จะเกิดอะไรขึ้น หลังศาลการค้าสหรัฐฯ สั่งระงับมาตรการภาษีนำเข้าสินค้าจากทั่วโลกของทรัมป์ ?

คำบรรยายวิดีโอ, ชมวิดีโอช่วงเวลาที่ทรัมป์กล่าวตอบโต้คำถามนักข่าว ที่เอ่ยถึงคำย่อที่มีรายงานว่านักลงทุนวอลล์สตรีทกล่าวถึงเขาในเชิงเย้ยหยันว่า “Taco” ที่ย่อมาจากคำว่า “Trump Always Chickens Out” (แปลว่า ทรัมป์มักจะตัดสินใจไม่อะไรทำบางอย่างเพราะไม่กล้าเสมอ) โดยในบริบทนี้ อ้างอิงถึงนโยบายภาษีที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
  • Author, ปีเตอร์ ฮอสกินส์
  • Role, ผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ บีบีซีนิวส์

ศาลการค้าระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกา (Court of International Trade) มีคำสั่งระงับมาตรการเก็บภาษีนำเข้า (tariff) ต่อนานาประเทศของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งถือเป็นแรงกระแทกสำคัญต่อหนึ่งในนโยบายเศรษฐกิจหลักของเขา

ศาลการค้าสหรัฐฯ ซึ่งตั้งอยู่ในแมนฮัตตัน วินิจฉัยว่า กฎหมายฉุกเฉินที่รัฐบาลกลางอ้างอิงไม่ได้ให้อำนาจกับประธานาธิบดีในการใช้ดุลยพินิจเพียงฝ่ายเดียวเพื่อเก็บภาษีนำเข้าจากเกือบทุกประเทศทั่วโลก

นอกจากนี้ ศาลดังกล่าวยังระบุว่า รัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ให้อำนาจแต่เพียงผู้เดียวแก่รัฐสภาในการควบคุมการค้ากับต่างประเทศ และอำนาจนั้นไม่ได้ถูกแทนที่ด้วยบทบาทของประธานาธิบดีในการปกป้องเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม ไม่กี่นาทีหลังจากคำตัดสิน รัฐบาลของทรัมป์ก็ได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวทันที

คำตัดสินของศาลในครั้งนี้ได้ให้เวลาทำเนียบขาวเป็นเวลา 10 วัน ในการดำเนินกระบวนการทางราชการเพื่อยุติการเก็บภาษีดังกล่าวอย่างเป็นทางการ

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and continue reading

ได้รับความนิยมสูงสุด

  • นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรค ปชน.

  • .

  • พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10

  • ไดโนเสาร์

End of ได้รับความนิยมสูงสุด

ขณะเดียวกัน ศาลการค้าสหรัฐฯ ยังสั่งระงับมาตรการภาษีอีกชุดหนึ่งที่รัฐบาลทรัมป์นำกลับมาใช้กับจีน เม็กซิโก และแคนาดา ซึ่งรัฐบาลให้เหตุผลว่า เพื่อตอบโต้การไหลทะลักเข้ามาของยาเสพติดและผู้อพยพผิดกฎหมายที่ “ไม่อาจยอมรับได้” เข้าสู่สหรัฐฯ

“นี่ไม่ใช่หน้าที่ของผู้พิพากษาที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งในการตัดสินว่าจะรับมือกับภาวะฉุกเฉินของชาติอย่างไร” คุช เดไซ รองโฆษกทำเนียบขาว กล่าวในแถลงการณ์

“ประธานาธิบดีทรัมป์ให้คำมั่นว่าจะยึดหลักอเมริกาต้องมาก่อน และรัฐบาลจะใช้ทุกกลไกในอำนาจฝ่ายบริหารเพื่อจัดการวิกฤตนี้และฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของอเมริกา” เขากล่าวเสริม

คดีนี้มีศูนย์กฎหมายเสรีภาพ (Liberty Justice Center) ซึ่งเป็นองค์กรไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด เป็นผู้ยื่นฟ้อง ในนามของธุรกิจขนาดเล็ก 5 รายที่นำเข้าสินค้าจากประเทศที่ถูกเก็บภาษี และถือเป็นการท้าทายทางกฎหมายครั้งใหญ่ครั้งแรกต่อมาตรการภาษีวันปลดแอกของทรัมป์

เลติเทีย เจมส์ อัยการสูงสุดของรัฐนิวยอร์ก ซึ่งเป็นหนึ่งใน 12 รัฐที่เข้าร่วมฟ้องร้อง ยินดีกับคำตัดสิน

“กฎหมายชัดเจนนั้นชัดเจน ไม่มีประธานาธิบดีคนใดมีอำนาจขึ้นภาษีฝ่ายเดียวได้ตามอำเภอใจ” เธอกล่าว

“ภาษีเหล่านี้เป็นการขึ้นภาษีอย่างหนักต่อครอบครัวชนชั้นแรงงานและธุรกิจอเมริกัน ซึ่งหากปล่อยให้เดินหน้าต่อ จะยิ่งเร่งเงินเฟ้อ สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจต่อธุรกิจทุกขนาด และนำไปสู่การสูญเสียงานทั่วประเทศ” เธอกล่าวเสริม

คดีนี้เป็นหนึ่งในคดีฟ้องร้องนโยบายการค้าของรัฐบาลทรัมป์จำนวน 7 คดี ซึ่งรวมถึงการต่อสู้จาก อีก 13 รัฐในสหรัฐฯ และกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กอื่น ๆ

ในคำวินิจฉัย คณะผู้พิพากษา 3 คนระบุว่า กฎหมายว่าด้วยอำนาจเศรษฐกิจฉุกเฉินระหว่างประเทศ (International Emergency Economic Powers Act – IEEPA) ที่ออกเมื่อปี 1977 ซึ่งทรัมป์อ้างเพื่อใช้เป็นฐานกฎหมายในการเก็บภาษี ไม่ได้ให้อำนาจแก่เขาในการออกคำสั่งเก็บภาษีอย่างกว้างขวางเช่นนั้น

“คำสั่งเก็บภาษีทั่วโลกและการตอบโต้เกินกว่าขอบเขตอำนาจที่ IEEPA ให้อำนาจแก่ประธานาธิบดีในการควบคุมการนำเข้าโดยการเก็บภาษี ส่วนภาษี ‘ต่อต้านการค้ายาเสพติด’ ก็ล้มเหลวเช่นกัน เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับภัยคุกคามที่ถูกกล่าวอ้างไว้ในคำสั่ง” ศาลระบุ

ตลาดการเงินโลกผันผวนหนักนับตั้งแต่ทรัมป์ประกาศเก็บภาษีชุดใหญ่เมื่อวันที่ 2 เม.ย. เนื่องจากบางมาตรการถูกยกเลิกหรือปรับลดลงระหว่างที่ทำเนียบขาวเจรจากับรัฐบาลต่างประเทศ

ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวสูงขึ้นในช่วงเช้าวันพฤหัสบดี โดยดัชนีนิกเคอิ 225 ของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นประมาณ 1.5% และดัชนี ASX 200 ของออสเตรเลียปรับขึ้นเล็กน้อย

ฟิวเจอร์สของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็พุ่งขึ้นเช่นกันหลังมีคำตัดสินของศาล โดยฟิวเจอร์สเป็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งใช้ชี้แนวโน้มการเคลื่อนไหวของตลาดเมื่อเปิดทำการ

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินที่ถือว่าเป็นแหล่งพักเงินปลอดภัย (safe-haven) อย่างเยนญี่ปุ่นและฟรังก์สวิส

เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ?

เมื่อวันที่ 2 เม.ย. ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เปิดตัวระบบภาษีการค้านานาชาติที่ไม่เคยมีมาก่อน ด้วยการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศคู่ค้าส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ

เขากำหนดภาษีขั้นพื้นฐานที่ 10% สำหรับประเทศส่วนใหญ่ พร้อมภาษีตอบโต้ในอัตราที่สูงขึ้นสำหรับประเทศและกลุ่มเศรษฐกิจหลายสิบแห่ง รวมถึงสหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร แคนาดา เม็กซิโก จีน และไทย

ทรัมป์ให้เหตุผลว่า นโยบายเศรษฐกิจในวงกว้างนี้จะช่วยกระตุ้นภาคการผลิตของสหรัฐฯ และปกป้องตำแหน่งงานของชาวอเมริกัน

อย่างไรก็ตาม ตลาดการเงินทั่วโลกเกิดความปั่นป่วนตั้งแต่มีการประกาศ และยิ่งแย่ลงเมื่อทรัมป์กลับลำบางมาตรการหรือชะลอการใช้ภาษี ขณะที่รัฐบาลต่างประเทศเริ่มเข้าสู่โต๊ะเจรจา

ความวุ่นวายยังทวีขึ้นจากสงครามการค้ายืดเยื้อระหว่างสหรัฐฯ กับจีน โดยสองมหาอำนาจเศรษฐกิจผลัดกันขึ้นภาษีแบบตอบโต้ จนแตะจุดสูงสุดที่สหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนถึง 145% และจีนเก็บภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ ถึง 125%

ต่อมาทั้งสองประเทศได้ตกลงพักรบทางการค้า โดยสหรัฐฯ ลดภาษีสินค้าจีนลงเหลือ 30% และจีนลดภาษีบางรายการจากสหรัฐฯ ลงเหลือ 10%

นอกจากนี้ สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรยังได้ประกาศข้อตกลงลดภาษีระหว่างกัน

อย่างไรก็ตาม ล่าสุด ทรัมป์ได้ขู่จะเก็บภาษี 50% กับสินค้าทุกชนิดที่มาจากสหภาพยุโรป

แต่แล้วในสัปดาห์เดียวกัน เขาก็ตกลงที่จะขยายเส้นตายสำหรับการเจรจาการค้ากับสหภาพยุโรปออกไปกว่า 1 เดือน

กำลังเกิดอะไรขึ้น ?

ผลกระทบทันทีจากคำตัดสินของศาลยังไม่ชัดเจนในขณะนี้

คดีนี้ยังต้องผ่านกระบวนการอุทธรณ์ หากทำเนียบขาวแพ้ในชั้นอุทธรณ์ หน่วยงานศุลกากรและป้องกันพรมแดนของสหรัฐฯ (CBP) จึงจะสามารถออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามได้ ตามคำอธิบายของจอห์น ลีโอนาร์ด อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ CBP

อย่างไรก็ตาม ศาลที่อยู่ในระดับสูงในที่นี่คือ ศาลอุทธรณ์กว่าอาจมีแนวโน้มเป็นมิตรกับทรัมป์มากกว่า แต่ถ้าทุกศาลยืนตามคำตัดสินเดิม ธุรกิจที่เคยจ่ายภาษีภายใต้นโยบายนี้จะได้รับเงินคืน พร้อมดอกเบี้ย

ภาษีที่รวมอยู่ในนี้ ได้แก่ ภาษี “ตอบโต้” (reciprocal tariffs) ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกปรับให้เหลือ 10% ทั่วกระดานสำหรับหลายประเทศ หลังจากที่เคยขึ้นไปเกือบ 150% สำหรับสินค้าจีน ซึ่งปัจจุบันลดลงเหลือ 30%

ลีโอนาร์ดกล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่ด่านศุลกากร และธุรกิจยังคงต้องจ่ายภาษีต่อไปตามเดิม

เขายังเสริมว่า ภาษีเหล็กและอลูมิเนียมไม่ถูกรวมอยู่ในการตัดสินของศาลครั้งนี้ เนื่องจากเป็นมาตรการที่บังคับใช้ด้วยกฎหมายอีกฉบับ ไม่ใช่กฎหมายฉุกเฉินที่ทรัมป์อ้างเพื่อใช้ออกมาตรการภาษีทั่วโลก

ในฝั่งตลาดการเงิน สตีเฟน อินเนส จากบริษัทบริหารจัดการหลักทรัพย์ เอสพีไอ (SPI Asset Management) เขียนในบทวิเคราะห์ว่า

“นักลงทุนเหมือนได้ถอนหายใจ หลังจากความผันผวนรุนแรงต่อเนื่องหลายสัปดาห์ที่เกิดจากสงครามการค้า”

เขากล่าวว่า ผู้พิพากษาของสหรัฐฯ ส่งสารชัดเจนว่า “ทำเนียบขาวไม่ใช่โต๊ะเทรดหุ้น และรัฐธรรมนูญก็ไม่ใช่เช็คเปล่าให้ลงนามตามอำเภอใจ”

คำตัดสินนี้ถือเป็น “จุดเปลี่ยนเชิงโครงสร้างของเรื่องราว จากภาษีแบบผู้นำเผด็จการ สู่กลไกป้องกันโดยสถาบัน” เขาวิเคราะห์

“อำนาจบริหารที่ล้ำเส้น อาจเจอขีดจำกัดแล้ว และสิ่งที่ตามมาคือความมั่นคงระดับมหภาครอบใหม่ อย่างน้อยก็จนกว่าจะมีข่าวใหญ่เรื่องถัดไป”