกันเองประเทศชาติจะเสียหาย
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.thansettakij.com/economy/629993&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw0d7fkopLPGKgpqd-VklNrh