สัปดาห์นี้เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสัปดาห์ที่ตลาดการเงินและผู้วิเคราะห์ทั่วโลกต่างจับตาทุกฝีก้าวของข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญที่พร้อมจะเปิดเผยอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ฝั่งสหรัฐฯ จนถึงเอเชียและยุโรป โดยหนึ่งในประเด็นที่อยู่ในโฟกัสคือความไม่แน่นอนจากมาตรการภาษีนำเข้าที่สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อทั้งเงินเฟ้อและแนวโน้มดอกเบี้ยในหลายประเทศ
เริ่มต้นที่ฝั่งสหรัฐฯ สัปดาห์นี้จะมีการเผยแพร่ตัวเลข GDP ไตรมาสแรก (ตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2) ซึ่งก่อนหน้านี้เคยช็อกตลาดด้วยตัวเลขที่หดตัว 0.3% ในอัตราปีต่อปี แม้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่าตัวเลขดังกล่าวอาจประเมินต่ำเกินไป แต่ก็เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังชะลอตัวลง ขณะเดียวกันแรงกดดันด้านราคากลับเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่ากังวล โดยเฉพาะตัวชี้วัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ให้ความสำคัญอย่าง Core PCE Price Index ซึ่งเตรียมจะได้รับการอัปเดตในสัปดาห์นี้เช่นกัน
ข้อมูลดัชนี PMI ของสหรัฐฯ ที่ออกมาก่อนหน้านี้ชี้ให้เห็นว่าความเชื่อมั่นทางธุรกิจและการเติบโตในเดือนพฤษภาคมกระเตื้องขึ้นจากระดับต่ำสุดในเดือนเมษายน แต่ทั้งสองตัวชี้วัดยังอยู่ในระดับที่ถือว่าซบเซาเมื่อเทียบกับเกณฑ์ปกติ ซึ่งสะท้อนว่า GDP ไตรมาส 2 ของสหรัฐฯ ณ ตอนนี้อาจเติบโตเพียง 1% ต่อปี ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวอย่างมาก
นอกจากนี้ การส่งออกสินค้าและบริการของสหรัฐฯ ยังหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่สอง โดยเฉพาะภาคบริการที่รวมถึงการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติในสหรัฐฯ ลดลงในอัตราที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ช่วงล็อกดาวน์โควิด ด้านข้อมูลการค้า (Goods Trade) ของสหรัฐฯ ก็เตรียมจะได้รับการอัปเดตในสัปดาห์นี้ด้วยเช่นกัน
สิ่งที่สร้างแรงสั่นสะเทือนเพิ่มเติมคือความวิตกเกี่ยวกับทาร์ิฟที่ส่งผลให้ภาคการผลิตสหรัฐฯ ต้องเร่งกักตุนวัตถุดิบในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ตามดัชนี PMI ของ S&P Global ที่ระบุว่าเกิดการสะสมสินค้าคงคลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันราคาสินค้าและวัตถุดิบก็พุ่งขึ้นในระดับที่ไม่เคยเห็นมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2022 ทำให้มีความเสี่ยงสูงที่อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ จะกลับมาพุ่งแรงสวนทางกับแนวโน้มของกลุ่มประเทศ G4 อื่นๆ ที่ราคาเริ่มผ่อนคลายลงในเดือนพฤษภาคม
ข้อมูลเหล่านี้สนับสนุนมุมมองของนักวิเคราะห์จาก S&P Global Market Intelligence ที่ประเมินว่า Fed อาจยังไม่รีบปรับลดดอกเบี้ยจนกว่าจะถึงช่วงปลายปี โดยคาดว่าการลดดอกเบี้ยครั้งต่อไปอาจเกิดขึ้นในเดือนธันวาคม อย่างไรก็ดี บันทึกการประชุม FOMC รอบล่าสุดเมื่อวันที่ 6-7 พฤษภาคม ที่เตรียมเผยแพร่ในสัปดาห์นี้ จะช่วยให้ตลาดเข้าใจมุมมองของ Fed มากขึ้น รวมถึงคำกล่าวของเจ้าหน้าที่ Fed ที่จะมีออกมาต่อเนื่องตลอดสัปดาห์
ขณะเดียวกัน ประเทศเศรษฐกิจหลักอื่นๆ ก็มีความเคลื่อนไหวสำคัญเช่นกัน โดยในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ธนาคารกลางของนิวซีแลนด์และเกาหลีใต้จะประชุมเพื่อตัดสินใจอัตราดอกเบี้ย ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ว่าทั้งสองประเทศอาจเริ่มลดดอกเบี้ยเพื่อตอบรับกับผลกระทบจากทาร์ิฟและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
จีนแผ่นดินใหญ่จะมีการเผยแพร่ดัชนี PMI จากสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) ซึ่งนักวิเคราะห์ทั่วโลกต่างรอลุ้นว่าจะสะท้อนผลกระทบของสงครามภาษีต่อภาคการผลิตของจีนอย่างไร ขณะที่ญี่ปุ่นจะเปิดเผยตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภค อัตราว่างงาน ยอดค้าปลีก และผลผลิตภาคอุตสาหกรรม รวมถึง GDP ของอินเดีย และดัชนีราคาผู้บริโภคของออสเตรเลียก็เป็นอีกหนึ่งชุดข้อมูลที่ตลาดจับตาอย่างใกล้ชิด
ในฝั่งยุโรป สถานการณ์เงินเฟ้อในกลุ่มประเทศหลัก ได้แก่ ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน และเยอรมนี จะได้รับการอัปเดต ซึ่งจากข้อมูล PMI ล่าสุดระบุว่าฝรั่งเศสเริ่มเห็นราคาสินค้าลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน และลดลงในอัตราที่เร็วที่สุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2021 ขณะที่เงินเฟ้อจากราคาขายในเยอรมนีก็เริ่มอ่อนตัวลงเช่นกัน
นอกจากนี้ ข้อมูลความเชื่อมั่นผู้บริโภคจาก GfK ของเยอรมนีก็จะถูกจับตาอย่างใกล้ชิด หลังจากดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ (PMI Future Output Index) ล่าสุดของยูโรโซนชี้ว่าความหวังของภาคธุรกิจเริ่มฟื้นตัวเล็กน้อย แม้ยังอยู่ในระดับต่ำก็ตาม
ท้ายที่สุด แคนาดาจะเผย GDP ไตรมาสแรกในช่วงสิ้นสัปดาห์ โดย PMI ชี้ว่าการเติบโตเฉลี่ยในไตรมาส 1 อยู่ในระดับอ่อนแอที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2023 สอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาดที่มองว่าเศรษฐกิจแคนาดาอาจเติบโตเพียงเล็กน้อยหรือแทบไม่ขยับเลย
ทั้งหมดนี้ทำให้สัปดาห์ข้างหน้าเป็นช่วงเวลาที่ทั้งนักลงทุน นักวิเคราะห์ และผู้กำหนดนโยบายทั่วโลกจะต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะข้อมูลเหล่านี้ไม่เพียงสะท้อนสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังสามารถกำหนดทิศทางของอัตราดอกเบี้ย เงินเฟ้อ และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่โลกกำลังต้องรับมือกับแรงกดดันจากสงครามภาษีและห่วงโซ่อุปทานที่สั่นคลอนอีกครั้ง
อ้างอิง : S&P Global
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.thansettakij.com/world/628492&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw1XogLiengFZXHOUZFC9427