26 พ.ค. 2025 เวลา 6:00 น.
‘พิชัย’ ดันปรับโครงสร้างดันเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของรัฐบาลอีก 2 ปี เศษ หวังเพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน จัดงบ 3 ปี 68-70 หนุนปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ชี้ 5 โจทย์ใหญ่ประเทศ
- ‘พิชัย’ กางแผนดันเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของรัฐบาลอีก 2 ปี เศษ หวังเพิ่มขีดความสามารถแข่งขันประเทศ
- จัดงบ 3 ปี 68-70 หนุนปรับโครงสร้างเศรษฐกิจต่อเนื่อง
- ชี้ 5 โจทย์ใหญ่ประเทศ ปรับโครงสร้างภาคการผลิต พลิกโฉมภาคเกษตรกรรม ยกระดับภาคท่องเที่ยว เร่งโครงสร้างพื้นฐานน้ำ-คมนาคม พร้อมพัฒนาคนรับความท้าทายโลกใหม่
- ระยะสั้นเกลี่ยงบฯ 68 วงเงิน 1.57 แสนล้าน รับมือผลกระทบทรัมป์
เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความท้าทายครั้งสำคัญจากปัจจัยภายนอกที่มาจากการปรับขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ของสหรัฐที่ทำให้เศรษฐกิจไทยในปี 2568 มีความเสี่ยงที่จะขยายตัวได้ต่ำกว่า 2% อีกปี ทำให้รัฐบาลตัดสินใจปรับแผนกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 ควบคู่การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยเพื่อแก้ปัญหาที่ฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจมานานหลายทศวรรษ
พรรคเพื่อไทยเข้ามาจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศต่อเนื่องมาเกือบ 2 ปี ผ่านรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ในเดือน ส.ค.2566 และต่อเนื่องถึงรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ตั้งแต่เดือน ส.ค.2567 โดยอายุของรัฐบาลเหลือเวลาประมาณ 2 ปี หลังจากสภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบันจะครบวาระในเดือน พ.ค.2570
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ “กรุงเทพธุรกิจ” โดยฉายภาพถึงทิศทางและบทบาทสำคัญของนโยบายการคลังที่จะมีบทบาทสำคัญเป็นเสมือน “พระเอก” ในการขับเคลื่อนให้ไทยให้กลับมาเติบโตได้อย่างยั่งยืน รวมทั้งช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม
นายพิชัย กล่าวว่า หัวใจหลักของการแก้ปัญหาประเทศและสร้างความยั่งยืนในระยะยาว คือการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้กลับมาเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งจะนำมาซึ่งความมั่งคั่งทางการเงินทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ หากเศรษฐกิจขยายตัวได้ดีประชาชนมีความมั่งคั่งจะส่งผ่านมาที่รัฐบาลเพิ่มฐานการจัดเก็บภาษี และลดสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อขนาดเศรษฐกิจได้
“ในสมัยปี 2557 หนี้สาธารณะต่อ GDP อยู่ที่ 40% แต่วันนี้ขยับเพิ่มขึ้นมาเป็น 60% หรือ 12 ล้านล้านบาท แต่ถ้าหาก GDP โตได้ 5-6% หนี้จำนวนนี้ที่ดูเหมือนเยอะก็จะกลายเป็นเล็กลง”
นายพิชัย กล่าวว่า การมองว่าหนี้เยอะหรือน้อยอยู่ที่ความสามารถการชำระหนี้ หากรัฐบาลมีรายได้มากกว่ารายจ่าย หรือทำให้เศรษฐกิจดีได้ หนี้สาธารณะก็ไม่ใช่สาระสำคัญ อย่างไรก็ตามยอมรับว่าวันนี้อัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทยมีศักยภาพที่ต่ำลงเมื่อเทียบประเทศเพื่อนบ้าน
ทั้งนี้ แม้ว่าในปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยจะเริ่มเห็นสัญญาณขยายตัวดีขึ้นอยู่ที่ 2.5% ซึ่งรัฐบาลคาดหวังรักษาโมเมนตัมให้ปี 2568 เติบโตต่อเนื่องที่ 3.0-3.5% ผนวกกับการดำเนินมาตรการการเงินควบคู่ไปด้วย ให้เงินเฟ้ออยู่ที่ค่ากลาง 1.5% ก็จะทำให้รัฐบาลมีพื้นที่การคลังเพิ่มขึ้นในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม ด้วยปัญหาความผันผวนจากปัจจัยภายนอก ทั้งเรื่องความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ และสงครามการค้า เวลานี้ ทุกประเทศมีปัญหาการส่งออกเมื่อสหรัฐประกาศมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกติกาการค้าโลกซึ่งสู่การเจรจาแบบพหุภาคี
ดังนั้น ไทยจึงต้องวางแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจ ใหม่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยคำนึงถึงผู้ที่ได้รับผลกระทบ ทั้งผู้ส่งออก ผู้ผลิตในซัพพลายเชนและแรงงาน ที่มีความต้องการให้นโยบายการคลังและนโยบายการเงินเข้าไปช่วยเหลือ
“หากไม่เปลี่ยนแปลง โจทย์เดิมมองว่า GDP ปีนี้โตได้ถึง 3% และจะรักษาโมเมนตัมด้วยการเติมเม็ดเงินเข้าสู่ระบบโดยตรงผ่านการบริโภค ซึ่งดำเนินการไปแล้วแสนกว่าล้านสำหรับกลุ่มเปราะบาง แต่วันนี้โจทย์เปลี่ยนไปวิธีการกระตุ้นเศรษฐกิจต้องเปลี่ยนให้เหมาะสม”
จัดงบ 3 ปีหนุนปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
นายพิชัย กล่าวว่า มาตรการทางการคลังเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แม้ช่องว่างทางการคลัง (Fiscal Space) ลดลงกว่าอดีต แต่รัฐบาลมีความสามารถในการใช้จ่าย โดยพิจารณาจัดสรรงบประมาณปี 2568 วงเงิน 1.57 แสนล้านบาท ที่ต้องวางแผนการใช้เพื่อเกิดการจ้างงาน แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างและเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งต่างจากเดิมที่เน้นการเติมเงินเข้าสู่ระบบเพื่อกระตุ้นการบริโภคโดยตรง
“แม้จะมีงบประมาณเหลืออยู่ แต่ก็ยังไม่เพียงพอ จึงจะมีการพิจารณางบประมาณในปี 2569 ที่อยู่ในระหว่างขั้นตอนการเสนอต่อสภาฯ ว่าจะสามารถปรับได้เพียงใด รวมทั้งในปี 2570 ที่จะต้องตั้งงบประมาณให้สอดคล้องและต่อเนื่องกัน”
นอกจากนี้การขาดดุลงบประมาณสามารถช่วยเร่งการเติบโตของเศรษฐกิจได้ ซึ่งปัจจุบันไทยตั้งงบประมาณขาดดุล 4% ของ GDP โดยระดับที่เหมาะสมตามเกณฑ์ธนาคารโลก 3.25% ของ GDP ซึ่งเป้าหมายรัฐบาลต้องการให้ขาดดุลน้อยลง โดยไม่ลดการใช้เงินแต่เป็นการทำให้เศรษฐกิจโตขึ้น
5โจทย์ใหญ่ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ การสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนนั้น ไทยต้องปรับเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่หลายส่วน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน ซึ่งหากแก้ปัญหานี้ได้ประสบความสำเร็จเป็นการแก้ปัญหาทางการคลังไปพร้อมกัน ประกอบด้วย 5 ข้อ ได้แก่
1.การเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตซึ่งปัจจุบันนี้ภาคอุตสาหกรรมไทยยังไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ส่วนใหญ่เป็นการผลิตสินค้ายุคเก่าไม่ว่าจะเป็นรถยนต์สันดาป และยังไม่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เท่าที่ควร
ดังนั้น ต้องสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านและดึงการลงทุน “อุตสาหกรรมแห่งอนาคต” มากขึ้น อาทิ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เทคโนโลยีดิจิทัล เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) และพลังงานสีเขียว
โดยเฉพาะช่วงเกิดเทรนด์ย้ายฐานผลิตควรเร่งดึงนักลงทุนต่างชาติมาลงทุนกลุ่มดังกล่าว ซึ่งจะปรับปรุงข้อกฎหมายให้เอื้อการลงทุนมากขึ้น เช่น การปรับแก้กฎหมายทรัพย์อิงสิทธิ์ที่ให้ต่างชาติที่เข้ามาลงทุนสามารถเช่าที่ดินระยะยาวเพื่อการลงทุนได้
2.การพลิกโฉมภาคเกษตรกรรม ในปัจจุบันภาคเศรษฐกิจนี้ใช้ทรัพยากรมากทั้งคน 30 ล้านคน และพื้นที่คิดเป็น 1 ใน 3 ของประเทศ แต่มีผลต่อเศรษฐกิจเพียง 8% ทั้งยังมีปัญหาต้นทุนสูง ผลผลิตต่ำ ซึ่งทำให้แข่งขันในตลาดส่งออกยากขึ้น โดยต้องลดต้นทุนการผลิตและเพิ่ม Productivity
สำหรับโจทย์ที่ต้องกลับมาคิด คือ การจัดสรรพื้นที่ปลูกพืชเศรษฐกิจใหม่เพื่อส่งเสริมการปลูกพืชที่สร้างมูลค่าเพิ่ม รวมทั้งการลงทุนปรับปรุงการบริหารจัดการน้ำที่จะใช้เพื่อการบริโภค เกษตรและอุตสาหกรรม ประกอบกับการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ให้มีต้นทุนต่ำลง
3.การยกระดับภาคการท่องเที่ยวแม้ยอดนักท่องเที่ยวจะสูงแต่พฤติกรรมเปลี่ยนไป เน้นการใช้จ่ายน้อยลงและอยู่สั้นลง จึงต้องแก้ไขเชิงโครงสร้าง เช่น การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานสนามบิน การเชื่อมต่อการเดินทาง การสร้าง Event และ Destination ใหม่ และปรับรูปแบบการให้บริการที่พัก อาหาร ความสะดวก ความสะอาดและความปลอดภัยให้สอดรับกับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไป
4.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้านการบริหารจัดการน้ำและการคมนาคม โดยการบริหารจัดการน้ำเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องทำต่อเนื่องเพื่อรองรับการบริโภค เกษตรกรรมและอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ซึ่งคาดว่าน้ำอาจขาดแคลนในอนาคต เช่นเดียวกับการปรับปรุงระบบโลจิสติกส์ที่ต้องเร่งก่อสร้างรถไฟทางคู่และรถไฟความเร็วสูง เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่ง
5.การพัฒนาคุณภาพคน ซึ่งถือสิ่งสำคัญคือการพัฒนาทักษะของบุคลากรให้มีศักยภาพรองรับความต้องการของอุตสาหกรรมสมัยใหม่ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันประเทศ
นอกจากนี้การปรับโครงสร้างหนี้ให้ประชาชนนั้น กระทรวงการคลังยังดำเนินการต่อเนื่อง โดยเตรียมมาตรการดูแลหนี้ให้ประชาชนที่มีมูลหนี้จำนวนน้อยมาก ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาเครดิตบูโรของลูกหนี้ได้หลายล้านราย
หวังการคลังลดความเหลื่อมล้ำ
นายพิชัย กล่าวว่า ความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจเป็นปัญหาสำคัญที่ขยายตัวมากขึ้น ซึ่งนโยบายการคลังเข้ามาช่วยได้ โดยรัฐบาลจะทำหน้าที่เป็นคนกลางรับรายได้จากคนรายได้สูงผ่านระบบภาษีแล้วส่งกลับไปให้คนรายได้น้อยอาจทำในรูปแบบการช่วยเหลือโดยตรงหรือลดค่าใช้จ่ายที่จำเป็น เช่น การเรียนฟรี หรือการขนส่งสาธารณะราคาถูก
นอกจากนี้ ประเด็นสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยคาร์บอน ซึ่งในอนาคตที่จะกำหนดมาตรฐาน Carbon Footprint สำหรับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และพัฒนาระบบ Carbon Credit และไม่เพียงแต่สร้างแรงจูงใจลดมลพิษแต่สร้างอาชีพใหม่อีกด้วย
นายพิชัย ย้ำว่า นอกเหนือจากมาตรการทางเศรษฐกิจ การคลังและสังคมแล้ว “ความสามัคคีของคนในชาติถือเป็นกุญแจสำคัญ” ในการร่วมกันแก้ไขปัญหาและนำพาประเทศไปสู่ทิศทางที่ถูกต้อง นอกจากนี้ นโยบายการคลังและนโยบายการเงินควรทำงานร่วมกันอย่างสอดประสานเพื่อสนับสนุนการเติบโตของประเทศอย่างยั่งยืน
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1181841&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw3cPmL-U4A0V6tvwShClQye