
การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19 เมื่อ 5ปีก่อน เป็นเหตุการณ์สะเทือนโลกส่งผลกระทบผู้คนหลายพันล้านด้านต่างๆมากมาย ทั้งการติดเชื้อ เสียชีวิต สูญเสียการงานและอาชีพ ตลอดจนการศึกษาเรียนรู้ของเด็กๆ สำหรับ ประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน
ในด้านการศึกษา แม้แต่โรงเรียนที่มีทุนเดิมแข็งแกร่งก็ไม่สามารถหนีผลกระทบจากโควิดได้ และแน่นอนว่า โรงเรียนขนาดเล็ก หรือโรงเรียนที่อยู่ตามชายชอบต่างๆ ย่อมได้รับผลกระทบที่มากกว่า ด้วยเหตุนี้ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.)ฝ่ายบริหารจัดการทุนวิจัยและนวัตกรรม กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จึงได้ร่วมมือกับ คณาจารย์นักวิจัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี(มจธ.) ทำโครงการวิจัย การพัฒนาการเรียนรู้ สมรรถนะฐานอาชีพ สำหรับนักเรียนด้อยโอกาสและนวัตกรรมเชิงระบบเพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในโรงเรียนชายขอบ จังหวัดราชบุรี และโครงการวิจัยทุนทางวัฒนธรรมกะเหรี่ยงโผล่งในบริเวณเทือกเขาตะนาวศรี ช่วงราชบุรีและเพชรบุรี
รศ.ดร.อุเทน คำน่าน รองผู้อำนวยการ บพท. กล่าวว่าโครงการวิจัยทั้ง 2 โครงการดังกล่าว มีความเชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อ และมีเป้าหมายสำคัญที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นแก่ชุมชนในพื้นที่ชายขอบ ที่มีชายแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยใช้ชุดความรู้จากงานวิจัย ไปออกแบบเนื้อหาหลักสูตรการเรียนการสอน ที่สอดคล้องกับบริบทพื้นที่ และประยุกต์ฐานทุนทางวัฒนธรรม ตลอดจนทรัพยากรในพื้นที่ มาสร้างมูลค่า สร้างอาชีพ และสร้างรายได้ที่มีความมั่นคง ยั่งยืน

ทางมจธ.ได้เลือกโรงเรียนกลุ่มนักข่าวหญิง 2(บ้านบ่อหวี) ที่อยู่้ในอ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี เป็นพื้นที่ศึกษาวิจัย โดยโรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนชายแดนรอยต่อระหว่างไทยกับเมียนมาร์ นักเรียน 95% เป็นกลุ่มชาติพันธุ์เชื้อสายกระเหรี่ยง เปิดสอนตั้งแต่ระดับอนุบาล- ป.6 และโรงเรียนแห่งนี้เป็น 1 ใน8 โรงเรียนโครงการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา และโรงเรียนเครือข่าย ด้านคุณธรรม จริยธรรม พื้นที่จ.ราชบุรี
“เราเลือกพื้นที่วิจัย ราชบุรี เพราะเป็นพื้นที่ภาคกลางแต่กลับติดชายแดน มีกลุ่มชาติพันธุ์อาศัยอยู่มาก แม้จะมีความคล้ายกับภาคเหนือ มีปัญหายาเสพติด การค้ามนุษย์ การเข้าถึงบริการภาครัฐ ของคนกลุ่มนี้ ซึ่งเป็นปัญหาตามพื้นที่ชายแดน และเราคิดว่าหากเราพุ่งเป้าปัญหาไปที่เยาวชน จะเป็นการแก้ปัญหายั่งยืน รวมทั้งแก้โจทย์เรื่องความยากจนได้ด้วย” รศ.ดร.อุเทนกล่าว

ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ ที่ปรึกษาอธิการบดี มจธ. กล่าวว่า โครงการวิจัยการพัฒนาการเรียนรู้ สมรรถนะฐานอาชีพ สำหรับนักเรียนด้อยโอกาสและนวัตกรรมเชิงระบบเพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในโรงเรียนชายขอบ จังหวัดราชบุรี ได้กำหนดพื้นที่วิจัยครอบคลุม 6 อำเภอของจังหวัดราชบุรี ได้แก่สวนผึ้ง,บ้านคา,จอมบึง,บ้านโป่ง,โพธาราม และอำเภอเมือง ซึ่งริเริ่มดำเนินการในช่วงเวลาที่โรคโควิด-19 มีการแพร่ระบาด และเป็นอุปสรรคต่อการเรียนการสอนในโรงเรียน ทำให้นักเรียนขาดโอกาสทางการศึกษา โดยคณะนักวิจัยได้ค้นคว้าวิจัยแสวงหาแนวทางและเครื่องมือที่จะแก้ปัญหา ก้าวข้ามข้อจำกัดและอุปสรรค เพื่อทำให้นักเรียนสามารถเข้าถึงการศึกษาได้ ะฐานอาชีพ สำหรับนักเรียนด้อยโอกาสและนวัตกรรมเชิงระบบเพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในโรงเรียนชายขอบ จังหวัดราชบุรี ได้กำหนดพื้นที่วิจัยครอบคลุม 6 อำเภอของจังหวัดราชบุรี ได้แก่สวนผึ้ง,บ้านคา,จอมบึง,บ้านโป่ง,โพธาราม และอำเภอเมือง ซึ่งริเริ่มดำเนินการในช่วงเวลาที่โรคโควิด-19 มีการแพร่ระบาด และเป็นอุปสรรคต่อการเรียนการสอนในโรงเรียน ทำให้นักเรียนขาดโอกาสทางการศึกษา โดยคณะนักวิจัยได้ค้นคว้าวิจัยแสวงหาแนวทางและเครื่องมือที่จะแก้ปัญหา ก้าวข้ามข้อจำกัดและอุปสรรค เพื่อทำให้นักเรียนสามารถเข้าถึงการศึกษา ได้นำกลไกอาสาสมัครเพื่อการศึกษาประจำหมู่บ้าน(อศม.)ซึ่งเป็นการประยุกต์แนวความคิดมาจากอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หรือ อสม.ในระบบสาธารณสุข สามารถช่วยแก้ปัญหาได้ โดยให้ทำหน้าที่เป็นเสมือนครูช่วยสอน ซึ่งได้ผลดีเยี่ยม
แนวคิดนำอศม.มาช่วยนี้ สามารถทำให้เด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่งกลับเข้าสู่ระบบการศึกษา และหันมาสนใจเรียนรู้เรื่องอาชีพ ไปพร้อมกับการเรียนในโรงเรียน นับว่าเป็นการสอดแทรกเรื่องการทำกินเข้าไปในวิชาเรียน โดยไม่ละทิ้งหลักสูตรแกนกลางของระบบการศึกษาแต่อย่างใด ปัจจุบันมีนักเรียน 2 คน พร้อมครอบครัวได้ทำอาชีพเลี้ยงไก่ตามคำแนะนำและปรึกษาของโครงการ และยังมีรายอื่นๆสนใจในการทำอาชีพด้านต่างๆ
นายศุเรนทร์ ฐปนางกูร ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมและสนับสนุน มูลนิธิโครงการหลวงและโครงการตามพระราชดำริ มจธ. กล่าวว่า เราพบว่าปัญหาของโรงเรียนที่นี่ มีครูไม่พอ ในช่วงโควิดระบาด จึงมีเด็กออกนอกระบบไป แต่เราได้พยายามดึงเด็กกลุ่มนี้กลับเข้ามา แต่การจะให้เขาอยู่ต้องไม่เหมือนเดิม ต้องทำอะไรที่สอดคล้องกับการดำเนินชีวิต มีเรื่องอาชีพเข้าไป และต้องดึงครอบครัวเข้ามามีส่วนร่วมด้วย ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดโมเดล อศม. เข้ามาช่วยเหลือ ชักจูงเด็ก รวมทั้งการดึงคุณครูที่เกษียณ อายุราชการแล้ว มาเข้าร่วมกลไกโครงการนี้

นอกจากจะมี อศม.มาช่วยสอนแล้ว คณะวิจัยยังพัฒนาสื่อช่วยสอน และเครื่องมือช่วยสอนสำหรับ อศม.ด้วยการพัฒนาเนื้อหาหลักสูตรที่มีทั้งวิชาการ และวิชาชีพที่สอดคล้องกับบริบทชุมชน บันทึกบนไฟล์เสียงใส่ทรัมป์ไดร์ฟ สำหรับไปถ่ายทอดสู่การรับรู้ของผู้เรียน ผ่านวิทยุทรานซิสเตอร์ เนื่องจาก บริเวณพื้นที่ชายขอบจะมีปัญหาข้อจำกัดเรื่องสัญญาณอินเตอร์เน็ต และระบบไฟฟ้า
นายศุเรนทร์ กล่าวอีกว่า ผลจากโครงการวิจัยนี้ ทำให้ค้นพบว่า การพัฒนาการศึกษาที่ออกแบบโดยศูนย์กลาง อาจไม่ตอบโจทย์การแก้ปัญหาการศึกษา ทั้งในเรื่องของจำนวนครู หรือหลักสูตรที่ไม่ได้พัฒนาทักษะผู้เรียน และการดำรงชีวิตของผู้เรียน ซึ่งเป็นโรงเรียนในชนบท แต่การเจาะลึกรายพื้นที่ จะมีประสิทธิภาพและได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า เช่นโครงการที่มจธ.ทำนี้ที่ราชบุรี นี้ นับเป็นนวัตกรรมเชิงระบบ แต่เราก็ได้ดึงศึกษาธิการจังหวัดเข้ามามีส่วนร่วมรับรู้ ดึงคนที่เรียนครูเข้ามาฝึกสอน เพราะพื้นที่ชายขอบเปรียบเสมือนพื้นที่ผลิตครูชั้นดี ผลที่ได้คือ สามารถหยุดการออกนอกระบบของเด็กได้ และแนวทางนี้มีหลายพื้นที่การศึกษาสนใจ นำไปปรับใช้กับพื้นที่ตัวเองบ้างแล้ว อาจจะพูดไม่เต็มปากนักในเวลานี้ว่ารูปแบบการพัฒนาดังกล่าวได้กลายเป็นโมเดลการแก้เชิงพื้นที่มากกว่าไปแก้ตรงการกระจายอำนาจ ซึ่งอาจเป็นการแก้ปัญหาที่ผิดจุด
“การจัดการเชิงพื้นที่อาจเป็นยาที่ถูกกับโรคที่เป็นอยู่ของประเทศไทย และการวิจัยนี้ เป็นการตอบคำถามว่า หากเราต้องจัดการเชิงพื้นที่ จะต้องจัดการอย่างไร และสะท้อนว่าหากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ มาช่วยเชิงพื้นที่ จะตอบโจทย์ประเทศเราได้หรือไม่ การวิจัยนี้จึงสะท้อนว่าการแก้ปัญหาการศึกษาในบ้านเราจึงต้องตั้งเป้าใหม่ ไม่ใช่การแก้ที่โครงสร้างต้องแก้เชิงพื้นที่ หรือจากชายขอบสู่เมือง หรือชายขอบสู่ประเทศ” นายศุเรนทร์ กล่าว

นางสาวญาณิฐา สินธุศิริ ครูชำนาญการ โรงเรียนกลุ่มนักข่าวหญิง 2 บ้านบ่อหวี ต.ตะนาวศรี อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี ซึ่งเป็นโรงเรียนนำร่องของโครงการวิจัยการพัฒนาการเรียนรู้ สมรรถนะฐานอาชีพ สำหรับนักเรียนด้อยโอกาสและนวัตกรรมเชิงระบบเพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในโรงเรียนชายขอบ จ.ราชบุรี กล่าวว่าโครงการวิจัยดังกล่าวมีบทบาทอย่างสูงในการแก้ปัญหานักเรียนตกหล่นกลางคันได้เป็นอย่างดี และไม่เพียงช่วยให้นักเรียนมีทักษะความรู้ทางวิชาการเท่านั้น ยังเสริมทักษะด้านอาชีพ ด้านการจัดการ บนฐานทุนวัฒนธรรมและทรัพยากรในท้องถิ่น แก่ทั้งตัวนักเรียน รวมไปถึงผู้ปกครองอีกด้วย

ผศ.นันทนา บุญลออ นักวิจัยโครงการวิจัยว่าด้วยทุนทางวัฒนธรรมฯ กล่าวว่าโครงการวิจัยภายใต้ มจธ. โดยการสนับสนุนทุนวิจัย จากบพท. จะเชื่อมโยงโรงเรียน-ชุมชน-ครัวเรือนเข้าด้วยกัน โดยมุ่งเน้นสนองความต้องการของชุมชน สอดคล้องกับเศรษฐกิจชุมชน ทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว เกิดสังคมแห่งการเรียนรู้ในชุมชน เกิดผู้นำการเปลี่ยนแปลงหรือนวัตกรชุมชน นวัตกรเชิงวัฒนธรรม นักจัดการข้อมูลวัฒนธรรมของพื้นที่ เกิดศูนย์เรียนรูศิลปะการย้อมสีธรรมชาติและหัตถกรรมผ้ากะเหรี่ยง ศูนย์เรียนรู้หัตถกรรมการตีเม็ดเงินกะเหรี่ยง ศูนย์เรียนรู้การขึ้นรูปภาชนะจากใบไม้และเส้นใยธรรมชาติ ตลาดวิถีวัฒนธรรม อีกทั้งยังสนับสนุนให้นักเรียนมองเห็นความเชื่อมโยงระหว่างโลกความเป็นจริงที่สามารถนำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้จริงอย่างเป็นรูปธรรม.
———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.thaipost.net/news-update/796127/&ct=ga&cd=CAIyHDI4ODcxZTExZDQzMWVlYzA6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw33gNw-GmvJ4UvKFdVtPTOJ