การเมืองปั่นป่วน เศรษฐกิจโลกซบฉุดหุ้นไทย แนะลงทุนหุ้นปลอดภัย เน้นธุรกิจในประเทศ

การเมืองปั่นป่วน-เศรษฐกิจโลกซบฉุดหุ้นไทย-แนะลงทุนหุ้นปลอดภัย-เน้นธุรกิจในประเทศ
การเมืองปั่นป่วน เศรษฐกิจโลกซบฉุดหุ้นไทย แนะลงทุนหุ้นปลอดภัย เน้นธุรกิจในประเทศ

หุ้น

การเมืองปั่นป่วน เศรษฐกิจโลกซบฉุดหุ้นไทย แนะลงทุนหุ้นปลอดภัย เน้นธุรกิจในประเทศ

27 พ.ค. 2025 เวลา 11:55 น.

บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) เผย ความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทยทำให้รัฐบาลขาดเสถียรภาพ เสี่ยงยุบสภาและเกิดสุญญากาศทางการเมือง ด้านนักวิเคราะห์ประเมิน SET อาจร่วงแตะ 1,100 จุด หากวิกฤตยืดเยื้อ ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ชะลอขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยจาก 36% เหลือ 10% ชั่วคราว แต่รัฐบาลยังไม่มีแผนตอบโต้ที่ชัดเจน

เกษม พันธ์รัตนมาลา กรรมการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CGSI เปิดเผยว่า  บริษัทจดทะเบียนที่ศึกษามีกำไรสุทธิรวมในไตรมาส 1/68 ทรงตัว yoy แต่เติบโต 40% qoq โดยกลุ่มที่กำไรสุทธิเติบโตสูงที่สุด qoq คือ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์, กลุ่มก่อสร้าง, กลุ่มอาหารและกลุ่มโทรคมนาคม ส่วนกลุ่มที่มีกำไรสุทธิเติบโตต่ำที่สุดคือ กลุ่มโรงแรม, กลุ่มอุปโภคบริโภคและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ สำหรับกลุ่มที่มีผลประกอบการดีกว่าคาด ได้แก่ กลุ่มธนาคาร, กลุ่มก่อสร้าง, กลุ่มน้ำมันและก๊าซ, กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และกลุ่มโทรคมนาคม ขณะที่กลุ่มที่มีผลประกอบการต่ำกว่าคาด ได้แก่ กลุ่มบริการและกลุ่มขนส่ง

ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI เชื่อว่า การตอบโต้กันไปมาระหว่างพรรคแกนนำรัฐบาลสองพรรคคือพรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทย ทำให้รัฐบาลไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ทั้งนี้สถานการณ์ในกรณีที่เลวร้ายสุดสำหรับการเมืองไทยในขณะนี้ คือ การประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร เพราะอาจ ต้องรอไปอีกหกเดือนกว่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ถึงกระนั้นก็ตาม เชื่อว่ารัฐบาลรักษาการจะไม่สามารถทำงานได้อย่างราบรื่น เพราะความขัดแย้งระหว่างสองพรรคการเมืองน่าจะยืดเยื้อ จึงมองว่ากรณีดังกล่าว อาจทำให้ดัชนี SET ดิ่งลงมาอยู่ที่ระดับประมาณ 1,100 จุด หรือเท่ากับ P/E 13 เท่า ในปี 69 หรือต่ำกว่า -1SD จากค่าเฉลี่ย 10 ปีเล็กน้อย

ส่วนกรณีเลวร้ายที่สุดอันดับสอง ตามความเห็นของฝ่ายวิเคราะห์ฯคือ การที่พรรคภูมิใจไทยออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งจะทำให้ต้องมีการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งใหญ่ และเนื่องจากเชื่อกันว่าพรรคภูมิใจไทยกุมเสียงของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ส่วนใหญ่ จึงมองว่าการออกกฎหมายสำคัญของรัฐสภาอาจมีอุปสรรคท่ามกลางบรรยากาศการเมืองในปัจจุบัน จึงมองว่า แม้นายกรัฐมนตรีจะสามารถยุบสภา แต่เชื่อว่านักการเมืองไม่อยากเลือกตั้งใหม่ เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้ยังเหลือวาระอีก 2 ปี ดังนั้นเศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบหากพรรคการเมืองทั้งสองพรรคยังไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้งได้ในเร็วๆนี้

สำหรับ สหรัฐฯ มีแผนเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากไทย 36% เดิมจะมีผลวันที่ 9 เม.ย.2568 แต่สหรัฐฯประกาศเลื่อนบังคับใช้ออกไปอีก 90 วัน ทำให้อัตราภาษีตอบโต้ต่อไทยช่วงนี้กลับมาอยู่ที่ 10% รัฐบาลไทยไม่มีแผนตอบโต้มาตรการภาษีของสหรัฐ และเตรียมยื่นข้อเสนอต่อเจ้าหน้าที่ของสหรัฐ ได้แก่ การเพิ่มการนำเข้าพลังงาน, อากาศยานและสินค้าเกษตรจากสหรัฐ รวมทั้งสกัดกั้นไม่ให้ประเทศอื่นใช้ไทยเป็นทางผ่านในการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐ

อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องยากที่รัฐบาลไทยจะลดภาษีนำเข้าสินค้าเกษตร เพราะต้องปกป้องผลประโยชน์ของเกษตรกรในประเทศเช่นกัน แต่อาจเปิดทางให้นำเข้าสินค้าเกษตรบางชนิดจากสหรัฐที่กระทบเกษตรกรไทยไม่มาก เช่น อาหารสัตว์และผลิตภัณฑ์เนื้อวัวจากสหรัฐ ทั้งนี้ เชื่อว่ากลุ่มที่จะได้รับผลกระทบมากสุดหากสหรัฐเริ่มเก็บภาษีตอบโต้อัตรา 36% ในวันที่ 8 ก.ค. 2025 โดยไม่เลื่อนออกไปอีก คือ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม, กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์, กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า และกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ ขณะที่คาดว่าปัจจัยลบจากมาตรการภาษีของสหรัฐจะทำให้ GDP ของไทยขยายตัวเพียง 1.8% ในปี 68 และ 1.5% ในปี 69 เทียบกับ 2.5% ในปี 67

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นประมาณ 10% จากจุดต่ำสุดหลังสถานการณ์การค้าโลกเริ่มลดความตึงเครียด จึงเชื่อว่า ดัชนี SET กลับมาอยู่ในระดับที่เหมาะสมที่ P/E ล่วงหน้า 12 เดือนประมาณ 12 เท่า แต่ sentiment เชิงลบจากความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทยน่าจะยังกดดันตลาดหุ้นไทย ดังนั้นจึงคงเป้าดัชนี SET สิ้นปี 68 อยู่ที่ 1,200 จุด ซึ่งเท่ากับ P/E 13.4 เท่าในปี 69 หรือ -1SD จากค่าเฉลี่ย 10 ปี

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน เน้นหุ้นปลอดภัยและหุ้นที่เน้นธุรกิจในประเทศ เนื่องจากขณะนี้มีปัจจัยลบภายนอก จากความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐ จึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนกลุ่มที่มีการทำธุรกิจกับต่างประเทศ เช่น กลุ่มส่งออก, กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์, กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมและกลุ่มปิโตรเคมี รวมทั้งกลุ่มที่ผลประกอบการขึ้นอยู่กับอุปสงค์/อุทานในตลาดโลก เช่น กลุ่มพลังงานและกลุ่มปิโตรเคมีที่อาจได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ที่ชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลก

โดย เชื่อว่า กลุ่มที่เน้นธุรกิจในประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มปลอดภัย เช่น กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค, กลุ่มสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค, กลุ่มโทรคมนาคม, กลุ่มการแพทย์, กลุ่มสาธารณูปโภคและกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง น่าจะมีความยืดหยุ่นมากกว่า โดยหุ้น Top pick ประกอบด้วย BDMS, CPN, ERW, GULF, MTC และ PR9 ทั้งนี้ SET อาจมี downside risk หากมาตรการภาษีสหรัฐกระทบไทยมากกว่าคาด รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมือง ส่วนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลอาจช่วยหนุนตลาดหุ้นไทย
 

———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.bangkokbiznews.com/finance/stock/1182078&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw0MeU2kkzMSuoVhR8W_LRZu

Related Post

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *