การเมืองในสภาฯ กลับมาเข้มข้น มีนัดหมายประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยวิสามัญ เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาทในวาระแรก ระหว่างวันที่ 28-30 พ.ค.2568
แม้ก่อนหน้านี้จะมีกระแสข่าว “พรรคภูมิใจไทย” อาจจะโหวตสวน เพื่อคว่ำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ หวังเปลี่ยนเกม เปลี่ยนตัวนายกฯ แต่ความฝันของ “บิ๊กสีน้ำเงิน” ยังห่างไกลความจริง เนื่องจากแรงต้าน มีมากกว่าแรงหนุน จำนวนเสียงในสภาฯ ยังมีไม่มากพอจะพลิกเกม
ทำให้ท่าทีของ “พรรคเพื่อไทย” และ “พรรคร่วมรัฐบาล” เกี่ยวกับการร่าง พ.ร.บ.งบประมาณเป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยจะผ่านการพิจารณาวาระแรกแบบไร้ปัญหา จากนั้นจะแต่งตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาจำนวน 72 คน โดยมี “พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เป็นประธาน
เมื่อตรวจสอบการจัดสรรงบประมาณ ใน 10 อันดับ พบว่า 1.งบฯกลาง 632,968 ล้านบาท ลดลงจากปี 2568 จำนวน 209,032 ล้านบาท 2.กระทรวงการคลัง 397,856 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,197 ล้านบาท 3.กระทรวงศึกษาธิการ 355,108 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14,333 ล้านบาท 4.กระทรวงมหาดไทย 301,265 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6,852 ล้านบาท 5.กระทรวงกลาโหม 204,434 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,713 ล้านบาท
6.กระทรวงคมนาคม 200,756 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7,403 ล้านบาท 7.กระทรวงสาธารณสุข 177,639 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,673 ล้านบาท
8.กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม 140,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,058 ล้านบาท 9.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 130,111 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7,483 ล้านบาท และ 10.กระทรวงแรงงาน 68,069 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.5 ล้านบาท
งบประมาณที่ถูกจับตามากที่สุด ไม่พ้น “งบฯกลาง” ที่อยู่ในอำนาจของ “นายกรัฐมนตรี” ที่จะบริหารจัดการตามความจำเป็น โดยเฉพาะในภาวะฉุกเฉิน แต่งบฯกลางในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 กลับลดลงจากปี 2568 โดยได้รับการจัดสรร 632,968 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 16.74
แบ่งเป็นรายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณ 1,408,060 ร้อยละ 37.25, รายจ่ายบูรณาการ 98,767 ร้อยละ 2.61, รายจ่ายบุคลากร 820,820 ร้อยละ 21.71, รายจ่ายสำหรับทุนหมุนเวียน 274,576 ร้อยละ 7.26, รายจ่ายเพื่อการชำระหนี้ภาครัฐ 421,864 ร้อยละ 11.16, รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง 123,541 ร้อยละ 3.27
หากจำแนกตามยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย ด้านความมั่นคง 415,327 ล้านบาท การสร้างความสามารถในการแข่งขัน 394,611ล้านบาท การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ 605,927 ล้านบาท การสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม 942,709 ล้านบาท การสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 147,216 ล้านบาท และการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ 605,441 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน มีความพยายามปรับ“งบฯกลาง” ให้เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมประมาณ 2-3 หมื่นล้านบาท เนื่องจากรัฐบาลต้องการนำมาใช้แก้ปัญหาสถานการณ์ “ภาษีทรัมป์” ซึ่งยังไม่มีความชัดเจนว่า “ทีมไทยแลนด์” จะสามารถเจรจาต่อรองได้มากน้อยเพียงใด
งบกระตุ้นศก.1.5 แสนล้านกระจุก‘เพื่อไทย’
อย่างไรก็ตามในการประชุมครม.เมื่อวันที่ 20 พ.ค.2568 ที่ผ่านมา มีการปรับงบ 157,000 ล้านบาท จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 งบกลางรายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท โดยส่วนใหญ่โยกงบมาจากโครงการแจกหมื่นดิจิทัลวอลเล็ต
โดยกำหนดให้หน่วยรับงบประมาณจัดทำข้อเสนอโครงการผ่านรองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีที่กำกับดูแล เพื่อเสนอคณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ พิจารณา พร้อมเสนอโครงการต่อสำนักงบประมาณภายในเดือน พ.ค. ก่อนเสนอ ครม.พิจารณาอนุมัติ ภายในเดือน มิ.ย. และสำนักงบประมาณจะจัดสรรภายในเดือน ก.ค.
แม้จะวางกรอบการเบิกจ่ายงบประมาณ 157,000 ล้านบาท แต่โครงการที่เสนอขอต้องมีความพร้อม และเกิดเม็ดเงินไหลเข้าสู่ชุมชน เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ แต่งบฯ ดังกล่าวกลับกระจุกตัวอยู่กับกระทรวง หน่วยงานที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ “พรรคเพื่อไทย” อาทิ
กระทรวงคมนาคม ภายใต้การกำกับดูแลของ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” เตรียมเสนอโครงการตามกรอบ ได้แก่ 1.แก้ไขปัญหาด้านการจราจรในพื้นที่คอขวดและขาดความเชื่อมโยง 2.เพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางและขนส่ง 3.แก้ไขปัญหาจุดตัดระหว่างทางรถไฟและถนนเสมอระดับ 4.ก่อสร้างปรับปรุงจุดพักรถบรรทุกเพื่อให้สามารถบังคับใช้ พ.ร.บ.การขนส่งทางบก พ.ศ.2522 และ 5.ปรับปรุงหรือพัฒนาถนนเชื่อมโยงเมืองรอง แหล่งท่องเที่ยวและพื้นที่การผลิต
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ภายใต้การกำกับดูแลของ “สรวงศ์ เทียนทอง” เตรียมเสนอโครงการตามกรอบ ได้แก่ 1.ปรับปรุงพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว สนามกีฬาและสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ ห้องน้ำ ห้องพัก สถานที่ป้ายบอกทาง 2.พัฒนาระบบอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว 3.พัฒนาและยกระดับความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยว อาทิ การติดตั้งระบบ CCTV ในพื้นที่เมืองท่องเที่ยวสำคัญ 4.กระตุ้นเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวภายในประเทศโดยเฉพาะในพื้นที่เมืองรอง
รวมถึงงบฯ เพื่อลดผลกระทบภาคการส่งออก และเพิ่มผลิตภาพ โดยเพิ่มผลิตภาพทางการเกษตร อาทิ การสนับสนุนให้เกษตรกรและ SMEs ใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีปรับเปลี่ยนพื้นที่การเพาะปลูกให้เหมาะสม
สำหรับ “หน่วยงานรัฐ” ที่สามารถเสนอโครงการได้ตามกรอบที่วางเอาไว้ จะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” รองนายกฯ และรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ทั้งสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนแห่งชาติ (สทบ.)
งบปี 69“ภูมิใจไทย”เพิ่มทุกกระทรวง
ขณะเดียวกันกระทรวงที่อยู่ในการกำกับดูแลของ “พรรคภูมิใจไทย” ซึ่งมีอยู่ 4 กระทรวงประกอบด้วยกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกระทรวงแรงงานต่างได้รับอนุมัติงบประมาณเพิ่มขึ้น
โดยกระทรวงศึกษาธิการ 355,108 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14,333 ล้านบาท กระทรวงมหาดไทย 301,265 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6,852 ล้านบาท กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม 140,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,058 ล้านบาท และกระทรวงแรงงาน 68,069 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.5 ล้านบาท
เมื่องบเพิ่มจึงเป็นที่น่าสังเกตว่า ศึกรบกันเองระหว่าง “พรรคเพื่อไทย” กับ “พรรคภูมิใจไทย” จะมีท่าทีสงบลงบ้างหรือไม่ แม้จะมีปัจจัยอื่นมาแทรกตรงกลางความขัดแย้งก็ตาม
รทสช.ซัดจัดสรรไม่สอดคล้องเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกัน “พรรครวมไทยสร้างชาติ” ออกอาการไม่พอใจกับการจัดสรรงบประมาณ โดย “อัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์” สส.ราชบุรี ตั้งข้อสังเกตว่า มีบางหน่วยงานที่จัดสรรงบประมาณไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงในปัจจุบัน โดยเฉพาะในแง่ทางด้านเศรษฐกิจ
“สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้เตรียมข้อมูลไว้แล้ว เพื่อที่จะอภิปรายพร้อมให้ข้อเสนอกับรัฐบาลทั้งในการประชุมพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณ 2569 ที่เป็นชั้นรับหลักการ และในวาระที่ 2 ในชั้นคณะกรรมาธิการฯ”
ปชน.ชี้ซ่อนโครงการรอเลือกตั้ง
ฝั่ง “ขั้วฝ่ายค้าน” ที่นำโดยพรรคประชาชน มีการจัดเตรียม “ขุนพลสีส้ม” ชำแหละงบฯ 69 อย่างเข้มข้น โดยมี “ศิริกัญญา ตันสกุล” รองหัวหน้าพรรค หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน
เบื้องต้นมีกระแสข่าวว่า “ทีมสีส้ม” เตรียม สส. ทั้งขาประจำ – ขาจร สลับกันอภิปราย โดยมี 50 ขุนพล กางข้อพิรุธในทุกกระทรวง โดยเฉพาะงบฯ ที่มีการเร่งตั้งโครงการ
“ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์” สส.กทม.ระบุว่า ปชน.ล็อกเป้าทุกกระทรวง ยิงทุกกระทรวงแน่นอน พรรคร่วมรัฐบาลเริ่มมีกระบวนการที่จะชิงไหวชิงพริบ ชิงความโดดเด่น เพราะมีสัญญาณที่อาจจะมีการรับรู้ได้ว่า ใกล้จะมีการเลือกตั้งใหม่แล้ว
“ในกรอบวงเงินงบฯ 69 มีการซ่อนโครงการอะไรอยู่ไว้ใช้เพื่อเป็นแต้มต่อทางการเมือง สำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อไปหรือไม่”
ทั้งนี้การตั้งประเด็นของ ปชน.เกี่ยวกับการตั้งโครงการ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้ง จึงน่าจับตามองว่าจะสามารถชำแหละความผิดปกติได้มากน้อยเพียงใด
ฝ่ายค้าน-ฝ่ายแค้นจับตาเงินทอน
รวมถึงการจับพิรุธโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.57 แสนล้าน อาจกลายร่างเป็นโครงการอภิมหาเงินทอน เนื่องจากระยะเวลาเพียง 3 วัน ภายหลังครม.มีมติโยกงบดังกล่าว
โดยกระทรวงมหาดไทยโดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นกลับส่งหนังสือด่วนถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ให้เร่งเสนอโครงการที่เกี่ยวข้อง เช่น โครงการเกี่ยวกับการจัดการน้ำ ภายในวันที่ 23 พ.ค.
เช่นเดียวกับคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย สงสัยกับการโยกงบฯดังกล่าว อาจจะมีการแบ่งเค้กกันมาก่อนหรือไม่
บทพิสูจน์กระตุ้นเศรษฐกิจ-ฟื้นเชื่อมั่น
อย่างไรก็ตาม การจัดสรรงบประมาณปี 2569 ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจ ทั้งภายในและภายนอก จะเป็นบทพิสูจน์ว่า “รัฐบาลแพทองธาร” จะแก้ปัญหาปากท้องให้ “คนไทย” ทุกหย่อมหญ้าได้มากน้อยเพียงใด
หากย้อนไปดูผลสำรวจ ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ “6 เดือน รัฐบาลนายกฯ อุ๊งอิ๊ง” สำรวจความพึงพอใจต่อการทำงานของรัฐบาล ร้อยละ 34.58 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 32.60 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 20.00 ระบุว่า ไม่พอใจเลย และร้อยละ 12.82 ระบุว่า พอใจมาก
ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการทำงานของรัฐบาล ในการแก้ไขปัญหาของประเทศ พบว่าร้อยละ 36.41 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่น รองลงมา ร้อยละ 26.26 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่นเลย ร้อยละ 25.04 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อมั่น และร้อยละ 12.29 ระบุว่า เชื่อมั่น
ผลสำรวจ “นิด้าโพล”จึงเป็นส่วนหนึ่ง ที่สะท้อนให้เห็นว่า “ประชาชน” ยังขาดความเชื่อมั่นของ “รัฐบาล” และ “นายกฯแพทองธาร”
จึงต้องลุ้นต่อไปว่า ความพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจ ช่วยเหลือประชาชน จากผลสำรวจในไตรมาสสอง สถานการณ์ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลจะดีขึ้นหรือไม่
ดังนั้นงบประมาณรายจ่ายปี 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท และงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.5 แสนล้านบาท จะเป็นบทพิสูจน์การทำงานของ “รัฐบาลแพทองธาร” ซึ่งจะมาพร้อมเดิมพันความนิยมของ “พรรคเพื่อไทย” และ “พรรคร่วมรัฐบาล” อย่างเลี่ยงไม่ได้
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.bangkokbiznews.com/politics/1181859&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw28y4fsQCgm7P9w4MSxT8Eh