นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กับ “ฐานเศรษฐกิจ” และสื่อในเครือเนชั่น ภายหลังเดินทางมาอวยพรในโอกาสครบรอบ 25 ปี เนชั่นทีวี และครบรอบ 55 ปีเนชั่นกรุ๊ปเมื่อวันที่ 30 พ.ค.ที่ผ่านมา
โดยอดีตนายกฯเปิดใจในหลากหลายประเด็นเศรษฐกิจที่สังคมให้ความสนใจ พร้อมเผยแนวทางใหม่ในการบริหารประเทศท่ามกลางสถานการณ์ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก หลังจากที่รัฐบาลได้มีการปรับเปลี่ยนนโยบายสำคัญหลายเรื่อง โดยเฉพาะการชะลอโครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่เคยเป็นนโยบายหลักในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
แนวทางครึ่งปีหลัง
สำหรับแนวทางที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการในครึ่งปีหลัง นายทักษิณเน้นย้ำว่า ต้องมีการทำงานอย่างต่อเนื่องและครอบคลุมทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องราคาสินค้าเกษตรซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยตรง มองว่าภาคเกษตรกรรมยังคงเป็นฐานเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ และการดูแลด้านนี้จะช่วยสร้างเสถียรภาพให้กับเศรษฐกิจฐานราก
“การแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรนั้นไม่สามารถพึ่งพาการค้ำประกันของรัฐอย่างเดียวได้ เนื่องจากมีปัจจัยหลายอย่างที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งเรื่องของตลาด ต้นทุนการผลิต และการแข่งขันจากต่างประเทศ รัฐบาลจึงต้องหามาตรการที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น”
นายทักษิณ ชี้ให้เห็นถึงข้อจำกัดทางการคลังที่รัฐบาลต้องเผชิญในปัจจุบัน โดยสถานการณ์การเงินการคลังของประเทศไม่เหมือนกับในอดีต การที่รัฐมีหนี้สินสูง และอัตราส่วนหนี้ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับเพดานที่กำหนดไว้ ทำให้การใช้จ่ายงบประมาณต้องมีความระมัดระวังมากขึ้น
ประกอบกับปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง การดำเนินนโยบายต่างๆ จึงต้องคำนึงถึงการสร้างสมดุลระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจและการรักษาวินัยทางการคลัง นายทักษิณเน้นว่า “ต้องพยายามทำยังไงให้ระบบหนี้อยู่ในระดับที่ไปได้ อันนี้ก็ต้องกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้หนี้ครัวเรือนลดลง และทำการกระตุ้นที่ไม่ใช่การกู้หนี้เกินไป”
การปรับตัวรับมือสงครามการค้า
เมื่อถูกถามเกี่ยวกับการปรับตัวเพื่อรองรับความไม่แน่นอนในบริบทของสงครามการค้าในอนาคต นายทักษิณ แสดงความเห็นอย่างชัดเจนว่า การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทุกคนในสังคมไทยต้องเตรียมตัวปรับตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ใหม่
ภาคเอกชนโดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ต้องหาวิธีการทำธุรกิจใหม่ที่สามารถแข่งขันได้ในตลาดที่มีการแข่งขันสูงขึ้น โดยเฉพาะการเข้ามาของสินค้าจากจีนที่มีปริมาณมากและราคาถูก ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการไทยต้องหาจุดแข็งและความได้เปรียบในการแข่งขันแบบใหม่
นายทักษิณ เสนอแนะให้รัฐบาลต้องเข้ามามีบทบาทในการจัดการปัญหาสินค้าจากจีนที่เข้ามาในลักษณะที่ไม่เป็นธรรม โดยต้องขอความร่วมมือจากรัฐบาลจีนในการควบคุมคุณภาพสินค้าที่ส่งออกมายังไทย พร้อมทั้งปรับปรุงระบบการบริหารจัดการด้านศุลกากรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
“เพราะวันนี้มีการลักลอบเอาสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานเข้ามาเยอะเกินไป อันนี้เราก็ต้องมาดู เพราะไม่งั้นเอสเอ็มอีเราจะอยู่ไม่ได้” นายทักษิณกล่าว โดยเน้นย้ำว่าการปกป้องผู้ประกอบการไทยจากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมเป็นหน้าที่สำคัญของรัฐ
การแก้ปัญหานี้ต้องใช้แนวทางหลายมิติ ทั้งการปรับปรุงกฎระเบียบ การเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย และการสร้างความร่วมมือกับประเทศคู่ค้าในการสร้างมาตรฐานการค้าที่เป็นธรรม
การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน
เมื่อถูกถามเกี่ยวกับปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เป็นความกังวลหลักของระบบเศรษฐกิจไทย นายทักษิณ ให้ข้อมูลว่า ขณะนี้รัฐบาลกำลังดำเนินการแก้ไขปัญหาในหลายมิติพร้อมกัน โดยมีเป้าหมายช่วยเหลือประชาชนที่มีปัญหาหนี้ในวงกว้าง
โครงการต่างๆ ที่ดำเนินการอยู่คาดว่าจะสามารถช่วยเหลือประชาชนได้ประมาณ 500,000 ราย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายรวม 5 ล้านรายที่วางไว้ตามโครงการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนในระยะยาว การดำเนินงานทั้งหมดนี้คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในปีนี้
“จะทำให้หนี้ครัวเรือนเบาบางหน่อย ถ้าหนี้ครัวเรือนเบาบางเนี่ย ประชาชนก็สามารถปรับตัวได้” นายทักษิณกล่าว โดยเน้นว่าการลดภาระหนี้ครัวเรือนจะช่วยให้ประชาชนมีกำลังซื้อมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวม
นายทักษิณ อธิบายเพิ่มเติมว่า ปัญหาหนี้ครัวเรือนไม่ใช่เพียงแค่ตัวเลขทางสถิติ แต่เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยตรง เมื่อประชาชนมีภาระหนี้สูง จะทำให้การบริโภคลดลง ซึ่งส่งผลต่อการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจ การแก้ปัญหานี้จึงเป็นการสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจในระยะยาว
โครงการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนที่รัฐบาลดำเนินการมีทั้งการปรับโครงสร้างหนี้ การให้คำปรึกษาทางการเงิน และการสร้างโอกาสในการสร้างรายได้เพิ่มเติมให้กับประชาชน โดยมุ่งเน้นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุมากกว่าการแก้ไขเฉพาะผลกระทบ
ท่าทีต่อการตั้งกองทุนล้างหนี้
เมื่อมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบางท่านเสนอแนวคิดเรื่องการตั้งกองทุนล้างหนี้ นายทักษิณแสดงจุดยืนที่ชัดเจนว่า แนวทางดังกล่าวอาจไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน เนื่องจากอาจก่อให้เกิดปัญหาทางศีลธรรมในการชำระหนี้ (Moral Hazard) และสร้างผลกระทบด้านลบต่อระบบการเงินโดยรวม
แทนที่จะใช้วิธีการล้างหนี้แบบตรงไปตรงมา นายทักษิณเสนอให้ใช้กลไกที่มีอยู่แล้วในระบบการเงินไทยให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยการประสานความร่วมมือระหว่างธนาคารของรัฐ กองทุนต่างๆ ที่มีอยู่ และสถาบันการเงินเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ (FIDF) เพื่อหาทางลดภาระหนี้ให้กับประชาชนอย่างมีระบบ
“เราสามารถใช้กลไกทั้งของรัฐธนาคารของรัฐ แล้วก็กองทุนที่มีอยู่หรือว่าของเอฟไอดีเอฟที่เราจะเอาไปลดยอดลง เราเอาตรงนี้มาแก้ปัญหาหนี้ให้ประชาชน แต่ว่าจะมาล้างหนี้เลยเนี่ย มันไม่ได้ มันเกิดโรคเสถียรภาพ” นายทักษิณอธิบาย
การใช้กลไกที่มีอยู่แล้วจะช่วยให้การแก้ปัญหาหนี้มีความยั่งยืนมากขึ้น และไม่สร้างภาระเพิ่มเติมให้กับระบบการเงินของประเทศ นายทักษิณเน้นว่า การแก้ปัญหาหนี้ต้องคำนึงถึงสมดุลระหว่างการช่วยเหลือประชาชนและการรักษาความมั่นคงของระบบการเงิน
นอกจากนี้ นายทักษิณยังเสนอให้มีการพัฒนาระบบการให้คำปรึกษาทางการเงินแก่ประชาชน เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจในการบริหารจัดการหนี้สิน และสามารถวางแผนการเงินส่วนตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยป้องกันปัญหาหนี้ในอนาคตมีอยู่หรือว่าของ FIDF ที่เราจะเอาไปลดยอดลง เราเอาตรงนี้มาแก้ปัญหาหนี้ให้ประชาชน แต่ว่าจะมาล้างหนี้เลยเนี่ย มันไม่ได้
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.thansettakij.com/economy/628852&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw0PcxS4KQNvzR-yYppVAOzp