รัฐสภา, วันที่ 29 พฤษภาคม – นายอนุชา บูรพชัยศรี สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) อภิปรายร่าง พรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2569 ว่า จะขอเน้นไปที่การสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยก่อนการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูงอย่างต่อเนื่อง แต่หลังวิกฤติไทยเกิดสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และเติบโตแบบลุ่ม ๆ ดอน ๆ เรื่อยมาจนถึงช่วงวิกฤติโควิดที่เศรษฐกิจตกต่ำอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งปีนี้จากการคาดการณ์ของสำนักเศรษฐกิจการคลัง เศรษฐกิจจะเติบโตประมาณร้อยละ 2.1 แต่ World Bank คาดการณ์ว่าจะเติบโตเพียงแค่ร้อยละ 1.6 เท่านั้น เนื่องจากหนี้สาธารณะ หนี้ครัวเรือน และความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า
นายอนุชากล่าวว่า โดยทั่ว ๆ ไป พัฒนาการของเศรษฐกิจจะมีวัฏจักรคือทุก ๆ 12 ปี จะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจขึ้น ซึ่งคาดว่าประมาณปี 2575 ไทยจะเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจอีกครั้ง ดังนั้นในวันนี้เราต้องพร้อมที่จะปรับตัวเพื่อรองรับวิกฤติที่จะเกิดขึ้น และพร้อมที่จะสร้างการเติบทางเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งโจทย์ที่สำคัญคือการผลักดันให้ประเทศไทยหลุดพ้นออกจากประเทศรายได้ปานกลางที่ประเทศไทยอยู่จุดนี้มาไม่น้อยกว่า 30 ปี

วันนี้รัฐบาลจะต้องดำเนินการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจทั้งหมด เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้ ผ่านการสร้าง New S-Curve ให้กับธุรกิจของประเทศไทย เช่น อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (Smart Electronics), การเกษตรขั้นสูงและเทคโนโลยีชีวภาพ (Advanced Agriculture and Biotechnology), เศรษฐกิจดิจิทัล, AI และหุ่นยนต์ (Digital Economy, AI, and Robotics) รวมถึงการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพ (Medical and Wellness Tourism) นี่คือสิ่งต่าง ๆ ที่รัฐบาลชุดนี้จะต้องสร้างระบบนิเวศน์เพื่อให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจริง
สส.บัญชีรายชื่อ รทสช. กล่าวว่า แต่งบประมาณที่รัฐบาลได้เสนอมา โดยเฉพาะในส่วนของแผนงานบูรณาการการพัฒนาอุตสาหกรรม และการบริการแห่งอนาคตกลับมีการปรับลดงลง จาก 8 พันล้านเหลือเพียงเกือบ 6 พันล้านเท่านั้น ดังนั้นรัฐบาลจะต้องจัดสรรงบประมาณให้เหมาะสมเพื่อฟื้นความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนที่ตอนนี้ชะลอการตัดสินใจ เพื่อรอจังหวะที่จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่ารัฐบาลกำลังจะทำอะไร
นายอนุชา เน้นย้ำว่า รัฐบาลจะต้องหยุดสะเปะสะปะ แต่ต้องโฟกัสว่าอะไรคือสิ่งที่จะทำ อะไรคือ New S-Curve ที่จะนำเสนอ เพื่อเป็นคำตอบที่ชัดเจนให้กับนักลงทุน และพร้อมจะขับเคลื่อนทุก ๆ องคาพยพทั้งภาครัฐและภาคเอกชน รวมทั้งการปรับปรุงกฎหมาย โดยจะต้องเร่งนำกฎหมายที่สามารถกระตุ้นการพัฒนาเศรษฐกิจ และสร้างข้อพิพาทในสังคมน้อยที่สุด ไม่ว่าจะเป็นกฎหมาย SEC ที่ตนได้เสนอ หรือกฎหมายพลังงานไฟฟ้าสงอาทิตย์ที่พรรครวมไทยสร้างชาติได้ร่วมกันเสนอ ซึ่งหากมีการผลักดันอย่างต่อเนื่องจะสามารถเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม และประเทศไทยจะสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งหากเริ่มตั้งแต่วันนี้ ต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ เราจะสามารถรับมือกับวิกฤติเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่ และได้รับผลกระทบน้อยที่สุดอย่างแน่นอน
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://thaitabloid.com/archives/221692&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw2OkwhIVIkI7nHiEHDj_AjS