นายผยง ศรีวนิช ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคออกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. โดยเปิดเผยผลการประชุมประจำเดือนมิถุนายน 2568 ว่า กกร. ประเมินว่า เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลง และมีความไม่แน่นอนสูงขึ้น หลังมาตรการภาษีของรัฐบาลสหรัฐฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาทางกฎหมาย และล่าสุด รัฐบาลสหรัฐฯ ได้เพิ่มภาษี sectoral tariff เหล็กและอะลูมิเนียมจาก 25% เป็น 50% ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศที่ส่งออกเหล็กไปสหรัฐฯในสัดส่วนที่ค่อนข้างมาก

อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน สหราชอาณาจักร และสหภาพยุโรป มีส่วนช่วยลดความตึงเครียดของสงครามการค้าในระดับหนึ่ง สำหรับไทย กกร. อยากเสนอให้รัฐบาล เร่งหากำหนดการเจรจาที่ชัดเจน เพราะเหลือเวลาอีกเพียง 36 วันเท่านั้น โดยระยะเวลาผ่อนปรนภาษี 90 วันของสหรัฐฯ จะสิ้นสุดลงในวันที่ 8 ก.ค. ซึ่ง กกร. มองว่า ขณะนี้ ไทยอาจกำลังรอ สหรัฐเสนอวันเพื่อนัดเจราอย่างเป็นทางการ อย่างไรตาม ไทยต้องจับตาการเจรจาของประเทศคู่แข่งอื่นๆ เช่น เวียดนาม ว่าได้ข้อเสนอที่ไทยอาจจะเสียเปรียบหรือไม่ เพราะหากประเทศคู่แข่งได้ดีลที่ดีกว่า ก็อาจส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจของไทยได้ในระยะยาว เช่น การนำเข้าสินค้าจากไทยจะลดลง / การลงทุนลดลง
ขณะที่ แรงส่งของเศรษฐกิจไทยแผ่วลง จากตัวเลขเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ขยายตัวที่ 3.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัจจัยชั่วคราวตามการลงทุนภาครัฐซึ่งเทียบกับฐานต่ำในปีก่อน หากไม่นับปัจจัยดังกล่าวเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ประมาณ 2.1% เท่านั้น โดยการบริโภคภาคเอกชนชะลอลง ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนหดตัวต่อเนื่อง และจำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลง ด้านการส่งออกสินค้าแม้จะขยายตัวสูงกว่า 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามการเร่งส่งออกแต่กลับไม่ได้ส่งผลบวกต่อภาคการผลิต ซึ่งขยายตัวเพียง 0.6% โดยส่วนใหญ่เป็นการส่งออกโดยใช้สินค้าคงคลังและผู้ประกอบการไม่ได้ผลิตเพื่อทดแทนสินค้าคงคลังที่ลดลง
นอกจากนี้ กกร. ยังได้ปรับการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 ด้วยว่า เศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ครั้งก่อน โดยคาดว่าจะเติบโตได้ที่ 1.5-2.0% จากเดิมคาดว่าจะโต 2.0-2.2% ตามการส่งออกสินค้าและการลงทุนภาคเอกชนที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงในครึ่งปีหลัง
นายผยง ระบุด้วยว่า การที่เศรษฐกิจจะเติบโตได้ที่ 2.0% นั้น จำเป็นต้องมีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มุ่งเป้า และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเร่งรัดการใช้จ่ายภาครัฐให้ได้อย่างน้อย 70% ของวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท นอกจากนี้ยังต้องเร่งขยายตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกล (Long-haul) ซึ่งตั้งแต่ต้นปีขยายตัวราว 17% เพื่อทดแทนนักท่องเที่ยวจากจีนที่ลดลงและสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว
อย่างไรก็ตามแม้ กกร. คาดว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เศรษฐกิจจะขยายตัวใกล้เคียง 3.0% แต่ครึ่งหลังมีแนวโน้มที่จะขยายตัวไม่ถึง 1% โดยขึ้นอยู่กับผลการเจรจาภาษีระหว่างสหรัฐฯ และไทย เทียบกับประเทศคู่แข่ง ตลอดจนแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งอาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อธุรกิจและการจ้างงาน ดังนั้นมาตรการภาครัฐที่ปัจจุบันเป็นมาตรการระยะสั้น จึงควรมองต่อเนื่องทั้งมาตรการระยะกลางและระยะยาวเพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างต่อเนื่อง
และจากการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจของไทยในช่วงครึ่งปีหลังที่คาดว่าจะลดลง นายผยง ได้กล่าวว่า กกร. จึงมีความกังวลต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย ดังนั้นเพื่อเป็นมาตรการลดภาระให้กับผู้ประกอบการไทยกกร. จึงเสนอให้ภาครัฐพิจารณาปรับลดวงเงินประกันการใช้ไฟฟ้าสำหรับผู้ประกอบการประเภทที่ 3 กิจการขนาดกลาง ประเภทที่ 4 กิจการขนาดใหญ่ และประเภทที่ 5 กิจการเฉพาะอย่าง กิจการโรงแรมและให้เช่าพักอาศัย ที่ปัจจุบันมีการวางเงินประกันการใช้ไฟฟ้ารวมกว่า 3 หมื่นล้านบาท โดยขอให้ปรับลดวงเงินประกันฯ ให้เหลือ 0.5 เท่า สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีการชำระค่าไฟฟ้าตามกำหนด โดย กกร. คาดว่า การปรับลดวงเงินประกันดังกล่าวจะมีส่วนช่วยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการมีสภาพคล่องทางการเงินในการดำเนินธุรกิจมากขึ้นในช่วงที่สภาพเศรษฐกิจที่ความผันผวนสูง
ทั้งนี้ ที่ประชุม กกร. ยังมีความกังวลประเด็นการสวมสิทธิ์การส่งออก และการ re-export โดยใช้ local content ต่ำ ซึ่งไม่ได้ส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจ แม้ว่าการส่งออกจะขยายตัวได้สูง แต่ก็มีการนำเข้าที่สูง ขณะที่ภาคการผลิต การบริโภคในประเทศ และการลงทุนภาคเอกชนที่ไม่ได้เพิ่มขึ้นตาม
รวมไปถึงมีความกังวลต่อสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ที่มาอยู่ในช่วง 32.5-32.7 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยแข็งค่ามากกว่าประเทศในภูมิภาค เช่น เวียดนาม สิงคโปร์ และจีน ในเดือนที่ผ่านมา ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่ากว่าระดับที่ธุรกิจแข่งขันได้ โดย กกร. มองว่าควรให้ความสำคัญกับการดูแลค่าเงินไม่ให้แข็งค่าหรือผันผวนเร็วจนเกินไป และการสื่อสารฯเชิงรุกเพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถรับรู้และปรับตัวได้ทันการณ์ อีกทั้งยังจำเป็นต้องมีการส่งผ่านประโยชน์จากค่าเงินบาทแข็ง เช่นต้นทุนนำเข้าสินค้าพลังงาน และวัตถุดิบในภาคเกษตรฯ ที่ลดลงไปยังภาคการผลิตและภาคประชาชนให้ได้อย่างเป็นระบบ
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.pptvhd36.com/wealth/economic/250003&ct=ga&cd=CAIyHGY3N2RkMGYwMjUwYTJhNjg6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw0mqnL7Ll8U9Jr-sILOe5Y1