งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ของประเทศไทย วงเงิน 3.7 ล้านล้านบาท โดยรัฐบาลผสมที่นำโดยพรรคเพื่อไทย ผ่านการพิจารณาวาระแรกโดยสภาผู้แทนราษฎรไปแล้ว ท่ามกลางเสียงวิพากษ์ว่าเป็นการจัดสรร (แบ่งปัน) งบฯ ที่ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ สังคม ของประเทศแม้แต่น้อย และมีบางรายวิพากษ์ว่าเป็นงบฯ ที่ดูเสมือนผลาญชาติเสียด้วยซ้ำไป
มีข้อสังเกตว่ารัฐบาลตั้งงบฯ สำหรับส่งเสริมการลงทุนของประเทศน้อยมาก มากกว่างบฯ ปีก่อนถึงร้อยละ 7.3 และที่น่าจับตามองคือรัฐบาลยังคงตั้งหน้าตั้งตากู้เงินต่อไป โดยไม่สนใจว่าหนี้สาธารณะจะบานเบอะจนเกือบจะทะลุเพดานเงินกู้ที่ตั้งเอาไว้
น่าสมเพชคนไทยมากเหลือเกินที่มีรัฐบาลที่คิดได้เพียงเท่านี้ คำว่าคิดได้เพียงเท่านี้คือ ไม่คิดแก้ปัญหาของประเทศ แต่ดูเสมือนยิ่งซ้ำเติมให้ปัญหาเลวร้ายลง เพราะต้องไม่ลืมว่าเศรษฐกิจไทยในขณะนี้เลวร้ายมาก มากกว่ายุคโควิด-19 คุกคามเสียอีก แล้วต้องจำไว้ด้วยว่าเศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญกับความเลวร้ายอันเนื่องมาจากนโยบายเพิ่มภาษีศุลกากรแบบบ้าคลั่งไร้สติโดยโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ เพราะจวบจนบัดนี้ รัฐบาลไทยยังไม่ได้ส่งตัวแทนไปเจรจาเรื่องภาษีศุลกากรกับทรัมป์ ในขณะที่กำหนดเส้นตายกำลังจะดำเนินมาถึงในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้ แล้วก็ต้องไม่ลืมว่ารายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เคยหล่อเลี้ยงไทย ก็เหือดหายไปจากไทยทุกขณะ แม้ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จะอ้างว่ามีนักท่องเที่ยวจากยุโรปตะวันตกเข้ามาทดแทนชดเชยนักท่องเที่ยวจีนก็ตาม แต่นั่นคือคำอ้างเท่านั้น เพราะหากรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวยุโรปตะวันตกเข้ามาหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจไทยได้จริง ไฉนรัฐบาลจะเกิดอาการสติแตกเพราะรายได้การท่องเที่ยวจากต่างชาติลดลง แล้วทำไมร้านค้า รวมถึงภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและการบริการจึงโวยวายว่า ธุรกิจไปไม่รอดแล้ว ต้องปิดร้านแล้ว
ร้านอาหารทยอยปิดตัวลงทุกวัน ส่วนร้านที่ยังเปิดอยู่กลับเผชิญกับปัญหาไม่มีลูกค้า ผู้ค้าขายอาหารย่านเยาวราช บรรทัดทอง และในห้างสรรพสินค้าต่างๆ แม้กระทั่งร้านอาหารริมถนนต่างบ่นเหมือนกันว่า ขายของไม่ได้เลย บางวันเปิดร้านตั้งแต่ช่วง 9 นาฬิกาถึง 1 ทุ่ม มีลูกค้าเข้าร้านเพียง 2-3 โต๊ะเท่านั้น
สมาคมภัตตาคารไทยบ่นระงมว่าสมาชิกสมาคมฯ ขายของไม่ได้ ต้องทยอยปิดกิจการลงทุกวัน และหากยังเผชิญปัญหานี้ต่อไป ก็คงจะต้องปิดกิจการเกือบทั้งหมดอย่างแน่นอน เสียงบ่นต่อมาคือ คนไทยก็ไม่เข้าไปซื้อ เพราะกำลังซื้อลดลง ส่วนคนต่างชาติก็ไม่เข้าร้านนักท่องเที่ยวจีนที่เคยมีมาเมื่อ 2-3 ปีก่อน ก็หายไปจนไม่มีอีกแล้ว
ในยามที่เศรษฐกิจไทยไม่ดีอย่างมากเช่นนี้ แต่รัฐบาลไทยไม่มีปัญญาแก้วิกฤต ครั้นเมื่อหันไปมองการจัดสรรงบประมาณฯ ก็พบว่าไม่ตอบโจทย์การแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ คำถามคือหากวิกฤตเศรษฐกิจหนักหนาสาหัสมากกว่านี้ จะมีเงินงบประมาณไปแก้วิกฤตได้อย่างไร
รัฐบาลต้องสำเหนียกไว้ว่าเงินงบประมาณฯ 3.7 ล้านล้านบาท (จำนวนเต็มคือ 3,780,600 ล้านบาท) ถือว่าไม่ใช่เงินจำนวนน้อยนิด ดังนั้น หากรัฐบาลมีปัญญาจริง ก็ต้องใช้เงินดังกล่าวเพื่อแก้วิกฤตเศรษฐกิจให้ได้ ไม่ใช่ปล่อยให้เศรษฐกิจดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ เช่นนี้
อย่าลืมว่ารัฐบาลนี้ (อันที่จริงก็หลายรัฐบาลมาแล้ว) ชอบนโยบายประชานิยม คือหว่านแจกเงินแบบไร้สติ ไร้ปัญญา ไม่มีความสามารถใช้งบประมาณสร้างความเจริญให้ประเทศ แต่เลือกใช้วิธีแจกเงินแบบโง่เขลาเป็นประจำ เช่น การแจกเงินคนละ 1 หมื่นบาท โดยที่ไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจแต่อย่างไรเลย แต่รัฐบาลก็ยังคงทำนโยบายโง่เขลาไร้สติสิ้นปัญญาต่อไป ไม่ว่าใครจะท้วงติงอย่างไร รัฐบาลก็ยังคงดำเนินต่อไปกับนโยบายไร้ปัญญา
เมื่อใช้เงินงบประมาณไปโดยไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน ก็เท่ากับผลาญงบประมาณ แล้วก็เท่ากับผลาญชาติไปโดยปริยาย แล้วก็ก่อหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นจนจะชนเพดานหนี้ที่กำหนดไว้ เมื่อกู้จนจะเต็มเพดานหนี้ ก็จึงเท่ากับไม่เหลืออาวุธใดๆ ไว้ต่อสู้กับภัยพิบัติต่างๆ นานา ที่กำลังจะถาโถมเข้าประเทศไทย
ปัญหาใหญ่อีกประการคือ รัฐบาลไม่มีปัญญาหารายได้เข้าประเทศ ย้ำว่าไม่มีปัญญาหารายได้เข้าประเทศ การค้าขายสินค้าไทยในตลาดต่างประเทศไม่ได้เจริญก้าวหน้าไปกว่าเดิม แถมยังถูกแย่งตลาด แย่งลูกค้าไปอีกด้วย ตลาดสินค้าส่งออกที่สำคัญของไทยคือตลาดสหรัฐฯ ก็กำลังจะอันตรธานไป เพราะสาเหตุภาษีศุลกากรบ้าเลือดโดยทรัมป์ ในขณะที่สินค้าจากจีนก็ไหลบ่าเข้าท่วมทะลักไทย จนทำให้ผู้ผลิตไทยไม่มีความสามารถต่อสู้ได้อีกต่อไป นั่นหมายความว่าเศรษฐกิจไทยไม่โต เพราะรัฐบาลไม่มีปัญญาหารายได้เข้าประเทศ แล้วยังต้องเจอปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลกเข้าไปด้วย นี่คือความวิบัติของประเทศที่ยากจะหลบเลี่ยงได้ โดยเฉพาะยิ่งมีรัฐบาลไร้สติ สิ้นปัญญาแก้ปัญหา ก็หมายความว่าความวิบัติจักบังเกิดกับไทยอย่างไม่ต้องสงสัย
ลองกลับไปพิจารณารายได้ของรัฐบาลว่ามาจากแหล่งใดบ้าง พบว่ามาจากการเก็บภาษีและรายได้อื่นๆ คาดว่ารายได้ในปี 2569 จะอยู่ที่ประมาณ 2.92 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ ร้อยละ 77 ของเงินงบประมาณทั้งหมด นอกจากนั้นจะเป็นเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ โดยต้องกู้ 8.6 แสนล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 23 ของวงเงินงบประมาณทั้งหมด
ในความเป็นจริงที่นักเศรษฐศาสตร์ และนักการธนาคารในประเทศไทย และต่างประเทศที่ศึกษาเรื่องเศรษฐกิจไทยต่างบอกตรงกันคือความสามารถในการจัดเก็บรายได้ของไทยอยู่ในระดับที่ถือว่าต่ำค่อนข้างมาก รายได้ นำส่งคลังของไทยในปี 2569 น่าจะอยู่ที่ระดับ ร้อยละ 14.5 ของจีดีพี ซึ่งลดลงจากค่าเฉลี่ยในช่วงปี 2547-2556 ที่เคยอยู่ในระดับ ร้อยละ 17.5 (อ้างอิงจากข้อมูลของศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)
ขอย้ำว่ารัฐบาลยังคงสร้างหนี้ต่อไปด้วยการกู้ชดเชยการขาดดุลงบประมาณ โดยปี 2569 กู้อีก 8.6 แสนล้านบาท โดยเห็นว่ารัฐบาลกู้หนักมากขึ้นเรื่อยๆ และกู้จนจะชนเพดานที่กำหนดแล้ว และมีข้อสังเกตอีกประการคือ การกู้เงินชดเชยการขาดดุลงบประมาณในปี 2569 นี้นับได้ว่าเป็น ร้อยละ 4.5 ของจีดีพี ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในรอบ 36 ปี นับจากปี 2532
ข้อสังเกตประการต่อมาคืองบกลางที่ตั้งไว้ในปีงบประมาณ 2569 มีวงเงินสูงจนผิดสังเกต คือร้อยละ 16.7 ของวงเงินงบประมาณ รัฐบาลอ้างแบบไร้ตรรกะว่าตั้งงบกลางไว้สูงมาก เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นกับรัฐบาลเพื่อให้สามารถใช้จ่ายได้ทันทีเมื่อเวลามีเหตุจำเป็น
แต่ในความเป็นจริงนั้น งบกลางเป็นงบฯ ที่ถูกใช้ไปในทางทุจริตได้ง่ายที่สุด เพราะไม่ผ่านการตรวจสอบโดยสภาผู้แทนราษฎรก่อนการใช้งบ
แต่ที่สุดประหลาดคืองบลงทุนกลับถูกปรับลดลง โดยปีนี้งบลงทุนเหลือเพียง 8.64 แสนล้านบาท หรือประมาณ ร้อยละ 23 ของเงินงบประมาณฯ ส่วนการจัดสรรงบประมาณด้านการเศรษฐกิจ ก็ลดลงร้อยละ 13.8 ซึ่งทำให้เห็นว่างบประมาณส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับงบประจำมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม มีอีกสิ่งที่ต้องจับตามองใกล้ชิดคืองบกระตุ้นเศรษฐกิจ วงเงิน 1.57 แสนล้านบาท ซึ่งถูกวิพากษ์ว่าลุกลี้ลุกลนมากเกินเหตุ เพราะเร่งรัด รีบร้อนมาก เพราะให้เวลาหน่วยราชการที่ขอรับเงินงบประมาณไปคิดเพียงไม่กี่วัน แล้วต้องรีบเสนอให้คณะอนุกรรมการกลั่นกรอง ที่มีรัฐมนตรีกระทรวงการคลังเป็นประธาน และเสนอให้คณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจพิจารณาในวันที่ 6 มิถุนายน
ขอย้ำว่าการจัดทำงบประมาณฯ 2569 นี้ไม่ต่างไปจากงบฯ สะเปะสะปะที่นักการเมืองต้องการละเลงและผลาญงบฯ เพราะไม่ได้นำไปสู่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังรุมเร้าประเทศไทย ไม่ใช้งบลงทุน และไม่สามารถใช้งบฯ เพื่อแก้ปัญหาหรือวางแผนแก้ปัญหาใดๆ ในอนาคตได้ เพราะฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่าการทำงบฯ แบบนี้จึงไม่น่าจะผิดไปจากการล้างผลาญประเทศ
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.naewna.com/politic/columnist/62890&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw2oN_WFKzSUvCgzOs8aQUpm