ในช่วงที่ผ่านมา ทิศทางการลงทุนโลกดูสดใสขึ้น หลังจากที่จีนประสบความสำเร็จในการบรรลุข้อตกลงชั่วคราวกับสหรัฐฯ กรณีภาษีนำเข้า 110% เป็นเวลา 90 วัน ซึ่งช่วยฟื้นความเชื่อมั่นตลาดการเงิน แต่การยุติสงครามการค้าโลกยังห่างไกลจากความเป็นจริง ภาษีเฉลี่ยยังคงอยู่ในระดับสูง (39% สำหรับสหรัฐฯ และ 27% สำหรับจีน) และการเจรจากับอีก 88 ประเทศยังคงล่าช้าและเต็มไปด้วยอุปสรรค
สหรัฐฯ และจีนจำเป็นต้องลดระดับสงครามการค้าเนื่องจากสัญญาณเตือนที่ชัดเจนจากภาคการขนส่งทางทะเล โดยจำนวนเรือขนส่งตู้คอนเทนเนอร์จากจีนไปยังสหรัฐฯ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ การจองเรือขนส่งจากจีนลดลง 60% และปริมาณการนำเข้าที่ท่าเรือ LA ลดลง 35% สะท้อนการหดตัวของการค้าที่รุนแรง และส่งผลให้การส่งออกของจีนไปสหรัฐฯ ลดลง 21% ในเดือนล่าสุด
อย่างไรก็ตาม แม้จีนจะได้ข้อตกลงกับสหรัฐฯ แต่การเจรจากับประเทศอื่นๆ กลับล่าช้าและไม่แน่นอน สหรัฐฯ ตั้งเป้าลงนามข้อตกลง 90 ฉบับใน 90 วัน แต่จนถึงขณะนี้มีเพียงจีนและสหราชอาณาจักรที่บรรลุข้อตกลง ทีมของทรัมป์ให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจประมาณ 20 ประเทศ แต่ไม่มีประเทศใดได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ในระยะต่อไป การเจรจาการค้าเผชิญความท้าทาย 3 ประการ คือ
(1) ไม่มีประเทศใดรักษาความสนใจของสหรัฐฯ ได้นาน
(2) ประเทศที่สามต้องรักษาความสัมพันธ์กับทั้งสหรัฐฯ และจีน
(3) มีประเด็นเฉพาะที่คาดไม่ถึงในการเจรจาแต่ละคู่ เช่น ญี่ปุ่นถูกเรียกร้องให้เปิดเสรีตลาดข้าวซึ่งเป็นประเด็นอ่อนไหว
เมื่อพิจารณาว่าการเจรจาการค้าปกติใช้เวลาเฉลี่ย 18 เดือนถึงการตกลงและ 3 ปีครึ่งถึงขั้นปฏิบัติ เป้าหมายของทรัมป์ที่จะบรรลุข้อตกลง 90 ฉบับ ใน 90 วันจึงแทบเป็นไปไม่ได้ และมีความเสี่ยงที่สหรัฐฯ อาจ “เชือดไก่ให้ลิงดู” โดยเรียกเก็บภาษีสูงกับบางประเทศเพื่อแสดงความน่าเชื่อถือของคำขู่ ซึ่งไทยอาจเป็นหนึ่งในประเทศที่ถูกเลือกเป็นตัวอย่าง หากไม่มีข้อตกลงที่น่าสนใจและดึงดูดให้สหรัฐตกลงได้โดยเร็ว
ในฝั่งของสหรัฐ ความเสี่ยงภาคการคลังมีมากขึ้น หลังสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐ Moody’s Ratings ประกาศปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ จาก Aaa เป็น Aa1 เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2568 จากความกังวลเกี่ยวกับ
(1) การขาดดุลงบประมาณที่เพิ่มขึ้น (ปัจจุบันอยู่ที่ 2 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี หรือกว่า 6% ของ GDP และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 9% ภายในปี 2578)
(2) ภาระหนี้สาธารณะที่สูงเกินระดับ GDP (คาดการณ์จะถึง 107% ภายในปี 2572)
(3) อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นซึ่งเพิ่มต้นทุนการชำระหนี้
(4) แนวโน้มการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงเนื่องจากสงครามการค้า
การปรับลดอันดับครั้งนี้อาจทำให้สถานะความเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และดอลลาร์เริ่มถูกตั้งคำถามมากขึ้น ต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลสหรัฐฯ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น สร้างแรงกดดันเพิ่มเติมต่องบประมาณและอาจนำไปสู่วงจรอุบาทว์ที่ต้องกู้ยืมเพิ่มเติมเพื่อชำระดอกเบี้ย
ในส่วนของเศรษฐกิจจีนเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวชัดเจนในเดือนเมษายน สะท้อนแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และอุปสงค์ในประเทศที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์
แม้ภาพรวมผลผลิตภาคอุตสาหกรรมจะยังขยายตัวได้ในระดับ 6.1% แต่ก็เริ่มชะลอลง ขณะที่คำสั่งซื้อเริ่มอ่อนตัวลง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมหลักอย่างยานยนต์และแผงวงจรรวม ด้านยอดค้าปลีกขยายตัวต่ำกว่าคาด สะท้อนการฟื้นตัวที่ยังไม่ทั่วถึง ขณะที่การลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ยังหดตัวแรงที่ -10.3% ต่อเนื่องสะท้อนภาคอสังหาฯ ที่ยังไม่ฟื้นตัวและยังเป็นจุดอ่อนสำคัญของเศรษฐกิจจีน ทั้งนี้ เรามองว่าความเสี่ยงเศรษฐกิจจีนจะเริ่มเห็นเด่นชัดขึ้นในระยะต่อไป
ด้านเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1/2568 ขยายตัว 3.1% เท่าที่เราคาด โดยได้แรงหนุนสำคัญจากการเร่งส่งออกไปยังสหรัฐฯ ก่อนการมีผลบังคับใช้ของมาตรการภาษีนำเข้า ซึ่งถือเป็นปัจจัยชั่วคราว การส่งออกสินค้าและบริการขยายตัวแรงที่ 12.3% โดยเฉพาะหมวดอิเล็กทรอนิกส์และยางพารา แต่ระดับสินค้าคงคลังที่หดตัวรุนแรง และเป็นผลลบต่อ GDP ถึง -4.7% (percentage point) โดยสินค้าที่ลดลง ได้แก่ ข้าวเปลือก มันสำปะหลัง เครื่องประดับ คอมพิวเตอร์ บ่งชี้ว่าตัวเลขส่งออกที่ดีก่อนหน้า เป็นการส่งออกสินค้าคงคลังเป็นส่วนใหญ่
ในระยะต่อไป เรามองว่า แม้ GDP ในไตรมาสแรกจะออกมาดี แต่เราคาดว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีจะชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ โดย GDP รายไตรมาสคาดว่าจะลดลงต่อเนื่อง โดยอาจชะลอลงต่ำกว่า 2% และต่ำกว่า 1% ในไตรมาส 3 และเข้าใกล้ 0% หรืออาจติดลบในไตรมาสสุดท้ายของปี ผลจากการหมดแรงส่งจากปัจจัยชั่วคราวในไตรมาสแรก ขณะที่เครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจทั้ง การส่งออก การท่องเที่ยว และภาคเกษตร เริ่มแผ่วพร้อมกัน
ในสภาวะที่ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มผันผวนต่อเนื่อง คาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ 1000-1200 จุด เราแนะนำกลยุทธ์ “Selective Buy” ใน 4 ธีมหลัก ดังนี้
- หุ้น Earning Play ซึ่งโมเมนตัมกำไรยังเติบโตแข็งแกร่ง แนะนำ ADVANC TRUE BTG CPF CPALL
- หุ้นที่คาดเป็นเป้าหมาย ThaiESGX และกำไรเติบโตดี ฐานะการเงินแกร่ง จ่ายปันผลสม่ำเสมอ แนะนำ ADVANC BDMS CPALL PTT BCH BTG และ AP
- หุ้น SET50 ที่มี SETESG Rating A ขึ้นไป และมีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ (Div. Yield 5% ขึ้นไป) แนะนำ PTT KTB BBL HMPRO
- Trading Idea สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการเก็งกำไรสำหรับหุ้น Undervalued กำไรยังเติบโตได้ดี และมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง แนะนำ GULF MTC CBG AMATA BJC
ขณะเดียวกัน ควรหลีกเลี่ยงกลุ่มที่ได้รับผลกระทบทางตรงจากการส่งออกไปสหรัฐ (อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ ยาง สินค้าเกษตร เครื่องประดับ) และกลุ่มที่ได้รับผลกระทบทางอ้อม (นิคมอุตสาหกรรม ท่องเที่ยว ธนาคาร)
ขอให้นักลงทุนโชคดี
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.thairath.co.th/money/experts_pool/columnist/2860417&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw2GkmtiWL9xbBMtB0OWyXcA