เสียงรบกวนจากฝีมือมนุษย์ทำร้ายสัตว์ทะเล จนฝูงวาฬเกยตื้นและโลมาต้อง “ตะโกน” สื่อสารกัน

คำบรรยายวิดีโอ, มลภาวะทางเสียงทำให้แบบแผนการดำรงชีวิตของสัตว์ทะเล สับสนแปรปรวนไปจากเดิมมาก
  • Author, สวามีนาธาน นาฏราชัน
  • Role, บีบีซี เวิลด์ เซอร์วิส

เสียงลมพายุและเสียงคลื่น ผสมปนเปกับเสียงนกร้องและเสียงเพรียกของวาฬที่ดังหวีดหวิว รวมทั้งสรรพสำเนียงจากสัตว์ทะเลชนิดอื่น ๆ ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของเสียงในธรรมชาติแห่งมหาสมุทร แต่ปัจจุบันเสียงเหล่านี้ถูกกลบและสอดแทรกด้วยเสียงระเบิดหิน เสียงแหลมของสัญญาณโซนาร์ที่ดังเป็นจังหวะ เสียงเครื่องยนต์เรือดังกระหึ่ม และเสียงอื่น ๆ ที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ในท้องทะเล ซึ่งนับวันมีแต่จะดังสนั่นขึ้นเรื่อย ๆ

บรรดาผู้เชี่ยวชาญพากันออกมาเตือนว่า เสียงรบกวนจากกิจกรรมของมนุษย์กำลังทำร้ายสัตว์ทะเลหลายชนิดพันธุ์ เนื่องจากเสียงนั้นมีบทบาทที่สำคัญยิ่งยวดต่อการดำรงชีวิตของสัตว์น้ำ เช่นใช้เสียงร้องเรียกในการจับคู่ผสมพันธุ์, ใช้คลื่นเสียงสะท้อนระบุตำแหน่งเพื่อหาอาหาร, ใช้เสียงสื่อสารเพื่อรักษาโครงสร้างทางสังคมของฝูง, รวมทั้งใช้การได้ยินหลบหลีกสัตว์ผู้ล่าด้วย

ดร.ลินดี เวลการ์ต นักวิจัยผู้ศึกษาเรื่องมลภาวะทางเสียงใต้ท้องทะเล และผลกระทบของมันต่อสัตว์ในอันดับวาฬและโลมา (cetaceans) มาตั้งแต่ปี 1994 บอกว่า “สัตว์ทะเลทุกชนิดต่างไวต่อเสียงและใช้เสียงในการดำรงชีวิต ประสาทหูของพวกมันถือเป็นประสาทสัมผัสหลักที่ใช้รับรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัว” ดร.เวลการ์ตซึ่งเป็นที่ปรึกษาขององค์กรอนุรักษ์ไม่แสวงผลกำไร Oceancare ที่มีสำนักงานใหญ่ในสวิตเซอร์แลนด์กล่าว

เธอยังบอกว่าทุกวันนี้สัตว์ทะเลมีภัยคุกคามทางเสียงที่ร้ายแรงที่สุดสองอย่าง นั่นคือจำนวนของกองเรือขนส่งสินค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และการใช้ปืนลม (airgun) เพื่อขุดเจาะแหล่งน้ำมันดิบใต้พื้นทะเล นอกจากเสียงกัมปนาทที่ดังสนั่นหวั่นไหวของสองสิ่งนี้แล้ว ยังมีเสียงสัญญาณโซนาร์จากเรือรบ เสียงของการก่อสร้างนอกชายฝั่ง เสียงจากการทำเหมืองแร่ในทะเลลึก เสียงของเรือประมงอวนลาก และเสียงของเรือสำราญที่ดังรบกวนไม่หยุดหย่อน จนมหาสมุทรที่ควรจะเงียบสงบมีแต่เสียงดังอื้ออึงไปทุกแห่งหน

“กิจกรรมทางเศรษฐกิจของมนุษย์กำลังเพิ่มขึ้น” ศาสตราจารย์ แพทริก มิลเลอร์ จากมหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูว์ของสกอตแลนด์ กล่าวอธิบายกับบีบีซี “หลายสิ่งที่เราทำลงไป สร้างเสียงรบกวนในมหาสมุทร ซึ่งนับวันเสียงรบกวนจากฝีมือมนุษย์มีแต่จะดังกึกก้องขึ้นเรื่อย ๆ”

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and continue reading

ได้รับความนิยมสูงสุด

  • ภาพเครื่องบินแอร์อินเดีย

  • .

  • Smoke rises from a location allegedly targeted in Israel's wave of strikes on Tehran, Iran, on early morning of June 13, 2025

  • The image shows an artist's impression of the newly discovered dinosaur. It walks on two hindlegs and has an elongated head with sharp teeth.

End of ได้รับความนิยมสูงสุด

Three large bottlenose whales swimming near the pristine blue waters off Jay Mayen island in the Norwegian Arctic

ที่มาของภาพ, Christian Harboe-Hansen

คำบรรยายภาพ, ฝูงวาฬจมูกขวดในมหาสมุทรอาร์กติก บริเวณเกาะยอนมาเยนของนอร์เวย์ จำต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด ในสภาพแวดล้อมที่เสียงรบกวนจากกิจกรรมของมนุษย์เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ

มลภาวะทางเสียงที่เสียดหูเพิ่มขึ้น

การศึกษาวิจัยเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยตรวจวัดระดับเสียงรบกวนใต้ท้องทะเลนั้น ถือเป็นสาขาวิชาที่ค่อนข้างใหม่ในแวดวงวิทยาศาสตร์ โดยเมื่อปี 2006 ทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยซานดิเอโกในสหรัฐฯ ได้ตีพิมพ์ผลการศึกษาเกี่ยวกับระดับความดังของเสียงในมหาสมุทร หลังจากเปรียบเทียบข้อมูลการบันทึกเสียงในน่านน้ำใกล้เกาะซานนิโคลัส ซึ่งห่างจากชายฝั่งรัฐแคลิฟอร์เนียไปทางตะวันตก 257 กิโลเมตร ระหว่างช่วงปี 1964-1966 กับข้อมูลระหว่างช่วงปี 2003-2004

ผลปรากฏว่าเสียงรบกวนใต้ท้องทะเลตรงบริเวณดังกล่าว ที่บันทึกไว้จากช่วงปี 2003-2004 มีความดังเพิ่มขึ้นจากในอดีตราว 10-12 เดซิเบล (dB) เมื่อเทียบกับเสียงที่บันทึกได้ระหว่างช่วงปี 1994-1996 ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วถือว่าเสียงรบกวนนี้ดังเพิ่มขึ้น 3 เดซิเบล ในทุกสิบปีหรือหนึ่งทศวรรษ

นับแต่นั้นเป็นต้นมา เสียงรบกวนจากฝีมือมนุษย์ก็ยิ่งดังกึกก้องขึ้นเรื่อย ๆ “เสียงของเรือเดินสมุทรที่ขนส่งสินค้า จัดว่าเป็นเสียงรบกวนหลักที่ดังเป็นฉากหลังอยู่เสมอในน่านน้ำทั่วโลก เรามีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มากมายที่สามารถยืนยันว่า มันดังรบกวนเพิ่มขึ้นจริง ๆ” ศ.มิลเลอร์ซึ่งศึกษาวิจัยปัญหานี้มาตั้งแต่ปี 1997 กล่าว

A huge container ship and a cruise ship seen in Southampton Docks, UK

ที่มาของภาพ, Getty Images

คำบรรยายภาพ, เรือขนส่งสินค้าคือหนึ่งในสาเหตุหลักของเสียงรบกวน ที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ในมหาสมุทร

กองทุนระหว่างประเทศเพื่อสวัสดิภาพสัตว์ (IFAW) รายงานว่า มีเรือเดินสมุทรอย่างน้อย 250,000 ลำ แล่นอยู่ในน่านน้ำทั่วโลกในทุกเวลา เรือสินค้าบางลำยังส่งเสียงดังกึกก้องถึง 190 เดซิเบล ซึ่งดังกว่าเครื่องบินที่กำลังทะยานขึ้นฟ้า และเรียกได้ว่าดังหูดับตับไหม้พอ ๆ กับคอนเสิร์ตเพลงร็อกเลยทีเดียว

ในกรณีของมนุษย์นั้น เสียงที่ดังเกิน 120 เดซิเบล สามารถทำอันตรายต่อหูทั้งสองข้างได้ในทันที แม้แต่การได้ยินเสียงกัมปนาทกึกก้องระดับ 140 เดซิเบล ในช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ยังทำให้รู้สึกเจ็บปวดในหู และอาจนำไปสู่ภาวะสูญเสียการได้ยินอย่างถาวรได้

Four researchers looking out for whales off the Norwegian Arctic from a boat. They are wearing high visibility dress and have cameras, binoculars and one has a huge pole used to stick a suction cap on whales

ที่มาของภาพ, Natassia Eugenie

คำบรรยายภาพ, ศ.แพทริก มิลเลอร์ (ขวาสุด) ศึกษาวิจัยเรื่องเสียงรบกวนในมหาสมุทรมานานหลายสิบปีแล้ว

สัตว์น้ำจำต้องอดอาหารเพื่อรักษาชีวิต

แสงสว่างถูกดูดกลืนจนกลายเป็นความมืดได้ง่ายกว่าในน้ำ ทำให้การมองเห็นใต้น้ำมีทัศนวิสัยไม่ดีเท่ากับเวลาที่แสงเดินทางผ่านอากาศบนบก ส่วนกลิ่นที่ฟุ้งกระจายใต้น้ำนั้น จะจางหายไปเร็วกว่ากลิ่นที่อบอวลในอากาศเช่นกัน สภาพการณ์ดังกล่าวทำให้การดำรงชีวิตของสัตว์ทะเลทั้งหมด ต้องพึ่งพาการส่งเสียงและการได้ยินเสียงเป็นหลักเพื่อความอยู่รอด

สัตว์จำพวกวาฬและโลมาต่างรับและส่งสัญญาณเสียงที่ซับซ้อน เพื่อสื่อสารทำความเข้าใจระหว่างสมาชิกแต่ละตัวในฝูง รวมทั้งใช้คลื่นเสียงนำร่องระหว่างการเดินทาง การค้นหาอาหาร และกิจกรรมอื่น ๆ ปลาและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในทะเลก็ใช้เสียงเพื่อการดำรงชีพในลักษณะเดียวกัน มีผลวิจัยชิ้นหนึ่งชี้ว่า การได้ยินเสียงความถี่ต่ำติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้ลูกปลาหลงทางและไม่สามารถว่ายน้ำกลับบ้านได้

วาฬเบลูกา

ที่มาของภาพ, Getty Images

คำบรรยายภาพ, วาฬเบลูกาสื่อสารและนำร่องด้วยการส่งเสียงหวีดและเสียงคลิก

อย่างไรก็ตาม เสียงนั้นเดินทางได้เร็วกว่าและไปได้ไกลกว่าในน้ำ ด้วยความเร็ว 1,480 เมตรต่อวินาที ในขณะที่เสียงเดินทางในอากาศด้วยความเร็วเพียง 343 เมตรต่อวินาทีเท่านั้น นั่นหมายความว่า คลื่นเสียงใต้น้ำสามารถเดินทางไปได้ไกลกว่าโดยที่ความดังแทบจะไม่ลดลง ดังนั้นความสามารถในการส่งเสียงและการได้ยินเสียง จึงเป็นประโยชน์ต่อบรรดาสัตว์น้ำทั้งหลายอย่างยิ่ง แต่ในขณะเดียวกัน ความสามารถดังกล่าวกลับทำให้เสียงรบกวนจากฝีมือมนุษย์ เข้ามาบั่นทอนทำลายวิถีชีวิตของพวกมันได้อย่างรุนแรงยิ่งขึ้น

ผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยบริสตอลในสหราชอาณาจักร ซึ่งตีพิมพ์เผยแพร่เมื่อปี 2023 พบว่าปัจจุบันเหล่าโลมานั้นกำลัง “ตะโกน” เพื่อสื่อสารกับเพื่อน ๆ ในฝูง แต่พวกมันก็ยังประสบปัญหาการสื่อสารให้ชัดเจนและมีประสิทธิภาพภายในทีมงานอยู่ดี

นอกจากนี้ ทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยบริสตอลยังพบว่า ฝูงโลมาที่ต้องตะเบ็งเสียงพูดคุยกัน ถูกรบกวนด้วยเสียงจากกิจกรรมของมนุษย์ที่ดังขึ้นกว่าเก่า ทำให้พวกมันต้องส่งเสียงหวีดดังขึ้นและนานขึ้นกว่าเดิมถึง 2 เท่า เพื่อแข่งกับเสียงรบกวนที่ดังอื้ออึงอยู่รอบตัว

ศ.มิลเลอร์เป็นหนึ่งในสมาชิกทีมวิจัย ที่ศึกษาผลกระทบของมลภาวะทางเสียงใต้น้ำต่อฝูงวาฬ บริเวณเกาะภูเขาไฟยอนมาเยน (Jan Mayen) ของนอร์เวย์ ในมหาสมุทรอาร์กติก ทีมวิจัยของเขาติดตั้งอุปกรณ์เพื่อช่วยติดตามความเคลื่อนไหวของพวกมัน โดยใช้ตัวดูดสุญญากาศยึดอุปกรณ์นี้ไว้กับลำตัววาฬ หลังจากผ่านไปหนึ่งหรือสองวัน อุปกรณ์นี้จะหลุดออก เปิดโอกาสให้ทีมวิจัยไปตามเก็บ เพื่อนำมาวิเคราะห์ระดับความดังของเสียงรบกวนที่วาฬต้องเผชิญ และปฏิกิริยาตอบสนองของพวกมัน

นักวิจัยติดตั้งอุปกรณ์ติดตามความเคลื่อนไหวบนหลังวาฬ เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างเสียงโซนาร์ กับโอกาสในการกินอาหารที่ลดลงของพวกมันe

ที่มาของภาพ, Eilidh Siegal

คำบรรยายภาพ, นักวิจัยติดตั้งอุปกรณ์ติดตามความเคลื่อนไหวบนหลังวาฬ เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างเสียงโซนาร์ กับโอกาสในการกินอาหารที่ลดลงของพวกมัน

ผลปรากฏว่าวาฬมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเสียงรบกวนจากกิจกรรมของมนุษย์ เหมือนกับตอนที่พวกมันรับรู้ว่ามีสัตว์ผู้ล่ากำลังเข้ามาใกล้ ผลวิจัยข้างต้นซึ่งตีพิมพ์ในปี 2022 จึงสรุปว่า สัตว์จำพวกวาฬและโลมากำลังเผชิญปัญหาที่บีบบังคับให้พวกมันจำต้องเลือก ระหว่างอาหารมื้อหนึ่งกับชีวิตของตนเอง ซึ่งแน่นอนว่าพวกมันเลือกสละโอกาสในการหาอาหาร และรีบหนีไปเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ก่อน เพราะเข้าใจผิดว่าเสียงรบกวนบางอย่างคือภัยคุกคาม

เมื่อฝูงวาฬมีเวลาและโอกาสในการหาอาหารน้อยลง พวกมันจะได้รับพลังงานมาหล่อเลี้ยงร่างกายลดลงตามไปด้วย “เมื่อวาฬได้ยินเสียงโซนาร์ พวกมันจะหยุดกินและผละจากแหล่งอาหารในบริเวณนั้นทันที และจะไม่หวนกลับมาจุดเดิมอีกเป็นเวลานานหลายวัน สิ่งนี้ส่งผลกระทบต่อการใช้ประโยชน์จากแหล่งอาหารในถิ่นที่อยู่ตามธรรมชาติอย่างมาก” ศ.มิลเลอร์อธิบาย “นี่คือปัญหาที่น่าเป็นห่วงในระดับโลก เพราะเสียงรบกวนต่าง ๆ มีแต่จะดังเพิ่มขึ้นในทุกแห่งหน ทำให้สัตว์จำพวกนี้สูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพไปมากขึ้นเรื่อย ๆ”

ศ.มิลเลอร์และคณะ เฝ้าสังเกตการณ์พฤติกรรมของวาฬที่เปลี่ยนไป โดยพวกมันจะหยุดกินอาหารทันทีเมื่อได้ยินเสียงสัญญาณโซนาร์

ที่มาของภาพ, Harboe-Hansen

คำบรรยายภาพ, ศ.มิลเลอร์และคณะ เฝ้าสังเกตการณ์พฤติกรรมของวาฬที่เปลี่ยนไป โดยพวกมันจะหยุดกินอาหารทันทีเมื่อได้ยินเสียงสัญญาณโซนาร์

เหตุการณ์ฝูงวาฬเกยตื้นและผลกระทบอื่น ๆ

บรรดาผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า เสียงรบกวนทำให้แบบแผนการดำรงชีวิตของสัตว์ทะเล สับสนแปรปรวนไปจากเดิมมาก จนเกิดโศกนาฏกรรมเช่นเหตุการณ์ฝูงวาฬและโลมาเกยตื้น รวมทั้งการตายในลักษณะอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสียงของโซนาร์ที่กองทัพเรือทั่วโลกใช้ตรวจจับเรือดำน้ำนั้น ถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้วาฬและโลมาเกยตื้นเป็นฝูงใหญ่หลายครั้ง ทั้งยังอาจส่งผลกระทบต่อสัตว์ทะเลชนิดอื่นด้วย

เรื่องนี้ทำให้ในปี 2015 กองทัพเรือสหรัฐฯ ยินยอมจำกัดการใช้โซนาร์บางประเภทที่อาจทำอันตรายวาฬและโลมา ในบริเวณน่านน้ำใกล้รัฐฮาวายและรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งดร.เวลการ์ตให้คำอธิบายต่อเรื่องนี้ว่า “กองทัพเรือมีเครื่องส่งสัญญาณโซนาร์ความถี่ปานกลาง ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่า มีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องอย่างมากกับการเกยตื้นของฝูงวาฬมีจะงอยปาก (beaked whale) หรือแม้กระทั่งทำให้วาฬตายในทะเลเปิดได้ด้วย อย่างไรก็ตาม ยังมีเครื่องส่งสัญญาณโซนาร์ความถี่ต่ำอีกแบบ ที่ยังไม่ชัดเจนว่าเกี่ยวข้องกับการที่วาฬเกยตื้นหรือไม่ แต่อุปกรณ์นี้ต้องสงสัยว่า ส่งผลกระทบในวงกว้างยิ่งกว่านั้น”

ดร.เวลการ์ตใช้เวลาหนึ่งปี เพื่อล่องเรือติดตามฝูงวาฬสเปิร์มไปทั่วมหาสมุทรแปซิฟิก

ที่มาของภาพ, Lindy Weilgart

คำบรรยายภาพ, ดร.เวลการ์ตใช้เวลาหนึ่งปี เพื่อล่องเรือติดตามฝูงวาฬสเปิร์มไปทั่วมหาสมุทรแปซิฟิก

ผลคำนวณของดร.เวลการ์ต ชี้ให้เห็นว่าเสียงรบกวนที่ระดับ 120 เดซิเบล ซึ่งดังกึกก้องเท่ากับเสียงฟ้าผ่านั้น มีผลต่อระบบนิเวศอย่างไรบ้าง “เครื่องส่งสัญญาณโซนาร์ความถี่ต่ำ สามารถส่งผลกระทบครอบคลุมพื้นที่กว้างถึง 3.9 ล้านตารางกิโลเมตร หรือเท่ากับประเทศอินเดียและปากีสถานรวมกัน หากแพร่คลื่นเสียงความถี่ต่ำด้วยความดัง 120 เดซิเบล มันจะไปรบกวนฝูงวาฬแน่นอน”

ส่วนปืนลมที่ใช้ค้นหาแหล่งน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติใต้พื้นทะเลนั้น คาดว่าสร้างเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นถึง 260 เดซิเบลใต้ผืนน้ำ เสียงนี้ยังสามารถเดินทางไปได้ไกลถึง 4,000 กิโลเมตรในมหาสมุทรอีกด้วย ซึ่งสื่อสิ่งพิมพ์ขององค์กร Oceancare ได้อ้างอิงงานวิจัยที่ระบุถึงผลกระทบของปืนลมไว้ว่า “เมื่อมีการสำรวจด้วยปืนลมที่สร้างคลื่นสั่นสะเทือน ฝูงวาฬฟินต้องพลัดพรากจากถิ่นที่อยู่เป็นเวลานานกว่า 10 วัน ซึ่งนานกว่าระยะเวลาของการสำรวจ”

ผลวิจัยที่ตีพิมพ์ในปี 2013 ระบุว่าการสำรวจแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติด้วยปืนลมในปี 2008 และ 2009 อาจเป็นสาเหตุการตายหมู่ของนาร์วาล (narwhal) ซึ่งติดอยู่ในแผ่นน้ำแข็งที่แคนาดาและกรีนแลนด์

เรือบรรทุกอากาศยานของอิตาลีที่อ่าว  la spezia

ที่มาของภาพ, Getty Images

คำบรรยายภาพ, เสียงของโซนาร์ที่กองทัพเรือทั่วโลกใช้ตรวจจับเรือดำน้ำ ถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ฝูงวาฬและโลมาเกยตื้น

ยักษ์ใหญ่ที่ไวต่อเสียง

ดร.เวลการ์ตเคยใช้เวลาหนึ่งปีเต็ม ล่องเรือใบลำเล็กขนาด 13 เมตร ข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกทั้งขาไปและขากลับเป็นระยะทางถึง 50,000 กิโลเมตร เพื่อติดตามศึกษาวิจัยฝูงวาฬสเปิร์ม โดยในครั้งนั้นเธอมีลูกชายวัย 5 ขวบ และลูกสาววัยเพียง 10 เดือน ร่วมทางไปด้วย

“ฉันจำได้แค่ว่า วาฬสเปิร์มนั้นไวต่อเสียงมาก พวกมันตัวใหญ่ยักษ์จริง ๆ แม้แต่ตัวเมียก็มีขนาด 11-13 เมตรแล้ว ส่วนตัวผู้ก็ใหญ่มหึมายิ่งกว่านั้นอีกสองเท่า” ดร.เวลการ์ตเล่า เธอยังบอกว่าต้องทำตัวนิ่งเงียบและพยายามไม่สร้างเสียงรบกวน เพื่อที่จะเข้าไปสังเกตการณ์พวกมันใกล้ ๆ เพราะแม้แต่เสียงดังก๊อกแก๊กเพียงเล็กน้อยก็ทำให้วาฬสเปิร์มแตกตื่นได้

“ในบางครั้งเราพยายามจะลงดำน้ำเพื่อเข้าไปดูมันใกล้ ๆ แต่ต้องคอยระวังไม่ทำให้น้ำสาดกระเด็นหรือกระฉอกแรง ๆ จนวาฬตกใจ แน่นอนว่าคุณไม่อาจจะกระโดดลงจากเรือจนน้ำกระจายเสียงดังตูมตาม แต่ทำได้แค่หย่อนตัวเบา ๆ ลงไปในน้ำ และจะใช้ตีนกบหรือครีบนางเงือกช่วยพยุงตัวก็ไม่ได้”

ดร.เวลการ์ตยังบอกว่า การที่วาฬต้องเผชิญกับเสียงรบกวนตลอดเวลา ทำให้มันมีความเครียดสูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันและความสามารถในการเจริญพันธุ์

แท่นขุดเจาะน้ำมันแห่งหนึ่งในอ่าวเม็กซิโก นอกชายฝั่งแทมพิโค รัฐทาเมาลิปัส ประเทศเม็กซิโก

ที่มาของภาพ, Getty Images

คำบรรยายภาพ, ปืนลมที่ใช้ค้นหาตำแหน่งของบ่อน้ำมันใต้พื้นทะเล สามารถจะส่งเสียงดังกึกก้องได้ถึง 260 เดซิเบล

แม้ปัจจุบันจะมีกฎข้อบังคับทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ เพื่อควบคุมระดับของมลภาวะทางเสียงในท้องทะเล แต่ก็ยังไม่มีกฎหมายระหว่างประเทศที่สามารถบังคับใช้ได้จริง มาช่วยลดการก่อเสียงรบกวนของมนุษย์

องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) ซึ่งเป็นองค์กรเอกชนเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ระบุว่าเพียงแค่ลดความเร็วของเรือเดินสมุทรลง 10% ก็จะช่วยลดเสียงรบกวนได้ถึง 40% แล้ว