‘รายใหญ่‘สะเทือนพิษเศรษฐกิจ ‘กสิกรไทย‘ชี้ธุรกิจค้างหนี้พุ่ง
29 พ.ค. 2025 เวลา 6:00 น.
“กสิกรไทย” ส่งสัญญาณพอร์ตสินเชื่อธุรกิจรายใหญ่ “อ่อนแอ” เพิ่ม หลังเริ่มเห็นกระแสเงินสดขาดมือ ค้างชำระหนี้พุ่ง สะท้อนภาวะเศรษฐกิจทรุดหนัก รับผลกระทบสงครามการค้า
- เปิดสถานการณ์ลูกหนี้จากมุมมองของ KBank พบไม่เพียงแค่ SME แต่ลูกหนี้รายย่อยและ ‘ธุรกิจรายใหญ่’ ก็เริ่มมีปัญหาจากสภาวะผันผวนทั่วโลก
- เริ่มเห็น “พอร์ตลูกหนี้” มีสัญญาณอ่อนแรงมากขึ้นจากพฤติกรรมชำระหนี้ผิดปกติ
- ส่งผล KBank ต้องเข้าไปดูแลลูกหนี้เชิงลึก เช่น การปรับโครงสร้างหนี้ ยืดระยะเวลาชำระหนี้ เช่นจาก 3 ปี เป็น 5 ปี
- รับการปล่อยสินเชื่อชะลอตัว แบงก์ยังอยู่ในโหมดระมัดระวัง ส่งผลสินเชื่อระบบธนาคารโดยรวมในช่วง 5 เดือนแรกชะลอตัว
- ยันยัง แม้ธนาคารยังไม่ปรับเป้าเติบโต โดยยังตั้งเป้าสินเชื่อ “ทรงตัว” เทียบกับปี 2567 และคาดว่า NPL จะต่ำกว่า 3.25%
สะท้อนตัวเลข “หนี้เสีย” หรือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของระบบธนาคารพาณิชย์ไทย (แบงก์) ที่ประกาศในไตรมาสแรกที่ผ่านมา ที่สัญญาณหนี้เสียเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง จาก 2.78% มาเป็น 2.9% หลักๆ หนี้เสียที่ปรับเพิ่มขึ้นจากสินเชื่อ “ธุรกิจเอสเอ็มอี” ที่ปรับเพิ่มขึ้นในเกือบทุกเซกเตอร์ และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เริ่มเห็นว่าหนี้เสียเริ่มไต่ระดับมาสู่ “กลุ่มรายได้สูง” มากขึ้น
สอดคล้องกับข้อมูล ปี 2566-2568 จากบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (บจ.) ที่กระแสเงินสดขาดมือ และส่งผลสะเทือนฐานะการเงินและความมั่งคั่งธุรกิจ อาทิ
- 1.บริษัท อาร์เอส (RS) ที่แจ้งการบริษัทผิดนัดชำระดอกเบี้ยและเงินกู้ยืมกับสถาบันการเงิน
- 2.บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD) ที่ธุรกิจมีผลขาดทุนสะสมสูง, มีหนี้สินสูง , ขาดสภาพคล่อง และมีหนี้สินระยะยาวถึงกำหนดชำระ
- 3.บริษัท จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น (JTS) แจ้งเงินไม่พอไถ่ถอนหุ้นกู้ , บมจ. ช.ทวี (CHO) มีการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้และดอกเบี้ย
- 4.บริษัท โคลเวอร์ เพาเวอร์ (CV) มีการแจ้งเหตุผิดนัดชำระหนี้ดอกเบี้ยหุ้นกู้หลายรุ่น
- 5.บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป (JKN) ที่ผิดนัดชำระสินเชื่อจากสถาบันการเงินและหุ้นกู้จนขอยื่นฟื้นฟูกิจการมาแล้ว
“กสิกรไทย” ชี้เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง
นายพิพิธ เอนกนิธิ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK กล่าวว่า จากสถานการณ์ความไม่แน่นอนความผันผวนที่เกิดขึ้นทั่วโลก ไม่เพียงแต่พอร์ตสินเชื่อเอสเอ็มอี พอร์ตลูกหนี้รายย่อยที่ได้รับผลกระทบ แต่กำลังลามถึง “ธุรกิจรายใหญ่” เริ่มเห็นปัญหามากขึ้นจากธุรกิจที่อ่อนแอลง โดยเริ่มเห็นอาการอ่อนแอลงมากของพอร์ตลูกหนี้จากบัญชีและการชำระหนี้ที่เริ่มผิดปกติมากขึ้น
ซึ่งสถานการณ์นี้ถือว่า “น่าห่วง” ทำให้ที่ผ่านมาธนาคารมีการเข้าไปซัพพอร์ตและช่วยเหลือลูกหนี้ต่อเนื่อง ทั้งการเรียกลูกค้ามาติดตามการช่วยลูกค้าปรับโครงสร้างหนี้ต่างๆ มากขึ้นก่อนที่จะเป็นหนี้เสีย รวมถึงการยืดการชำระหนี้ต่างๆ เช่น จาก 3 ปี เป็น 5 ปี ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่เห็นปัญหาต่อเนื่องถือว่ากระจายตัวอยู่ในหลายอุตสาหกรรม เพราะวันนี้มีทั้งธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอยู่แล้ว จากผลกระทบก่อนหน้านี้ หรือตั้งแต่โควิด-19 เช่นกลุ่มส่งออก กลุ่มสิ่งทอต่างๆ และหลังจากนี้กลุ่มนี้ยังต้องติดตามใกล้ชิด
ทั้งนี้เป็นผลกระทบจากสงครามการค้า เพราะวันนี้ภาคการส่งออกบางส่วนแม้จะยังขายได้แต่มาจากปัจจัยชั่วคราว จากการเร่งสั่งซื้อสินค้าก่อนมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐจะมีผลบังคับใช้ ดังนั้น หลังจากนี้กลุ่มเหล่านี้ต้องติดตามมากขึ้น
“ที่ผ่านมาเรามีการเข้าไปดูแลเชิงลึกมากขึ้น ทั้งดูว่า Cash Flow ธุรกิจเป็นอย่างไร เพราะเป็นวิธีเข้าไปช่วยลูกหนี้ได้ เพื่อแก้ปัญหาร่วมกันและปรับโครงสร้างต่างๆเท่าที่ธนาคารทำได้ ทำให้ที่ผ่านมาตัวหนี้เสียยังไม่ปรับเพิ่มขึ้นมาก เพราะเข้าไปช่วยเหลือลูกค้าต่อเนื่อง เพราะหน้าที่ของแบงก์ไม่ใช่แค่ยึดทรัพย์ แบงก์ไม่ใช่โจร แต่หน้าที่เราคือต้องคุยกันให้รู้เรื่อง ให้รอดไปด้วยกัน ไม่ใช่ตัดหางปล่อยวัด” นายพิพิธ กล่าว
สินเชื่อ 5 เดือนชะลอตัว
อย่างไรก็ตาม ในด้านการปล่อยสินเชื่อ ธนาคารก็ต้องมีการเข้มงวดมากขึ้น ต่อเนื่องมาตั้งแต่ทรัมป์ประกาศมาตรการภาษีนำเข้าแล้ว เหล่านี้ก็สะท้อนให้เห็นผ่านสินเชื่อของทั้งระบบการเงินที่ไม่ได้เติบโต และ 5 เดือนที่ผ่านมา ก็เห็นแล้วว่าสินเชื่ออ่อนแรงลงต่อเนื่อง ดังนั้นหากมองไปถึงสถานการณ์ในระยะข้างหน้ามองว่าตัวเลขสินเชื่อต่างๆก็น่าจะใกล้เคียงกัน ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน
ส่วนเป้าหมายการเติบโตของธนาคาร โดยรวมธนาคารยังไม่มีการปรับเป้าหมายทางการเงิน โดยเดิมคาดว่าสินเชื่อจะทรงตัว หากเทียบกับปี 2567 และด้านหนี้เสีย คาดว่าจะน้อยกว่า 3.25% โดยไตรมาสแรกที่ออกมาหนี้เสียอยู่ที่ 3.18%
ดังนั้น บริษัทขอดูความชัดเจน จากสงครามการค้า หลังจากผ่านพ้น 90 วันไปก่อน รวมถึงผลเจรจากับสหรัฐระหว่างไทยว่าจะเป็นอย่างไร ที่คาดว่าจะมีความชัดเจนได้ในกลางปี หลังจากนั้นธนาคารค่อยกลับมาทบทวนเป้าหมายการเติบโตต่างๆ อีกครั้ง ซึ่งหากสหรัฐยังยืนการเก็บภาษีนำเข้ากับประเทศไทยที่ 36% มองว่าธุรกิจและเศรษฐกิจไทยจะเหนื่อยมากขึ้น
“แบงก์ก็ระมัดระวังตัวเองต่อเนื่อง ระวังมานานแล้วในการปล่อยสินเชื่อ เพราะสถานการณ์โลกขณะนี้แย่ลง ลูกค้าเราก็แย่ลง ไม่มีใครมาขอสินเชื่อเพิ่ม ไม่ใช่ว่าแบงก์ไม่อยากให้สินเชื่อ แต่สถานการณ์วันนี้มันไม่เอื้อ ดังนั้น ท่ามกลางปัญหาต่างๆ ในมุมแบงก์วันนี้ต้องเปลี่ยนจากการเป็นเจ้าหนี้ไปสู่การหารายได้อื่นมากขึ้น ทั้งการไป Synergy ระหว่างธุรกิจในกลุ่ม การลงทุนในกองทุนต่างประเทศต่างๆ” นายพิพิธ
“กัลฟ์”ซื้อ “หุ้นกสิกร” เพิ่มสอดคล้องธุรกิจโต
สำหรับกรณีของ บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ที่มีการเข้ามาซื้อหุ้นธนาคารกสิกรไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่วนนี้มองว่ากสิกรไทยถือเป็นพาร์ตหนึ่งของตลาดทุน ดังนั้น ในด้านการลงทุนคงไม่สามารถห้ามใครให้เข้ามาซื้อหุ้นธนาคารไม่ได้ และจากการที่ธนาคารกสิกรไทยมีการพบปะนักลงทุนทั่วโลก
ดังนั้น หากถามว่าจุดดึงดูดที่ทำให้นักลงทุนเข้ามาลงทุน ซึ่งเป็นหลักการทั่วไปที่นักลงทุนใช้หลักในการเข้ามาลงทุนบริษัทต่างๆ สิ่งแรกๆ คือต้องดูจาก ผลประกอบการว่าดีหรือไม่
“เราห้ามใครซื้อหุ้นไม่ได้ จะห้ามสิงคโปร์ ห้ามสหรัฐ ห้ามอังกฤษเข้ามาซื้อหุ้นได้หรือไม่ ไม่ได้ เพราะเราเองก็เป็นส่วนหนึ่งของกลไกตลาดทุน หากบริษัทสามารถทำผลประกอบการได้ดี นักลงทุนก็ต้องสนใจมากขึ้นเป็นธรรมดา และเราก็เดินทางไปโรดโชว์ทั่วโลกที่ผ่านมาก็เป็นปกติที่นักลงทุนจะรู้จักเรา” นายพิพิธ
“กสิกรไทย”ปรับเป้าสินเชื่อยั่งยืนเกิน2แสนล้าน
นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KBANK กล่าวว่า ล่าสุดธนาคารกสิกรไทยจัดฟอรัมครั้งแห่งใหญ่ “EARTH JUMP 2525” Transition thru turbulence ภายใต้ธีมของงานคือ “Transition” ภาพที่เห็นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นและกำลังจะเกิดขึ้นในโลกใบนี้ มันคือความแปรปรวนจากหลายด้าน เป็นทั้งความท้าทายและแรงกดดันในหลากหลายรูปแบบ
ทั้งนี้หนึ่งในนั้นคือมาตรการทางการค้าจากประเทศต่างๆ โดยเฉพาะสหรัฐ ความขัดแย้งระหว่างรัฐ เศรษฐกิจโลกชะลอตัว การค้าโลกตกต่ำ ซึ่งล้วนกระทบประเทศไทย
รวมทั้งการเข้ามาของ AI เทคโนโลยีดิสรับชัน โรคระบาด และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นำไปสู่ภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว ไฟป่า อุณหภูมิที่แปรปรวน บางอย่างเราควบคุมได้ บางอย่างเราควบคุมไม่ได้ ทำให้หลายคนรู้สึกใจมากขึ้น เสมือนอยู่ใน “นรก”
ดังนั้น ทางเลือกเดียวคือต้องเดินหน้าเพื่อหาทางออก การหยุดนิ่งไม่ใช่คำตอบ ดังนั้น เราต้องเดินต่อ และต้อง “เดินให้เร็ว” หลังจากนี้
โดยภายใต้ธีม EARTH JUMP มองว่า มี 3 เรื่องที่สำคัญ ที่เกี่ยวเนื่องกับความยั่งยืน ด้านแรก Health Check การตรวจสุขภาพของตัวเองและองค์กร
ทั้งนี้หากดูปี 2567 ที่ผ่านมา Operation ของธนาคารปล่อยก๊าซเรือนกระจก 72,000 ตัน และผ่านสินเชื่อที่ธนาคารให้กับลูกค้าเพื่อใช้ในการผลิตสินค้าและบริการอีก 48 ล้านตัน ด้านสินเชื่อเราพบว่าเกิดการปล่อยมากกว่า 680 เท่า ฉะนั้น “การเปลี่ยน” จึงไม่ใช่แค่ตัวธนาคาร แต่ต้องช่วยให้ลูกค้าเปลี่ยนผ่านไปสู่ Net Zero ให้ได้
ด้านที่สองคือ Commitment ความมุ่งมั่นและเป้าหมาย โดยธนาคารกสิกรไทย ตั้งเป้าว่า Operation ของธนาคารจะเป็น Net Zero ภายในปี 2030 และ Loan Portfolio จะสอดคล้องกับเป้าหมายประเทศ โดยตั้งงบสนับสนุนการปล่อยกู้และลงทุนเพื่อการเปลี่ยนผ่านไว้ที่ 1-2 แสนล้านบาท ปัจจุบันธนาคารปล่อยสินเชื่อที่เกี่ยวกับความยั่งยืนไปแล้ว 1.5 แสนล้านบาท ที่เป็น Green Loan ล้วนๆ ดังนั้นหากความต้องการสินเชื่อมากขึ้นในระยะข้างหน้าธนาคารก็พร้อมปรับเป้าเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต
ด้านสุดท้ายคือ Solution วิธีการเปลี่ยนผ่านให้สำเร็จ จากการที่ธนาคารเราลงมือทำแล้ว เช่น ติดโซลาร์รูฟท็อป เปลี่ยนมาใช้รถ EV ลดการใช้กระดาษ และเรามั่นใจว่าในปี 2030 เราจะ Net Zero ดังนั้นเป้าหมายของธนาคารไม่เพียงแค่เป็นผู้ปล่อยสินเชื่อเท่านั้น แต่ธนาคารต้องการสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่ครบเครื่อง ภายใต้แนวคิด KBank’s Climate Solutions
สุดท้ายแล้วธนาคารคาดหวังว่า EARTH JUIMP 2525 จะช่วยให้ทุกคนผ่านความแปรปรวน ผ่านพายุนี้ไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะคงไม่ใครควบคุมพายุหรือความเปลี่ยนแปลงได้ แต่ใช้ความรู้และเครื่องมือที่มีเพื่อคาดการณ์ บริหาร และจัดการเพื่อก้าวผ่าน
จับตาไทยอยู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ
นายพิพิธ กล่าวว่า ขณะนี้ไทยเป็นช่วง “หัวเลี้ยวหัวต่อ” ทั้งจากแรงกดดันสงครามการค้า การเกิดขึ้นของพันธมิตรใหม่ และความท้าทายด้านภูมิอากาศ วันนี้โลกไม่ได้เผชิญแค่สงครามการค้า แต่คือการรีเซตกติกาใหม่ที่เราอาจกลายเป็นผู้ชนะได้ ถ้ารู้จักเล่นเกมอย่างชาญฉลาดภายใต้โลกใหม่ คือ การขับเคลื่อนด้วย Green Transition โดยเฉพาะการลงทุน Green Tech, Green Finance และ Green Governance เพราะหากเราไม่เริ่มก้าวเราอาจไม่ใช่แค่ตกขบวน แต่จะไม่มีที่ยืนในระบบเศรษฐกิจโลกใหม่
สำหรับการปล่อยสินเชื่อเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่าน (Transition Financing) ของกสิกรไทยล่าสุดอยู่ที่ 1.5 แสนล้านบาท และคาดว่าการปล่อยสินเชื่อเพื่อความยั่งยืนจะแตะ 2 แสนล้านบาทได้ในปลายปีนี้ ดังนั้นธนาคารเตรียมเพิ่มการปล่อยสินเชื่อเพื่อความยั่งยืนมากขึ้น โดยอิงการประกาศแผนลดคาร์บอนระดับประเทศหรือ NDC 3.0 (Nationally Determined Contribution) ที่จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญทั้งต่อภาคการเงิน อุตสาหกรรม และนโยบายสาธารณะของประเทศ
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของธนาคารในช่วงที่ผ่านมาที่ธนาคารโฟกัสและเร่งให้เกิดการเปลี่ยนผ่านมากขึ้น ทั้ง กลุ่มพลังงานและถ่านหิน น้ำมันและก๊าซ ซีเมนต์ อุตสาหกรรมที่ควบคุมการปล่อยมลพิษ และระยะข้างหน้าจะโฟกัสอีก 2 กลุ่ม คือ อะลูมิเนียมและกลุ่มยานยนต์
“จะทยอยต่อจิ๊กซอว์ให้ครบทั้ง supply side และ demand side แล้วจึงวางแผนปล่อยสินเชื่อให้สอดคล้องกับศักยภาพของลูกค้าในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม ที่ผ่านมาประเทศไทยในอดีตมักเป็นผู้ตามกติกาโลกและมักเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่ในครั้งนี้หากสามารถพลิกบทบาทจากผู้ตามเป็นผู้ออกแบบผ่านการสร้างกลไกการเงินใหม่ มีโอกาสจะเปลี่ยนสถานะเป็นผู้ชนะได้ในเกมโลกยุค Green Transition”
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1182386&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw1IKGNc6n_azwkqGDs2Cq_F