Will Byfield ครูชีววิทยาที่ทุ่มเทเวลาและหัวใจ สนับสนุนเด็กในฐานะ Safety Net นอกห้องเรียน

will-byfield-ครูชีววิทยาที่ทุ่มเทเวลาและหัวใจ-สนับสนุนเด็กในฐานะ-safety-net-นอกห้องเรียน
Will Byfield ครูชีววิทยาที่ทุ่มเทเวลาและหัวใจ สนับสนุนเด็กในฐานะ Safety Net นอกห้องเรียน

ก่อนที่บทสนทนานี้จะเกิดขึ้น King’s College International School Bangkok ได้มีการสอบถามนักเรียนว่าใครคือคุณครูในดวงใจของพวกเขา ซึ่ง ครู Will Byfield คือหนึ่งในชื่อที่ได้รับการโหวตมาเป็นอันดับต้น ๆ

เขาคนนี้คือคุณครูประจำวิชาชีววิทยา ควบตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาวิทยาศาสตร์ และที่ปรึกษานักเรียนกลุ่ม Medic Society ในระดับชั้น Year 13 ที่เตรียมตัวสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์อีกด้วย นอกจากนี้ เขายังเสียสละเวลาส่วนตัวมาเปิด Biology Clinic เพื่อตอบข้อสงสัยต่าง ๆ ของเด็ก ๆ นอกห้องเรียนอีกด้วย

‘หนึ่งในครูที่ทุ่มเทที่สุดในโรงเรียน’ คือส่วนหนึ่งจากคำอธิบายเกี่ยวกับเขาที่เราได้รับฟังก่อนการสัมภาษณ์ และเมื่อการสัมภาษณ์ครั้งนี้จบลง เราก็เห็นด้วยกับประโยคนั้นอย่างไร้ข้อกังขา

Will ไม่เพียงทุ่มเทเวลาเท่านั้น แต่ยังใส่ใจและตั้งใจพัฒนาการเรียนการสอนในห้องเรียนของตัวเองอยู่เสมอ เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้อย่างมีส่วนร่วม เกิดแรงบันดาลใจ และนำความรู้ที่ได้ไปต่อยอดใช้ได้จริงในอนาคต เมื่อพวกเขาเติบโตและก้าวออกจากห้องเรียนไปแล้วก็ตาม และนอกเหนือจากในห้องเรียน เขาก็ยังคงอยู่เคียงข้างนักเรียนเสมอ ทั้งให้คำแนะนำในฐานะที่ปรึกษา ตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับชีววิทยา และยังเป็นเหมือนเพื่อนที่คอยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเมื่อมีโอกาส

จากวันแรกที่ตัดสินใจเดินเข้าไปสอน จนถึงวันนี้ที่ห้องเรียนของเขากลายเป็นที่รักของเด็กนักเรียนมากมาย The Great Classroom ในมุมมองของ Will จะเป็นอย่างไร ไปติดตามฟังคำตอบของเขาได้จากบทสนทนาต่อไปนี้

จุดเริ่มต้นในการเป็นครูของคุณคืออะไร

จริง ๆ แล้วผมไม่ได้มีความคิดว่าอยากเป็นครูมาตั้งแต่แรกเลยครับ ก่อนหน้านั้นผมเข้าเรียนในภาควิชาชีวเคมีที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด หลังเรียนจบก็ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าอยากทำอะไร เลยลองหาทางเลือกอื่น ๆ อย่างเช่นการทำงานวิจัย แต่ก็ยังรู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะกับผมขนาดนั้น จนกระทั่งวันหนึ่ง พี่สาวของผมซึ่งเป็นครูสอนวิชาปรัชญา ได้พูดกับผมว่า ฉันคิดว่านายเหมาะกับงานนี้นะ ลองมาสอนที่โรงเรียนดูไหม ผมก็เลยตัดสินใจลองไปสอนดูครับ

วันนั้นผมได้ลองเข้าไปสอนในช่วงเช้า แล้วตอนพักเที่ยงผมก็ตัดสินใจสมัครเรียน PGCE (Postgraduate Certificate in Education) ซึ่งเป็นวุฒิการศึกษาด้านการสอนทันทีเลยครับ เพราะการได้ลองสอนในเช้าวันนั้นทำให้ผมตัดสินใจได้ว่า นี่แหละคือสิ่งที่ผมอยากทำจริง ๆ

การสอนในวันนั้นทำให้คุณรู้สึกยังไง อะไรทำให้คุณตัดสินใจได้ไวขนาดนั้น

ผมแค่ชอบการที่ตัวเองได้อยู่ในห้องเรียน บางคนอาจคิดว่าการสอนคือการยืนอยู่หน้าห้องเรียนและคอยเลกเชอร์ แต่สำหรับผมแล้ว ผมชอบช่วงเวลาที่เราได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับนักเรียนที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน ซึ่งก็คือชีววิทยาและเคมี และสร้างความสัมพันธ์ขึ้นมาจากตรงนั้น ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญคือการที่เราได้แบ่งปันสิ่งที่เราชอบจริง ๆ และส่งต่อความสนใจนั้นไปสู่นักเรียนได้

จากวันนั้นจนถึงปัจจุบัน คุณสอนนักเรียนมานานแค่ไหนแล้ว

ผมเริ่มเทรน PGCE ในปี 2012 จนถึงตอนนี้ก็ 13 ปีแล้วครับ

ตลอด 13 ปีที่ผ่านมา ช่วงเวลาไหนท้าทายที่สุดในชีวิตการเป็นครู

ผมคิดว่ามีสิ่งหนึ่งที่ค่อนข้างท้าทาย แต่เราก็ทำอะไรกับมันมากไม่ได้ เพราะมันคือธรรมชาติของอาชีพนี้ ก็คือเวลาที่เราพยายามจะแนะนำหรือสอนอะไรบางอย่างให้กับนักเรียน เราอาจจะคิดว่านี่คือวิธีที่ถูกต้อง มันต้องทำแบบนั้นแบบนี้ ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่เราบอกว่า อย่าอ่านแค่ใน Textbook เพื่อทบทวนอย่างเดียว มันไม่เวิร์กหรอก แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็จะทำแบบนั้นอยู่ดี

นั่นเป็นเพราะว่าท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาจะต้องเรียนรู้ผ่านประสบการณ์นั้นด้วยตัวเอง พวกเขาจำเป็นต้องได้ลองผิดลองถูก และมันเป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับครูอย่างเรามาก เพราะบางทีเราแทบบอกได้ด้วยซ้ำว่าพวกเขากำลังจะทำผิดพลาดตรงไหนบ้าง แต่เราก็ปฏิเสธโอกาสที่พวกเขาจะได้เรียนรู้จากความผิดพลาดนั้นไม่ได้ ผมคิดว่ามันสำคัญมาก ๆ ที่พวกเขาจะต้องเรียนรู้ที่จะลุกขึ้นยืนใหม่และเติบโตไปเป็นคนที่ยืดหยุ่นมากพอ นั่นคือทักษะที่จะไม่มีใครพรากไปจากพวกเขาได้

คุณคิดว่าการที่ครูต้องเผชิญความท้าทายไปพร้อม ๆ กับสนับสนุนให้นักเรียนกล้าก้าวออกจากคอมฟอร์ตโซนของตัวเองสำคัญอย่างไร

ผมว่ามันคือคอนเซปต์เดียวกันกับเรื่องความผิดพลาดและล้มเหลวเลยครับ เพราะเราอยากให้พวกเขาล้มบ้างในระดับที่เหมาะสม เพื่อที่จะมีโอกาสได้เรียนรู้ แต่พวกเขาจะไม่มีวันได้ลิ้มรสความล้มเหลวเลย หากคุณขังพวกเขาไว้ในคอมฟอร์ตโซนแคบ ๆ สบาย ๆ การปล่อยให้พวกเขาอยู่ในคอมฟอร์ตโซนที่ปลอดภัยเกินไป ก็เท่ากับว่าคุณกำลังปฏิเสธโอกาสที่พวกเขาจะได้ล้มและได้เรียนรู้นั่นเอง

สิ่งที่เราต้องพยายามทำคือการค้นหาจุดที่เหมาะสมในการเรียนการสอน หรือที่เรียกว่า Proximal Development Zone (พื้นที่รอยต่อพัฒนาการ) มันคือการที่เราท้าทายนักเรียนให้มากพอที่จะทำให้พวกเขายังคงรู้สึกสนุกและได้ใช้ความพยายามในการเรียนรู้ แต่ก็ต้องไม่มากเกินไปจนถึงขั้นที่ทำให้พวกเขาท้อแท้และคิดว่ายังไงก็ไม่มีวันทำได้ เราจึงต้องพยายามทำความเข้าใจนักเรียนแต่ละคนและค้นหาจุดที่สมดุลนั้นให้เจอ

ดังนั้น หน้าที่ของเราก็คือการพยายามจับจุดนั้นให้ได้ ซึ่งบางครั้งเราก็ทำได้ดีมาก ๆ แต่บางครั้งมันก็อาจจะยากเกินไป หรือบางครั้งผมอาจจะคิดว่าโจทย์ข้อนี้พวกเขาอาจต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงในการแก้โจทย์โจทย์หนึ่ง แต่พวกเขากลับทำเสร็จภายใน 10 นาที มันเกิดขึ้นได้ทั้ง 2 แบบครับ

Will Byfield ครูชีววิทยาที่ทุ่มเทเวลาและหัวใจ สนับสนุนเด็กในฐานะ Safety Net นอกห้องเรียน

เหมือนกับว่าคุณเองก็ต้องท้าทายตัวเองในการจับจุดนั้นให้ได้เช่นกัน

ใช่เลยครับ มันเหมือนกับการที่เราเองก็ต้องท้าทายตัวเองอยู่เสมอในการค้นหาจุดที่เหมาะสมนั้น และรวมถึงการท้าทายตัวเองด้วยการมองหาวิธีการใหม่ ๆ ในการสอนอยู่เสมอด้วยครับ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมพวกเราต้องมีการประชุมของหน่วยวิชาชีววิทยาทุกสัปดาห์ เพื่อพยายามคิดหาวิธีสอนใหม่ ๆ ที่แตกต่าง ท้าทาย และกระตุ้นความสนใจของนักเรียนให้มากขึ้น นั่นคือสิ่งที่เราพยายามพัฒนาไปพร้อม ๆ กับนักเรียนของเราครับ

คุณคิดว่าอะไรคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ห้องเรียนหนึ่งกลายเป็น The Great Classroom ได้

สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะปลูกฝัง ทั้งกับตัวเอง บุคลากรในแผนก และนักเรียนเอง ก็คือ ‘ความปรารถนาที่จะพัฒนาตนเองอยู่เสมอ’ เราอาจมีทั้งเด็กที่จะเข้ามหาวิทยาลัยสายวิทยาศาสตร์และเรียนต่อจนจบปริญญาเอก ในขณะที่เด็กบางคนแทบทนไม่ไหวที่จะสอบ GCSEs ให้จบแล้วลาขาดกับวิทยาศาสตร์สักที ซึ่งผมโอเคทั้งนั้น ตราบใดที่พวกเขามีใจอยากพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น

ดังนั้น มันจึงไม่ใช่การพยายามสร้างความสำเร็จแบบรูปธรรม แต่ผมเชื่อว่าทัศนคติของการอยากพัฒนาตัวเองนี่แหละ ที่จะช่วยให้ความสำเร็จเกิดขึ้นได้เองโดยธรรมชาติ เราควรทำให้นักเรียนสนใจในสิ่งที่กำลังเรียน ทำให้พวกเขารักที่จะค้นหาข้อมูล ตั้งคำถาม อภิปราย โต้แย้ง และวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ อย่างมีเหตุผล ที่สำคัญที่สุดคือการกระตุ้นให้พวกเขามีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นอยู่เสมอ นั่นคือสิ่งที่ผมอยากเห็นในห้องเรียนของผม

คุณคิดว่าอะไรคือความพิเศษหรือสิ่งที่น่าสนใจในวิชาชีววิทยาที่คุณสอน และคุณทำอย่างไรเพื่อให้นักเรียนเข้าถึงแง่มุมเหล่านั้นของชีววิทยา

เป็นคำถามที่ดีมากครับ ผมคิดว่าข้อได้เปรียบของวิชาชีววิทยาคือช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองอย่างลึกซึ้งว่าร่างกายของคุณทำงานอย่างไร คุณมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรหรือเติบโตขึ้นมาได้อย่างไร ซึ่งตรงนี้เป็นจุดสำคัญที่ทำให้ทุกคนเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับวิชานี้ได้ในทันที แต่ถ้าจะให้พวกเขามีส่วนร่วมและสนใจมากยิ่งขึ้น เราต้องพยายามทำความเข้าใจว่านักเรียนแต่ละคนมีความสนใจในเรื่องอะไร และเชื่อมโยงชีววิทยาเข้ากับสิ่งนั้นให้ได้

ศิลปะเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ดีมาก ๆ เลยครับ เรามีนักเรียน Year 13 ที่ไม่ค่อยชอบวิชาชีววิทยาเท่าไหร่ แต่พอเราลองเชื่อมโยงศิลปะกับชีววิทยาเข้าด้วยกัน อย่างเช่นการวาดภาพจากสิ่งที่เห็นจากกล้องจุลทรรศน์ มันจึงกลายเป็นโอกาสที่ดีมาก ๆ ที่เราจะได้เชิดชูทักษะทางศิลปะและความตั้งใจของพวกเขา และที่สำคัญที่สุดคือการสร้างความเชื่อมโยงให้เห็นว่าจริง ๆ แล้วศิลปะสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในด้านชีววิทยาได้อย่างไรบ้างครับ

คุณมองว่านักเรียนเหล่านั้นจะทำอะไรกันอยู่ในอีก 10 ปีข้างหน้า หลังจากที่พวกเขาได้เรียนชีววิทยากับคุณ และวิชานั้นน่าจะมอบอะไรให้กับพวกเขาบ้าง

ในความเป็นจริงเรารู้ดีว่าถึงตอนนั้น แม้แต่คนที่ชอบวิชาชีววิทยามาก ๆ ในวันนี้อาจจะไม่ได้ใช้ความรู้เหล่านี้แล้ว เพราะถึงตอนนั้นพวกเขาอาจจะคุยกันในเรื่องที่ลงลึกมากกว่านี้มากอย่างเรื่องโครงสร้างโปรตีนที่ซับซ้อนหรืออะไรทำนองนั้น

แต่สิ่งที่ผมหวังว่าจะได้เห็นจากนักเรียนของเราในอีก 10 ปีข้างหน้า คือทักษะในการคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุมีผล ไม่ใช่แค่ยอมรับข้อมูลบางอย่างว่าเป็นจริงเพียงเพราะมีคนบอกมา แต่พวกเขาจะต้องรู้จักตั้งคำถาม พิจารณาว่าข้อมูลนั้นมีหลักฐานอะไรสนับสนุนบ้าง มีอะไรที่ถูกนำเสนอ และมีอะไรที่ถูกละเลยไป ซึ่งผมเชื่อว่านี่คือทักษะที่จะมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคตครับ

หลังจากสอนนักเรียนมานาน คุณปรับตัวอย่างไรเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของเด็กรุ่นใหม่

หนึ่งในสิ่งที่ผมต้องคอยเตือนตัวเองอยู่เสมอเวลาที่จะพูดถึง ‘เหตุการณ์เมื่อเร็ว ๆ นี้’ กับนักเรียน เช่น ถ้าผมจะพูดถึงเหตุการณ์เมื่อ 4 ปีก่อน สำหรับผมอาจเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน แต่ 4 ปีก่อนสำหรับเด็ก Year 11 พวกเขาอาจจะเพิ่งขึ้นมัธยมปลาย มันจึงอาจจะดูเหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อชาติที่แล้วสำหรับพวกเขา (หัวเราะ)

อีกอย่างที่ผมรู้สึกตื่นเต้นมากคือการได้เรียนรู้บริบทใหม่ ๆ อย่างการได้มาสอนในโรงเรียนนานาชาติแบบนี้ ข้อมูลอ้างอิงต่าง ๆ ที่ผมเคยใช้สมัยสอนที่อังกฤษกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ทันที อย่างเวลาที่ผมจะพูดถึงโครโมโซม เมื่อก่อนแค่บอกว่าคือรูปทรงตัว X แต่พอมาอยู่ที่นี่ มีนักเรียนคนหนึ่งบอกว่ามันคือโดนัททอดชิ้นเล็ก ๆ ที่เรียกว่าปาท่องโก๋ ซึ่งมันมหัศจรรย์มาก เพราะเมื่อคุณดึงปาท่องโก๋ มันก็จะแยกออกจากกันเหมือนโครโมโซมไม่มีผิด

ผมจึงคิดว่าดีมาก ๆ ที่เรามีโอกาสได้เรียนรู้บริบทใหม่ ๆ จากนักเรียน และนำวัฒนธรรมไทยเล็ก ๆ น้อย ๆ เข้ามาประยุกต์ใช้ได้ ทำให้พวกเขาเข้าใจและสนใจอยากมีส่วนร่วมมากขึ้น

ได้ยินว่าตอนนี้คุณเป็นที่ปรึกษาให้กับนักเรียน Year 13 กลุ่ม Medic Society เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่านักเรียนกลุ่มนี้คือใคร และคุณช่วยเหลืออะไรพวกเขาบ้าง

กิจกรรมส่วนมากของ Medic Society คือ Discussion Group ซึ่งมีจุดประสงค์หลัก ๆ 2 อย่างครับ อย่างแรก คือการสำรวจองค์ประกอบต่าง ๆ ในสายงานด้านสาธารณสุข และอย่างที่ 2 คือการเปิดโอกาสให้นักเรียนที่สนใจจะเรียนต่อคณะแพทยศาสตร์ได้สำรวจตัวเองอย่างลึกซึ้งว่าพวกเขาอยากเป็นหมอจริง ๆ หรือไม่

กิจกรรมส่วนใหญ่ที่เราทำจะเป็นกระบวนการ Problem-based Learning บางครั้งเราอาจจะเริ่มต้นจากการอธิบายไอเดียคร่าว ๆ ก่อน จากนั้นจึงมอบสถานการณ์จำลองเพื่อให้นักเรียนลองคิดวิเคราะห์และนำความรู้ที่พวกเขามีมาประยุกต์ใช้ พวกเขาจะต้องตัดสินใจว่าจะจัดการกับผู้ป่วยในสถานการณ์นั้น ๆ อย่างไร โดยพิจารณาจากเงื่อนไขต่าง ๆ ที่กำหนดให้ หลังจากนั้นเราก็จะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและอภิปรายเกี่ยวกับแนวทางการตัดสินใจของแต่ละคน ซึ่งแน่นอนว่าคำตอบของแต่ละคนมักแตกต่างกันไป และในหลาย ๆ ครั้งก็ไม่มีคำตอบที่ถูกที่สุดอยู่แล้วครับ

เราทุกคนเข้าใจดีว่าการเป็นแพทย์นั้นเป็นอาชีพที่ท้าทายมาก ๆ และสำหรับเด็กอายุ 17 ที่กำลังมีความใฝ่ฝันอยากจะเป็นหมอ อาจจะยังมองไม่เห็นภาพรวมทั้งหมดของความท้าทายเหล่านั้น ดังนั้นสิ่งที่เราพยายามทำคือการช่วยให้พวกเขาแน่ใจว่า นี่คือสิ่งที่พวกเขาต้องการจริง ๆ และพวกเขาพร้อมที่จะรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ที่รออยู่ข้างหน้าครับ

จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อนักเรียนตัดสินใจว่าไม่อยากไปต่อกับการเรียนแพทย์แล้ว

นั่นเป็นเคสที่ค่อนข้างปกติทีเดียว เรามักเริ่มต้นจากกลุ่มใหญ่ก่อน จากนั้นอาจมีนักเรียนบางคนค่อย ๆ ถอนตัวไปเมื่อค้นพบว่าสิ่งนี้อาจไม่ใช่ทางของพวกเขา สิ่งที่เราทำเมื่อมีเด็กคนหนึ่งตัดสินใจแบบนั้น คือการทำให้เขารู้สึกว่ายังมีโอกาสอื่น ๆ อีกมากมายที่เปิดรออยู่ แทนที่จะบอกว่า Okay, you’ve left the medics. Next. สิ่งที่เราให้ความสำคัญคือการช่วยให้พวกเขาแน่ใจกับการตัดสินใจนั้น และลองชี้ให้เขาเห็นถึงสายวิชาอื่น ๆ ที่พวกเขาอาจสนใจ 

เป็นเรื่องปกติมาก ๆ ที่นักเรียนจะรู้จักอาชีพอยู่แค่ไม่กี่อย่าง ลองคิดย้อนกลับไป จะมีเด็ก 5 ขวบสักกี่คนเชียวที่ตัดสินใจว่าโตขึ้นอยากเป็นนักวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ ดังนั้น สิ่งที่เราทำได้ก็คือการเปิดโลกทัศน์ของพวกเขาให้กว้างขึ้น ให้พวกเขาได้รู้จักอาชีพที่หลากหลายที่รอให้พวกเขาไปค้นพบ

และอีกเรื่องที่ผมคิดว่าสำคัญและอยากจะบอกกับนักเรียนก็คือ ‘รู้ไหม ครูเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอยากทำอะไรจริง ๆ จนกระทั่งเรียนจบมหาวิทยาลัยนั่นแหละ เราลองมาสำรวจสิ่งเหล่านี้กันดีกว่า พวกคุณไม่จำเป็นต้องเรียนจบไปทำงานที่คุณบอกกับครูตอนนี้ก็ได้ คุณเรียนมหาวิทยาลัยไปพร้อม ๆ กับค้นหาแพสชันของตัวเองต่อไปเรื่อย ๆ และบางทีอาชีพที่ใช่ของคุณอาจจะเป็นสิ่งที่คุณไม่เคยคิดถึงมาก่อนเลยก็ได้’

อีกหนึ่งภารกิจของคุณคือ Biology Clinic ซึ่งเป็นกิจกรรมนอกเวลาและคุณเสียสละเวลาส่วนตัวทำสิ่งนี้

Biology Clinic คือกิจกรรมนอกเวลาที่เน้นเกี่ยวกับวิชาชีววิทยา ผมและเด็ก ๆ จะมารวมตัวกันทุกสัปดาห์ในช่วงเวลาที่ผมว่างจากการสอน ส่วนตัวผมมองว่ากิจกรรมนี้ต่างจากการติวมากทีเดียว เพราะเราไม่ได้แค่บอกว่า ใช่ นี่คือคำตอบที่ถูกต้อง แต่มันเป็นการพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่พวกเขาสงสัยให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพื่อที่ในอนาคตเมื่อเจอปัญหาอะไร พวกเขาจะแก้ไขปัญหาของตัวเองได้ อย่างไรก็ตาม พวกเราก็จะยังอยู่ตรงนั้นเสมอเหมือนกับ Safety Net เล็ก ๆ ช่วยพยุงพวกเขาไว้ ถ้าพวกเขาลองพยายามเต็มที่แล้วยังไม่สำเร็จ เราก็จะอยู่ตรงนั้น คอยช่วยเหลือพวกเขาให้ลุกขึ้นมาใหม่ พักให้หายเหนื่อย แล้วค่อยกลับมาลองทำสิ่งนี้กันอีกครั้ง

สิ่งสำคัญของกิจกรรมนี้คือผมอยากปลูกฝังให้เด็ก ๆ รู้จักพัฒนาตัวเอง การที่พวกเขาตัดสินใจเดินเข้ามาขอความช่วยเหลือ นั่นหมายความว่าพวกเขายอมสละเวลาส่วนตัวเช่นเดียวกับที่ผมเสียสละเวลาของตัวเอง ดังนั้นผมจึงไม่สนใจว่าจะใช้เวลาครึ่งชั่วโมง 1 ชั่วโมง หรือ 2 ชั่วโมง มันอาจเกิดขึ้นตอนพักหรือหลังเลิกเรียนก็ได้ เรื่องนั้นไม่สำคัญเท่ากับความตั้งใจและความพยายามที่พวกเขาใส่ใจลงไปในการทำสิ่งเหล่านี้

ช่วงเวลาไหนที่คุณรู้สึกประทับใจที่สุดกับนักเรียนของคุณที่ King’s College International School Bangkok

สิ่งหนึ่งที่ผมชอบมากคือการได้พูดคุยกับนักเรียนที่เคยสอนเมื่อ 2 – 3 ปีก่อน แค่ได้ทักทายสั้น ๆ ตรงทางเดินของ Sixth Form Center ถามไถ่ว่าเป็นยังไงบ้าง เรียนอยู่ชั้นไหนแล้ว โดยเฉพาะกับนักเรียนที่เลือกเรียนสายวิชาอื่น ๆ นอกเหนือจากวิทยาศาสตร์ บางทีเกือบทั้งเดือนผมอาจแทบไม่ได้เจอพวกเขาเลย เพราะอยู่กันคนละอาคาร จึงมีแค่ช่วงเวลาเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้แหละที่เราจะได้คุยกัน ถามสารทุกข์สุกดิบว่าพวกเขากำลังจะสมัครเรียนที่ไหน ช่วงนี้กำลังอินกับอะไร หรือคิดจะทำอะไรต่อไป

แน่นอนว่าโมเมนต์สำคัญ ๆ อย่างตอนสอบหรือตอนแสดงความยินดีกับผลสอบเป็นสิ่งที่ดีมาก ๆ อยู่แล้ว แต่ช่วงเวลาสั้น ๆ ในแต่ละวันเหล่านี้ก็สำคัญไม่แพ้กัน มันเยี่ยมมาก ๆ ที่ผมมีโอกาสเห็นเด็ก ๆ Year 10 ที่เคยสอนสมัยที่พวกเขายังตัวเล็กนิดเดียวเติบโตเป็นนักเรียนที่สูงใหญ่ในวันนี้

Will Byfield ครูชีววิทยาที่ทุ่มเทเวลาและหัวใจ สนับสนุนเด็กในฐานะ Safety Net นอกห้องเรียน

———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://readthecloud.co/kings-bangkok-will-byfield/&ct=ga&cd=CAIyHDI4ODcxZTExZDQzMWVlYzA6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw03WctS8MLSGOKUJAHx22Wn

Related Post

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *