เว็บไซต์รัฐบาลไทย

เว็บไซต์รัฐบาลไทย
เว็บไซต์รัฐบาลไทย

http://www.thaigov.go.th
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
 
                    วันนี้ 4 มิถุนายน 2568 เวลา 10.00 น.  นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี  เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1  ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
 
 

                    
                     1.        เรื่อง     ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. และร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการ ศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (การกำหนดตำแหน่งเจ้าพนักงานคดี ประจำศาลยุติธรรม)
                     2.        เรื่อง     ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบ ประเภทของประโยชน์ทดแทนตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของบุคคล ซึ่งสมัครเป็นผู้ประกันตน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
                     3.        เรื่อง     ร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. ….
                     4.        เรื่อง     ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การส่งหรือนำซากดึกดำบรรพ์ที่พบในราชอาณาจักรออกนอกราชอาณาจักร พ.ศ. ….
                     5.        เรื่อง     ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราในการจ่ายค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. ….
                     6.        เรื่อง     ร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
 
 

                  7.        เรื่อง     ขอความเห็นชอบการเสียภาษีสลากบำรุงสภากาชาดไทย
                  8.        เรื่อง     แนวทางปฏิบัติเพื่อลดขั้นตอน และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4000  (One Map)
                     9.        เรื่อง     แผนการนำงานบริการของหน่วยงานของรัฐมาให้บริการบนแพลตฟอร์มดิจิทัลกลาง
                     10.      เรื่อง     ขออนุมัติการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับดำเนินโครงการเร่งรัดการดำเนินงานตามหลักเกณฑ์การแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลให้แก่บุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568
                     11.      เรื่อง     ผลการพิจารณารายงานผลการพิจารณาศึกษา เรื่อง ญัตติเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนอันเกิดจากลิง ของคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร
                     12.      เรื่อง     มาตรการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการบรรจุบุคคลผู้ซึ่งเคยออกจากราชการเพราะกระทำผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการกลับเข้ารับราชการ
                     13.      เรื่อง     (ร่าง) ข้อเสนอแก้ไขปัญหาการส่งออกทุเรียนไทยไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน
                     14.      เรื่อง     แผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569
                     15.      เรื่อง     ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับนโยบายด้านภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของภาคเอกชนต่อภาครัฐจากกิจกรรมเสวนา “ถอดรหัสนโยบายภาษีทรัมป์ : โอกาสสู่การค้ายุคใหม่”
 

 
                     16.      เรื่อง     ความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยและรัฐสุลต่านบรูไนดารุสซาลามเพื่อการขจัดการเก็บภาษีซ้อนในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ และการป้องกันการหลบหลีกและการหลีกเลี่ยงรัษฎากร
                     17.      เรื่อง     ขอความเห็นชอบการปรับโอนพิกัดศุลกากรของกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้า ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีไทย – ชิลี (TCFTA)
                     18.      เรื่อง     ท่าทีไทยในการประชุมสหประชาชาติด้านมหาสมุทร ครั้งที่ 3 (3rd United Nations Ocean Conference: UNOC-3)
                     19.      เรื่อง     ขออนุมัติการจัดทำและลงนามร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย กับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ว่าด้วยกรรมสิทธิ์ การใช้การบริหาร และการบำรุงรักษา สะพานมิตรภาพไทย – ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ – บอลิคำไซ)
 

                    
                     20.      เรื่อง     การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ  (กระทรวงสาธารณสุข)
                     21.      เรื่อง     การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงยุติธรรม)
                    22.      เรื่อง     การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์)
                     23.      เรื่อง     การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงกลาโหม)
                     24.      เรื่อง     การแต่งตั้งผู้แทนองค์กรเอกชนเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 มาตรา 4 (5)
                     25.      เรื่อง     การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิแทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่พ้นจากตำแหน่งก่อนครบกำหนดวาระ และแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพิ่มเติมในคณะกรรมการเฉพาะด้าน การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ข้อมูล
                     26.      เรื่อง     การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
                     27.      เรื่อง     การแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ
                     28.      เรื่อง     แต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์
                     29.      เรื่อง     ขอความเห็นชอบในการแต่งตั้งผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
 
 

*****************************

 
1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….และร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (การกำหนดตำแหน่งเจ้าพนักงานคดีประจำศาลยุติธรรม)
                     คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. และเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .… รวม 2 ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) ตรวจพิจารณาแล้ว รวมทั้งรับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรม (ศย.) เสนอ
                     สาระสำคัญของเรื่อง
                     1. ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ เป็นร่างพระราชบัญญัติที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีเจ้าพนักงานคดีทำหน้าที่ช่วยเหลือศาลในการดำเนินคดีและดำเนินกระบวนพิจารณาอื่นใดตามที่ศาลมอบหมายแต่จะต้องมิใช่เป็นการก้าวล่วงไปวินิจฉัยชี้ขาดคดีหรือดำเนินกระบวนพิจารณาอื่นใดที่ศาลจะต้องดำเนินการเองเป็นการเฉพาะ และสามารถปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือศาลในการดำเนินคดีประเภทอื่นที่มีกฎหมายวิธีพิจารณาความบัญญัติไว้เป็นการเฉพาะด้วย โดยกำหนดให้อำนาจหน้าที่และการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานคดี คุณสมบัติ การแต่งตั้ง การเลื่อนระดับการบังคับบัญชาการรักษาจริยธรรม ตลอดจนการบริหารงานบุคคลของเจ้าพนักงานคดี เป็นไปตามข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา รวมถึงให้เจ้าพนักงานคดีได้รับค่าตอบแทนพิเศษตามระเบียบที่คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมกำหนด ทั้งนี้ การกำหนดให้มีตำแหน่งเจ้าพนักงานคดีไว้ในประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่งดังกล่าวจะมีผลเป็นการรับรองตำแหน่งเจ้าพนักงานคดีไว้ครอบคลุมในทุกประเภทคดี ไม่ว่าจะเป็นคดีอาญา คดียาเสพติด คดีค้ามนุษย์ คดีแพ่งทั่วไป หรือคดีอื่น ๆ ในศาลยุติธรรม
                     2. ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม (ฉบับที่ .) พ.ศ. …. เป็นร่างพระราชบัญญัติที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วเช่นเดียวกัน มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 (กฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของศาลยุติธรรม) เพื่อกำหนดให้เจ้าพนักงานคดีดังกล่าวเป็นข้าราชการศาลยุติธรรม รวมถึงแก้ไขเพิ่มเติมให้เจ้าพนักงานคดีที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนด เช่น ปฏิบัติงานมาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 4 ปี ได้รับโอกาสในการมีสิทธิเป็นผู้สมัครทดสอบความรู้เพื่อบรรจุเป็นข้าราชการตุลาการ (สนามเล็ก) ต่อไป เพื่อสนับสนุนสายงานเจ้าพนักงานคดีให้เป็นบุคลากรสายวิชาชีพเฉพาะด้าน ทั้งนี้ การกำหนดให้มีเจ้าพนักงานคดีจะเป็นการช่วยลดภาระงานในส่วนที่ผู้พิพากษาไม่จำต้องกระทำเองซึ่งจะทำให้ผู้พิพากษาสามารถใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดีได้อย่างเต็มที่ เพิ่มประสิทธิภาพในการพิจารณา พิพากษาคดีของศาลยุติธรรมส่งผลให้คดีเสร็จสิ้นไปได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและหลักประกันให้แก่ประชาชนในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมว่าการพิจารณา พิพากษาคดีนั้นจะเป็นไปด้วยความรวดเร็ว เที่ยงธรรม และมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว
                     3. สำนักงานศาลยุติธรรมได้ดำเนินการตามแนวทางการจัดทำและการเสนอร่างกฎหมายตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีด้วยแล้ว และได้เสนอแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. และร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม (ฉบับที่..) พ.ศ. ….จำนวน 3 ฉบับ เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีด้วยแล้ว
                     ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงยุติธรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติสำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานศาลปกครอง พิจารณาแล้วเห็นชอบหรือไม่ขัดข้องในหลักการของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ รวม 2 ฉบับ โดยมีความเห็นหรือข้อสังเกตเพิ่มเติมในประเด็นต่าง ๆ เช่น
                               1)

ประเด็นการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร.

เห็นว่า การกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่และการบริหารงานบุคคลของเจ้าพนักงานคดี ควรให้คณะกรรมการข้าราชการศาลยุติธรรมเป็นผู้กำหนด
                               2)

ประเด็นอัตรากำลังของตำแหน่งเจ้าพนักงานคดี

สำนักงบประมาณและสำนักงาน ก.พ.ร. เห็นว่า ควรจัดทำกรอบอัตรากำลังของตำแหน่งเจ้าพนักงานคดีเท่าที่จำเป็นและควรเกลี่ยอัตรากำลังเจ้าพนักงานคดีที่ปฏิบัติงานในศาลยุติธรรมแทนการเพิ่มอัตรากำลังเป็นลำดับแรกเพื่อมิให้เป็นภาระงบประมาณในระยะยาว
                               3)

ประเด็นคุณสมบัติของผู้สมัครทดสอบความรู้เพื่อบรรจุเป็นข้าราชการตุลาการ

สำนักงาน ก.พ. เห็นว่า ควรกำหนดระดับของข้าราชการและระยะเวลาปฏิบัติงานในตำแหน่งเจ้าพนักงานคดีหรือข้าราชการศาลยุติธรรมที่ได้ประกอบวิชาชีพทางกฎหมายในตำแหน่งอื่นเพิ่มเติม เช่น ดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าประเภทวิชาการ ระดับชำนาญการพิเศษ
                               4)

ประเด็นอื่นๆ กระทรวงยุติธรรม

เห็นว่า เมื่อกฎหมายมีผลใช้บังคับแล้ว ควรมีการประเมินผลสัมฤทธิ์ที่เกิดขึ้นจากการบังคับใช้กฎหมายตามกฎหมายว่าด้วยหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
 
2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบ ประเภทของประโยชน์ทดแทนตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของบุคคล ซึ่งสมัครเป็นผู้ประกันตน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
                     คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบ ประเภทของประโยชน์ทดแทนตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของบุคคล ซึ่งสมัครเป็นผู้ประกันตน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ
                     สาระสำคัญของเรื่อง
                     1. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบ ประเภทของประโยชน์ทดแทนตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของบุคคล ซึ่งสมัครเป็นผู้ประกันตน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….  เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบ ประเภทของประโยชน์ทดแทน ตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของบุคคล ซึ่งสมัครเป็นผู้ประกันตน พ.ศ. 2561 ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคม ดังนี้
                               1.1 แก้ไขหลักเกณฑ์การได้รับประโยชน์ทดแทนของผู้ประกันตน ทางเลือกที่ 1 ทางเลือกที่ 2 และทางเลือกที่ 3 ในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยเป็นเงินทดแทนการขาดรายได้ โดยลดระยะเวลาให้น้อยลง หากแพทย์มีความเห็นให้หยุดพัก เพื่อการรักษาพยาบาล ตั้งแต่ 1 วันขึ้นไป (200 บาท/วัน ไม่เกิน 30 วัน หรือ 90 วัน) ปรับเพิ่มอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนของผู้ประกันตน ทางเลือกที่ 1 และทางเลือกที่ 2 หากไม่ได้พักรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลและไม่มีความเห็นของแพทย์ให้หยุดพักเพื่อการรักษาพยาบาล โดยมีใบรับรองแพทย์มาแสดงต่อสำนักงานประกันสังคม (จาก ครั้งละ 50 บาท ปีละไม่เกิน 3 ครั้ง เป็น ครั้งละ 200 บาท ปีละไม่เกิน 3 ครั้ง) และปรับเพิ่มอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนของผู้ประกันตน ทางเลือกที่ 3 หากไม่ได้พักรักษาพยาบาลในสถานพยาบาล และไม่มีความเห็นของแพทย์ให้หยุดพักเพื่อการรักษาพยาบาล โดยมีใบรับรองแพทย์มาแสดงต่อสำนักงานประกันสังคม (จาก ไม่ได้กำหนดไว้ เป็น ครั้งละ 200 บาท ปีละไม่เกิน 3 ครั้ง)
                               1.2 กำหนดให้ผู้ประกันตน ทางเลือกที่ 1 ทางเลือกที่ 2 และทางเลือกที่ 3 ที่เจ็บป่วยด้วยโรคติดต่ออันตราย ตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ รวมถึงโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) และเข้ารับการรักษาตามแนวทางของกระทรวงสาธารณสุขหรือตามมาตรการของรัฐ มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย เป็นเงินทดแทนการขาดรายได้ (จาก ไม่ได้กำหนดไว้ เป็น 200 บาท/วัน ไม่เกิน 30 วัน หรือ 90 วัน)
                               1.3 แก้ไขหลักเกณฑ์การได้รับประโยชน์ทดแทนของผู้ประกันตน ทางเลือกที่ 1 และทางเลือกที่ 2 ในกรณีทุพพลภาพ เป็นเงินทดแทนการขาดรายได้ต่อเดือนตลอดชีวิต (เดิม 15 ปี) และปรับเพิ่มอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนในแต่ละเดือน (จาก 500 – 1,000 บาท/เดือน เป็น 1,000 – 2,000 บาท/เดือน) และปรับเพิ่มอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนในแต่ละเดือนของผู้ประกันตน ทางเลือกที่ 3 ในกรณีทุพพลภาพ (จาก 500 – 1,000 บาท/เดือน เป็น 1,500 – 3,000 บาท/เดือน)
                               1.4 แก้ไขระยะเวลา และอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนของผู้ประกันตน ทางเลือกที่ 3 ในกรณีสงเคราะห์บุตร โดยให้ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์บุตรสำหรับบุตรซึ่งมีอายุไม่เกิน 7 ปีบริบูรณ์ (เดิม ไม่เกิน 6 ปีบริบูรณ์) จำนวนคราวละไม่เกิน 2 คน ในอัตรา 300 บาทต่อเดือนต่อบุตร 1 คน (เดิม 200 บาท/เดือน)
                               1.5 แก้ไขหลักเกณฑ์การจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีผู้ประกันตนทางเลือกที่ 2 และทางเลือกที่ 3 ถึงแก่ความตายก่อนอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ หรือก่อนที่จะได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ โดยให้จ่ายเงินบำเหน็จชราภาพให้แก่บุคคล ซึ่งผู้ประกันตนทำหนังสือระบุให้เป็นผู้มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพนั้นแต่ถ้าผู้ประกันตนมิได้ทำหนังสือระบุไว้ ให้นำมาเฉลี่ยจ่ายให้แก่สามีภริยา บิดามารดา หรือบุตรของผู้ประกันตนในจำนวนที่เท่ากัน
                               1.6 กำหนดบทเฉพาะกาล เช่น ให้ผู้ประกันตน ทางเลือกที่ 1 ทางเลือกที่ 2 และทางเลือกที่ 3 ที่ป่วยด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2563 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2565 และเข้ารับบริการหรือการรักษาพยาบาลตามแนวทางของกระทรวงสาธารณสุข หรือตามมาตรการของรัฐ มีสิทธิได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ตามที่กฎหมายว่าด้วยการประกันสังคมกำหนดตามกฎหมายใหม่ กำหนดให้ผู้ประกันตน ทางเลือกที่ 1 ทางเลือกที่ 2 และทางเลือกที่ 3 ที่ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยอยู่ก่อนวันที่ร่างพระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับไปจนถึงวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนเป็นเงินทดแทนการขาดรายได้ตามกฎหมายใหม่ กำหนดให้ผู้ประกันตน ทางเลือกที่ 1 ทางเลือกที่ 2 และทางเลือกที่ 3 ที่ได้รับประโยชน์ทดแทน ในกรณีทุพพลภาพ เป็นเงินทดแทนการขาดรายได้ตามกฎหมายเดิม ซึ่งสิ้นสุดการได้รับสิทธิไปแล้วหรือยังคงได้รับสิทธิอยู่ในปัจจุบัน มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีทุพพลภาพเป็นเงินทดแทนการขาดรายได้ตามกฎหมายใหม่ และกำหนดให้ผู้ประกันตนทางเลือกที่ 3 ที่ได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตรตามกฎหมายเดิม มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตรเพิ่มขึ้น ตามกฎหมายใหม่ ซึ่งคณะกรรมการประกันสังคม (ชุดที่ 13 และชุดที่ 14) ได้มีมติให้ความเห็นชอบกับการแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์ ระยะเวลา และอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย กรณีทุพพลภาพ กรณีสงเคราะห์บุตร และกรณีชราภาพ ตามร่างกฎหมาย ดังกล่าวแล้ว
                    

ประโยชน์ทดแทน พ.ร.ฎ.ฯ พ.ศ. 2561 ร่าง พ.ร.ฎ. ที่เสนอในครั้งนี้
กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย
1. ทางเลือกที่ 1 และ 2
– กรณีแพทย์มีความเห็นให้หยุดพัก
 
– กรณีที่ไม่ได้พักรักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยในและไม่มีความเห็นแพทย์ให้หยุดพัก แต่มีใบรับรองแพทย์
 
2. ทางเลือกที่ 3
– กรณีแพทย์มีความเห็นให้หยุดพัก
 
– กรณีที่ไม่ได้พักรักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยในและไม่มีความเห็นแพทย์ให้หยุดพัก แต่มีใบรับรองแพทย์
 
 
 
• ให้หยุดพัก 3 วันขึ้นไป ได้รับ
200 บาท/วัน (ไม่เกิน 30 วัน)
 
• ได้รับ 50 บาท/ครั้ง (ไม่เกิน
3 ครั้ง/ปี)
 
 
 
 
• ให้หยุดพัก 3 วันขึ้นไป ได้รับ
200 บาท/วัน (ไม่เกิน 90 วัน)
 
 
 
 
• ให้หยุดพัก 1 วันขึ้นไป ได้รับ 200 บาท/วัน (ไม่เกิน 30 วัน)
 
ได้รับ 200 บาท/ครั้ง
(ไม่เกิน 3 ครั้ง/ปี)
 
 
 
 
• ให้หยุดพัก 1 วันขึ้นไป ได้รับ 200 บาท/วัน (ไม่เกิน 90 วัน)
 
• ได้รับ 200 บาท/ครั้ง
(ไม่เกิน 3 ครั้ง/ปี)
 
 
 
กรณีโรคติดต่ออันตราย/โรค
โควิด 19

 
1. ทางเลือกที่ 1 และ 2
 
 
 
2. ทางเลือกที่ 3
 
 
 

 
 
 
 
 
 
• ความเห็นทางการแพทย์ให้
หยุดพัก 3 วันขึ้นไป ได้รับ 200 บาท/วัน (ไม่เกิน 30 วัน)
 
• ความเห็นทางการแพทย์ให้
หยุดพัก 3 วันขึ้นไป ได้รับ 200 บาท/วัน (ไม่เกิน 90 วัน)
กรณีทุพพลภาพ
1. ทางเลือกที่ 1 และ 2
(เดิม 15 ปี เป็น ตลอดชีวิต)
 
 
 
 
 
 
 
2. ทางเลือกที่ 3
(ตลอดชีวิต)
 
• ได้รับ 500 บาท/เดือน
(จ่ายสมทบไม่น้อยกว่า 6 เดือน)
• ได้รับ 650 บาท/เดือน (จ่ายสมทบไม่น้อยกว่า 12 เดือน)
• ได้รับ 800 บาท/เดือน (จ่ายสมทบไม่น้อยกว่า 24 เดือน)
• ได้รับ 1,000 บาท/เดือน
(จ่ายสมทบไม่น้อยกว่า 36 เดือน)
 
• ได้รับ 500 บาท/เดือน
(จ่ายสมทบไม่น้อยกว่า 6 เดือน)
• ได้รับ 650 บาท/เดือน (จ่ายสมทบไม่น้อยกว่า 12 เดือน)
• ได้รับ 800 บาท/เดือน (จ่ายสมทบไม่น้อยกว่า 24 เดือน)
• ได้รับ 1,000 บาท/เดือน
(จ่ายสมทบไม่น้อยกว่า 36 เดือน)
 
• ได้รับ 1,000 บาท/เดือน
(จ่ายสมทบไม่น้อยกว่า 6 เดือน)
• ได้รับ 1,300 บาท/เดือน
(จ่ายสมทบไม่น้อยกว่า 12 เดือน)
• ได้รับ 1,600 บาท/เดือน (จ่ายสมทบไม่น้อยกว่า 24 เดือน)
• ได้รับ 2,000 บาท/เดือน
(จ่ายสมทบไม่น้อยกว่า 36 เดือน)
 
• ได้รับ 1,500 บาท/เดือน
(จ่ายสมทบไม่น้อยกว่า 6 เดือน)
• ได้รับ 2,000 บาท/เดือน
(จ่ายสมทบไม่น้อยกว่า 12 เดือน)
• ได้รับ 2,500 บาท/เดือน (จ่ายสมทบไม่น้อยกว่า 24 เดือน)
• ได้รับ 3,000 บาท/เดือน
(จ่ายสมทบไม่น้อยกว่า 36 เดือน)
กรณีสงเคราะห์บุตร
1. ทางเลือกที่ 1 และ 2
 
 
2. ทางเลือกที่ 3 (คราวละไม่เกิน 2 คน)
 

 
 
• ได้รับ 200 บาท/เดือน
(ไม่เกิน 6 ขวบ)
 

 
 
• ได้รับ 300 บาท/เดือน
(ไม่เกิน 7 ขวบ)
หลักเกณฑ์การจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีผู้ประกันตนถึงแก่ความตายก่อนอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ หรือก่อนที่จะได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ
1. ทางเลือกที่ 1
 
 
2. ทางเลือกที่ 2
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 3. ทางเลือกที่ 3
 
 
 
 
 
 

 
• ให้จ่ายเงินบำเหน็จชราภาพให้แก่สามีภริยา บิดามารดา บุตรของผู้ประกันตน หรือบุคคลซึ่งผู้ประกันตน ทำหนังสือระบุให้เป็นผู้มีสิทธิ ได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพในจำนวนที่เท่ากัน
 
 
 
 
 
• ให้จ่ายเงินบำเหน็จชราภาพให้แก่สามีภริยา บิดามารดา บุตรของผู้ประกันตน หรือบุคคลซึ่งผู้ประกันตน ทำหนังสือระบุให้เป็นผู้มีสิทธิ ได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพในจำนวนที่เท่ากัน
 
 
 
 
 
 

 
• ให้จ่ายเงินบำเหน็จชราภาพให้แก่บุคคลซึ่งผู้ประกันตนทำหนังสือระบุให้เป็นผู้มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพนั้นแต่ถ้าผู้ประกันตนมิได้ทำหนังสือระบุไว้ ให้นำมาเฉลี่ยจ่ายให้แก่สามีภริยา บิดามารดา หรือบุตรของผู้ประกันตนในจำนวนที่เท่ากัน
 
 
• ให้จ่ายเงินบำเหน็จชราภาพให้แก่บุคคลซึ่งผู้ประกันตน ทำหนังสือระบุให้เป็นผู้มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพนั้น แต่ถ้าผู้ประกันตนมิได้ทำหนังสือระบุไว้ ให้นำมาเฉลี่ยจ่ายให้แก่สามีภริยา บิดามารดา หรือบุตรของผู้ประกันตนในจำนวนที่เท่ากัน
บทเฉพาะกาล
1. ทางเลือกที่ 1 2 และ 3
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
2. ทางเลือกที่ 3
 

 
 
 
 
 

 
 
 
 
 
 
 

 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
• ผู้ประกันตนที่ป่วยด้วยโรคโควิด 19 ตั้งแต่วันที่ 26มีนาคม 2563 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2565 มีสิทธิได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้
ตามกฎหมายใหม่
• ผู้ประกันตนที่ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยอยู่ก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับไปจนถึงวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนเป็นเงินทดแทนการขาดรายได้
ตามกฎหมายใหม่
 
• ผู้ประกันตนที่ได้รับประโยชน์ทดแทน ในกรณีทุพพลภาพเป็นเงินทดแทนการขาดรายได้ตามกฎหมายเดิม ซึ่งสิ้นสุดการได้รับสิทธิไปแล้วหรือยังคงได้รับสิทธิอยู่ในปัจจุบัน มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีทุพพลภาพเป็นเงินทดแทนการขาดรายได้ตามกฎหมายใหม่
 
• ผู้ประกันตนที่ได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตรตามกฎหมายเดิมอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตรเพิ่มขึ้น ตามกฎหมายใหม่

 
                     2. รง. ได้เสนอรายละเอียดข้อมูลที่หน่วยงานของรัฐต้องเสนอพร้อมกับการขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 มาด้วยแล้ว
         
3. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. ….
                     คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. …. (ตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2568) ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอ
                     สาระสำคัญของเรื่อง
                     รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 121 บัญญัติให้ในปีหนึ่ง มีสมัยประชุมสามัญของรัฐสภาสองสมัยๆ หนึ่งให้มีกำหนดเวลาหนึ่งร้อยยี่สิบวัน โดยให้ถือวันที่มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรก เป็นวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง ส่วนวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สองให้เป็นไปตามที่สภาผู้แทนราษฎรกำหนด และเนื่องจากได้มีพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2566 กำหนดให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรก โดยให้ถือเป็นวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง ตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2566 และต่อมาสภาผู้แทนราษฎรได้กำหนดให้วันที่ 12 ธันวาคม เป็นวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบแล้ว ดังนั้น ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร จึงมีวันเปิดและวันปิดสมัยประชุม ดังนี้

ปีที่ สมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง สมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง
1 3 กรกฎาคม 2566 – 30 ตุลาคม 2566 12 ธันวาคม 2566 – 9 เมษายน 2567
2 3 กรกฎาคม 2567 – 30 ตุลาคม 2567 12 ธันวาคม 2567 – 10 เมษายน 2568
3 3 กรกฎาคม 2568 – 30 ตุลาคม 2568 12 ธันวาคม 2568 – 10 เมษายน 2569
4 3 กรกฎาคม 2569 – 30 ตุลาคม 2569 12 ธันวาคม 2569 – 10 เมษายน 2570

                     โดยที่ได้มีการตราพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง พ.ศ. 2568 ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2568 ดังนั้น จึงสมควรให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่งสำหรับปี พ.ศ. 2568 ตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2568
 
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การส่งหรือนำซากดึกดำบรรพ์ที่พบในราชอาณาจักรออกนอกราชอาณาจักร พ.ศ. ….
                     คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่ากำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การส่งหรือนำซากดึกดำบรรพ์ที่พบในราชอาณาจักรออกนอกราชอาณาจักร พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้ รวมทั้งให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
                     สาระสำคัญของเรื่อง
                     1. ปัจจุบันหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการขอรับใบอนุญาต การอนุญาตและการออกใบแทนใบอนุญาตให้ส่งหรือนำซากดึกดำบรรพ์ หรือซากดึกดำบรรพ์ที่ได้ถูกแปรสภาพหรือเปลี่ยนแปลงเป็นรูปลักษณะอื่น ซึ่งเป็นซากดึกดำบรรพ์ที่พบในราชอาณาจักร ออกนอกราชอาณาจักรเป็นไปตามกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการส่งหรือนำซากดึกดำบรรพ์หรือซากดึกดำบรรพ์ที่ได้ถูกแปรสภาพหรือเปลี่ยนแปลงเป็นรูปลักษณะอื่นซึ่งเป็นซากดึกดำบรรพ์ที่พบในราชอาณาจักรออกราชอาณาจักร พ.ศ. 2555 ซึ่งได้ใช้บังคับมาเป็นระยะเวลานาน ทำให้หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการดำเนินการดังกล่าวไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน จึงทำให้ต้องมีการปรับปรุงแก้ไขให้มีความทันสมัยยิ่งขึ้นและสอดคล้องกับพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 และพระราชบัญญัติการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2565 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การส่งหรือนำซากดึกดำบรรพ์ที่พบในราชอาณาจักรออกนอกราชอาณาจักร พ.ศ. …. เพื่อแก้ไขปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข การส่งหรือนำซากดึกบรรพ์ที่พบในราชอาณาจักร ออกจากนอกราชอาณาจักรเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพสังคมและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน
                     2. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไข การส่งหรือนำซากดึกดำบรรพ์ที่พบในราชอาณาจักรออกราชอาณาจักร พ.ศ. …. มีสาระสำคัญ ดังนี้

ประเด็น รายละเอียด
1. บทนิยาม
  • กำหนดนิยามเพิ่มเติม ได้แก่
  • ซากดึกดำบรรพ์” หมายความรวมถึง ซากดึกดำบรรพ์ที่ได้ถูกแปรสภาพหรือเปลี่ยนแปลงเป็นรูปลักษณะอื่น
  • อธิบดี” หมายความว่า อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี
2. ประเภทซากดึกดำบรรพ์ที่จะได้รับอนุญาตให้ส่งหรือนำออกนอกราชอาณาจักร
  • ซากดึกดำบรรพ์ที่พบในราชอาณาจักร ที่จะได้รับอนุญาตให้ส่งหรือนำออกนอกราชอาณาจักร มีดังต่อไปนี้

(1) ซากดึกดำบรรพ์ที่ขึ้นทะเบียนตามมาตรา 26
(2) ซากดึกดำบรรพ์ตามบัญชีแนบท้ายกฎกระทรวงนี้ (เช่น ซากดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์ทุกชนิด ซากดึกดำบรรพ์ปลาทุกชนิด)
(3) ซากดึกดำบรรพ์ที่จะส่งหรือนำออกไปเพื่อการศึกษาวิจัย (เพิ่มเติม)
(4) ซากดึกดำบรรพ์ที่ไม่ต้องขึ้นทะเบียนตามมาตรา 26

3. ชนิดซากดึกดำบรรพ์ที่มีระยะเวลานำกลับมาในราชอาณาจักรและการขอขยายระยะเวลานำซากดึกดำบรรพ์กลับเข้ามาในราชอาณาจักร กรณีมีเหตุจำเป็นหรือเหตุสุดวิสัย
  • การอนุญาตให้ส่งหรือนำซากดึกบรรพ์ที่ขึ้นทะเบียนตามมาตรา 26 หรือตามบัญชีแนบท้ายกฎกระทรวงนี้ หรือที่จะส่งหรือนำออกไปเพื่อการศึกษาวิจัย ออกนอกราชอาณาจักรต้องส่งหรือนำซากดึกดำบรรพ์กลับเข้ามาในราชอาณาจักรภายในระยะเวลาที่กำหนดในใบอนุญาตซึ่งต้องไม่เกิน 2 ปี นับแต่วันออกใบอนุญาต
  • ในกรณีมีเหตุจำเป็นที่ไม่สามารถส่งหรือนำซากดึกดำบรรพ์กลับเข้ามาในราชอาณาจักรในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในใบอนุญาต ให้ผู้ได้รับอนุญาตแจ้งขอขยายระยะเวลานำกลับเข้ามาในราชอาณาจักรผ่านระบบการบริการเชื่อมโยงข้อมูลภาครัฐและภาคธุรกิจ (National Single Window : NSW) หรือช่องทางอิเล็กทรอนิกส์สำหรับยื่นขออนุญาตหรือติดต่อกรมทรัพยากรธรณีตามที่อธิบดีประกาศกำหนด หรือยื่นเป็นหนังสือต่ออธิบดีก่อนสิ้นสุดระยะเวลาที่กำหนดไว้ในใบอนุญาตไม่น้อยกว่า 15 วัน โดยให้ขยายระยะเวลาได้ไม่เกิน 1 ปี
  • ในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัยทำให้ผู้รับใบอนุญาตไม่สามารถยื่นหนังสือขอขยายระยะเวลาต่ออธิบดีได้ทันก่อนสิ้นสุดระยะเวลาที่กำหนดไว้ในใบอนุญาตไม่น้อยกว่า 15 วัน ให้ผู้ได้รับอนุญาตแจ้งขอขยายระยะเวลานำกลับเข้ามาในราชอาณาจักรผ่านระบบการบริการเชื่อมโยงข้อมูลภาครัฐและภาคธุรกิจ (National Single Window : NSW) หรือช่องทางอิเล็กทรอนิกส์สำหรับยื่นขออนุญาตหรือติดต่อกับกรมทรัพยากรธรณีตามที่อธิบดีประกาศกำหนด หรือยื่นเป็นหนังสือต่ออธิบดีภายใน 15 วัน นับแต่วันที่เหตุสุดวิสัยนั้นสิ้นสุดลง
4. การยื่นคำขอรับใบอนุญาตนำซากดึกดำบรรพ์ออกนอกราชอาณาจักร
  • ผู้ใดประสงค์หรือนำซากดึกดำบรรพ์ที่ขึ้นทะเบียนหรือไม่ต้องขึ้นทะเบียนตามาตรา 26 หรือตามบัญชีแนบท้ายกฎกระทรวงนี้ หรือที่จะส่งหรือนำออกไปเพื่อการศึกษาวิจัย ออกนอกราชอาณาจักรให้ยื่นคำขอผ่านระบบการบริการเชื่อมโยงข้อมูลภาครัฐและภาคธุรกิจ หรือช่องทางอิเล็กทรอนิกส์สำหรับยื่นขออนุญาตติดต่อกับกรมทรัพยากรธรณีตามที่อธิบดีประกาศกำหนด หรือยื่นคำขอรับใบอนุญาตเป็นหนังสือต่ออธิบดี พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐานตามที่ระบุไว้ในแบบคำขอรับใบอนุญาต
5. การแจ้งหรือให้ตรวจสอบซากดึกดำบรรพ์
  • การยื่นคำขอรับใบอนุญาต ให้ผู้ขอรับใบอนุญาตนำซากดึกบรรพ์ที่จะส่งหรือนำออกนอกราชอาณาจักรมาแสดง ณ สถานที่ที่อธิบดีประกาศกำหนด
  • ในกรณีที่ไม่สามารถนำซากดึกดำบรรพ์มาแสดงได้ ให้ผู้ขอรับใบอนุญาตระบุเหตุผลความจำเป็นเพื่อขอทำให้การตรวจพิสูจน์ ณ สถานที่เก็บซากดึกดำบรรพ์ใบแบบคำขอรับใบอนุญาตและให้ผู้ขอรับใบอนุญาตรับผิดชอบค่าใช้จ่ายตามหลักเกณฑ์ที่อธิบดีประกาศกำหนดและอำนวยความสะดวกในการตรวจพิสูจน์
6. กรอบเวลาในการพิจารณาการออกใบอนุญาตและการตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของคำขอรับใบอนุญาต
  • ให้อธิบดีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายมีหนังสือแจ้งผลการพิจารณาให้ผู้ขอรับใบอนุญาตทราบภายใน 45 วัน นับแต่วันที่อธิบดีได้รับคำขอรับใบอนุญาตและเอกสารและหลักฐานที่ถูกต้องและครบถ้วน (เดิม 60 วัน)
  • ในกรณีเอกสารและหลักฐานที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วน ให้อธิบดีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายแจ้งให้ผู้ขอรับใบอนุญาตแก้ไขเพิ่มเติมคำขอรับใบอนุญาตหรือจัดส่งเอกสารหลักฐานให้ถูกต้องและครบถ้วนภายในระยะเวลาตามที่อธิบดีกำหนด และหากผู้ขอรับใบอนุญาตไม่แก้ไขเพิ่มเติมคำขอรับใบอนุญาต หรือไม่จัดส่งเอกสารหรือหลักฐานไม่ถูกต้องและครบถ้วนตามระยะเวลาดังกล่าว ให้ถือว่าผู้ขอรับใบอนุญาตไม่ประสงค์จะดำเนินการต่อไปและให้อธิบดีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจำหน่ายเรื่องออกจากสารบบ
7.การกำหนดรูปแบบบัตรแสดงเลขใบอนุญาต
  • ซากดึกดำบรรพ์ที่ได้รับอนุญาตให้ส่งหรือออกนอกราชอาณาจักรเพื่อการศึกษาวิจัย การเผยแพร่ การประกอบหรือการซ่อมแซม จะต้องมีบัตรหมายเลขใบอนุญาตพร้อมประทับตรากรมทรัพยากรธรณีแสดงไว้กับซากดึกดำบรรพ์นั้นทุกชิ้น หรือต้องแสดงตามวิธีที่อธิบดีประกาศกำหนด
8.การแจ้งการส่งหรือนำซากดึกดำบรรพ์กลับเข้ามาในราชอาณาจักร
  • ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้ส่งหรือนำออกนอกราชอาณาจักรซึ่งซากดึกดำบรรพ์ที่จะส่งหรือนำออกไปเพื่อการศึกษาวิจัย หรือซากดึกดำบรรพ์ต้องขึ้นทะเบียนหรือไม่ต้องขึ้นทะเบียนตามมาตรา 26 หรือตามบัญชีแนบท้ายกฎกระทรวงนี้เพื่อการศึกษาวิจัย การเผยแพร่ การประกอบ หรือการซ่อมแซม ต้องแจ้ง การส่งหรือนำเข้าซากดึกดำบรรพ์ที่ได้รับอนุญาตกลับเข้ามาในราชอาณาจักรผ่านระบบการบริการเชื่อมโยงข้อมูลภาครัฐและภาคธุรกิจ (National Single Window : NSW) หรือช่องทางอิเล็กทรอนิกส์สำหรับยื่นขออนุญาตหรือติดต่อกับกรมทรัพยากรธรณีตามที่อธิบดีประกาศกำหนดหรือยื่นเป็นหนังสือต่ออธิบดีภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้ส่งหรือนำกลับเข้ามาในราชอาณาจักร พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐาน
9.ช่องทางการยื่นคำขอรับใบอนุญาตและคำขอรับใบแทนใบอนุญาต
  • การยื่นคำขอรับใบอนุญาตและคำขอรับใบแทนอนุญาต สามารถยื่นผ่านระบบการบริการเชื่อมโยงข้อมูลภาครัฐและภาคธุรกิจ (National Single Window : NSW) หรือช่องทางอิเล็กทรอนิกส์สำหรับยื่นขออนุญาตหรือติดต่อกับกรมทรัพยากรธรณีตามที่อธิบดีประกาศกำหนด หรือยื่นคำขอรับใบอนุญาตหรือคำขอรับใบแทนใบอนุญาตต่ออธิบดีหรือพิพิธภัณฑ์ซากดึกดำบรรพ์ ธรณีวิทยาและธรรมชาติวิทยาในสังกัดกรมทรัพยากรธรณีหรือสำนักงานทรัพยากรธรณีเขต หรือสถานที่ที่อธิบดีประกาศกำหนด
10. บทเฉพาะกาล
  • บรรดาใบอนุญาต การอนุญาต ใบแทนใบอนุญาตที่ออกตามกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการส่งหรือนำซากดึกดำบรรพ์หรือซากดึกดำบรรพ์ที่ได้ถูกแปรสภาพหรือเปลี่ยนแปลงเป็นรูปลักษณะอื่นซึ่งเป็นซากดึกดำบรรพ์ที่พบในราชอาณาจักรออกนอกราชอาณาจักร พ.ศ. 2555 ให้ใช้ได้อยู่ต่อไปจนกว่าจะสิ้นอายุหรือถูกเพิกถอน รวมถึงบรรดาคำขอต่าง ๆ ที่ได้ยื่นไว้หรือที่ได้ดำเนินการก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ และยังคงอยู่ระหว่างพิจารณา ให้ถือว่าเป็นคำขอตามกฎกระทรวงนี้

 
                               3. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแล้วไม่ขัดข้องหรือเห็นชอบกับร่างกฎกระทรวงดังกล่าว โดยมีความเห็นเพิ่มเติมบางประการ ได้แก่ สำนักงาน ก.พ.ร. เห็นว่ากรณีการกำหนดระยะเวลาที่ผู้ยื่นคำขอจะต้องดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมคำขอหรือจัดส่งเอกสารหรือหลักฐานที่ตรวจสอบพบว่าคำขอไม่ถูกต้องครบถ้วน ควรกำหนดให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 รวมถึงควรเร่งดำเนินการจัดทำคู่มือสำหรับประชาชนและเผยแพร่ตามช่องทางที่กำหนด รวมถึงในเว็บไซต์ศูนย์รวมข้อมูลเพื่อติดต่อราชการ (www.info.go.th) ต่อไป
 
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราในการจ่ายค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. ….
                     คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราในการจ่ายค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้ รวมทั้งให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานศาลยุติธรรมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
                     สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
                     1. เนื่องจากพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มีสาระสำคัญเป็นการให้ความช่วยเหลือบุคคล 2 กลุ่ม ได้แก่ (1) ผู้เสียหายในคดีอาญา จะต้องเป็นบุคคลซึ่งได้รับความเสียหายถึงแก่ชีวิต ร่างกายหรือจิตใจ เนื่องจากการกระทำความผิดอาญาของผู้อื่น โดยตนมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดนั้นหรือตกเป็นเหยื่ออาชญากรรม (2) จำเลยในคดีอาญา จะต้องเป็นบุคคลซึ่งถูกพนักงาน อัยการฟ้องต่อศาลว่าได้กระทำความผิดอาญาและถูกจำคุกในระหว่างพิจารณาคดี ต่อมาได้มีการถอนฟ้องหรือศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้องว่าจำเลยไม่มีความผิด และกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการ และอัตราในการจ่ายค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2546 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ได้กำหนดให้การจ่ายค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญาให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราที่กำหนัด เช่น กรณีผู้เสียหายบาดเจ็บจะได้รับค่าฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกายและจิตใจเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 20,000 บาท หรือกรณีจำเลยไม่ถึงแก่ความตายจะได้รับค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการรักษาพยาบาลให้จ่ายเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 40,000 บาท ฯลฯ
                        2.  โดยที่จากกรณีเหตุการณ์กราดยิงที่จังหวัดหนองบัวลำภู เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2565 มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก และมีเสียงสะท้อนจากประชาชนว่าอัตราในการช่วยเหลือเยียวยาค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับการสูญเสียทั้งกรณีเสียชีวิตและกรณีได้รับบาดเจ็บไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพและสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน ประกอบกับ ปัญหาความล่าช้าของขั้นตอนตามกระบวนการที่ยังมีความยุ่งยากซับซ้อนและเป็นภาระแก่ประชาชนในการที่จะต้องแสดงตนเพื่อขอรับค่าตอบแทนอีกครั้งหลังจากได้รับการอนุมัติแล้ว เนื่องจากในการยื่นคำขอการให้ความช่วยเหลือจะต้องมาติดต่อขอรับบริการ 2 ครั้ง (ครั้งที่ 1ยื่นคำขอ ครั้งที่ 2 ยื่นขอรับเงิน) ทำให้ประชาชนไม่ได้รับความสะดวก มีภาระค่าใช้จ่าย และได้รับเงินล่าช้า
                     3. ยธ. จึงได้ยกร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราในการจ่ายค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. …. ขึ้น มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราในการจ่ายค่าตอบแทน ผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญาของกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและอัตราในการจ่ายค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2546 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน อัตราการช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญามีความเหมาะสม ตอบสนองความต้องการของประชาชนและลดขั้นตอนที่เกินความจำเป็น ไม่เป็นภาระของประชาชน และเกิดความสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น มีสาระสำคัญ สรุปได้ ดังนี้
 

ประเด็น สาระสำคัญ
1. หลักการพิจารณาจ่ายค่าตอบแทนแก่ผู้เสียหาย • ในการพิจารณาจ่ายค่าตอบแทนผู้เสียหายในคดีอาญา ให้คณะกรรมการ พิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญาคำนึงถึงพฤติการณ์และความร้ายแรงของการกระทำความผิดและสภาพความเสียหายที่ผู้เสียหายได้รับ รวมถึงโอกาสที่ผู้เสียหายจะได้รับการบรรเทาความเสียหายโดยทางอื่นด้วย (คงเดิม)
2. การจ่ายค่าตอบแทนในกรณีผู้เสียหายถึงแก่ความตาย (จ่ายแก่ทายาทของผู้เสียหาย) ให้ได้รับค่าตอบแทนไม่เกิน 300,000 บาท (เดิม 30,000 –
100,000 บาท)
• คณะกรรมการฯ พิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย โดยคำนึงถึง
– ค่าจัดการศพ (เดิม 20,000 บาท)
– ค่าขาดอุปการะเลี้ยงดู (เดิม 40,000 บาท)
– ค่าเสียหายอื่น (เดิม 40,000 บาท)
มาประกอบการพิจารณา
3. การจ่ายค่าตอบแทนในกรณีผู้เสียหายไม่เสียชีวิต กำหนดค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 80,000 บาท
 (เดิม กำหนดไม่เกิน 40,000 บาท)
กำหนดค่าฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกายและจิตใจเท่าที่จ่ายจริง ไม่เกิน
50
,000 บาท (เดิม กำหนดไม่เกิน 20,000 บาท)
กำหนดค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้ในระหว่างที่ไม่สามารถประกอบการงานได้ตามปกติ ให้จ่ายในอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในท้องที่จังหวัด
ที่ประกอบการงาน ณ วันที่ไม่สามารถประกอบการงานได้เป็นระยะเวลา
ไม่เกิน 1 ปีนับแต่วันที่ไม่สามารถประกอบการงานได้ตามปกติ (คงเดิม)
กำหนดค่าตอบแทนความเสียหายอื่น ให้จ่ายเป็นเงินตามจำนวน
ที่คณะกรรมการเห็นสมควร
โดยคำนึงถึงความเสียหายทางกายหรือจิตใจ หรือความเสียหายอื่นที่ยังหลงเหลืออยู่ตามคำวินิจฉัยของแพทย์ไม่เกิน100,000 บาท (เดิม ไม่เกิน 50,000 บาท)
กำหนดค่าตอบแทนการสูญเสียอวัยวะหรือการสูญเสียสมรรถภาพของอวัยวะหรือความพิการทุพพลภาพ ไม่เกิน 300,000 บาท
(กำหนดขึ้นใหม่) เช่น
– ทุพพลภาพ 300,000 บาท
– แขนขาดข้างหนึ่ง/เท้าขาดสองข้าง 245,000 บาท
– ขาขาดข้างหนึ่ง 225,000 บาท
– มือขาดข้างหนึ่ง 185,000 บาท เป็นต้น
4. หลักเกณฑ์พิจารณาจ่ายค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลย • ในการพิจารณาจ่ายค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญาให้คณะกรรมการคำนึงถึงพฤติการณ์ของคดี ความเดือดร้อนที่ได้รับและโอกาสที่จำเลยจะได้รับการชดเชยความเสียหายจากทางอื่นด้วย (คงเดิม)
5. การจ่ายค่าทดแทนในกรณีจำเลยถึงแก่ความตาย (จ่ายแก่ทายาทของจำเลย) กรณีที่จำเลยในคดีอาญาถึงแก่ความตาย อันเป็นผลโดยตรงจากการถูกดำเนินคดี ให้ได้รับค่าทดแทนไม่เกิน 300,000 บาท
(เดิม 100,000 บาท)
• ให้คณะกรรมการพิจารณาค่าทดแทนแก่จำเลยในคดีอาญาโดยคำนึงถึง
– ค่าจัดการศพ (เดิม 20,000 บาท)
– ค่าขาดอุปการะเลี้ยงดู (เดิม 40,000 บาท)
– ค่าเสียหายอื่น (เดิม 40,000 บาท)
มาประกอบการพิจารณา
6. การจ่ายค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายในกรณีจำเลยไม่เสียชีวิต กำหนดค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการรักษาพยาบาล ให้จ่ายเท่าที่จ่ายจริง
แต่ไม่เกิน 80,000 บาท หากความเจ็บป่วย ของจำเลยเป็นผลโดยตรง
จากการถูกดำเนินคดี (เดิม กำหนดไม่เกิน 40,000 บาท)
• ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกายและจิตใจ ให้จ่ายเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน
50,000 บาท หากความเจ็บป่วยของจำเลยเป็นผลโดยตรงจากการถูกดำเนินคดี (คงเดิม)
• ค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้ในระหว่างถูกดำเนินคดี ให้จ่ายในอัตราค่าจ้าง ขั้นต่ำในท้องที่จังหวัดที่ประกอบการงาน ณ วันที่ไม่สามารถประกอบการงานได้นับแต่วันที่ไม่สามารถประกอบการงานได้ตามปกติ
(คงเดิม)
• ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการดำเนินคดี ได้แก่ ค่าทนายความให้จ่ายเท่าที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินอัตราที่กำหนด และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในการดำเนินคดี ให้จ่ายเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาท (คงเดิม)
7. การขอรับเงิน •  เมื่อมีการอนุมัติเงินช่วยเหลือเยียวยาผู้อำนวยการสำนักงานช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา (เขต กทม.) หรือผู้อำนวยการสำนักงานยุติธรรมจังหวัด ยุติธรรมจังหวัด (เขตต่างจังหวัด) จะเป็นผู้ลงนามใบสั่งจ่าย เพื่อใช้เป็นหลักฐานขอรับเงิน (เดิม ประชาชนต้องมาติดต่อ 2 ครั้งครั้งแรก ยื่นคำขอ ครั้งที่ 2 ขอรับเงิน)

                     4. ยธ. ได้ดำเนินการตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 แล้ว การดำเนินการดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดการสูญเสียรายได้ของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐ ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือเยียวยา คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา รวมทั้งผู้ได้รับผลกระทบให้ได้รับการช่วยเหลือจากรัฐที่เหมาะสมสอดคล้องกับเศรษฐกิจปัจจุบันตามหลักมนุษยธรรม และเพื่อพัฒนาระบบการบริหารจัดการที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง และให้บริการอย่างสะดวก รวดเร็ว ทั่วถึง และเป็นธรรม ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐโดยตรงที่จะให้การช่วยเหลือผู้บริสุทธิ์ที่ถูกกระทำการละเมิดหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมจากระบบกระบวนการยุติธรรมตามหลักสิทธิมนุษยชน
         
6. เรื่อง ร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
                     คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่คณะกรรมการข้าราชการพลเรือนเสนอและให้ดำเนินการต่อไปได้ รวมทั้งให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
                     สาระสำคัญของเรื่อง
                     ร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ที่ ก.พ. เสนอ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง พ.ศ. 2567 โดยกำหนดเพิ่มเติมให้สายงานฟิสิกส์การแพทย์ (นักฟิสิกส์การแพทย์)1 เป็นสายงานที่มีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับชำนาญการ ในอัตรา 3,500 บาทต่อเดือน และในระดับชำนาญการพิเศษ2 ในอัตรา 5,600 บาทต่อเดือน เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานกำหนดตำแหน่งประเภทวิชาการเพิ่มใหม่ในสายงานฟิสิกส์การแพทย์ ตำแหน่งนักฟิสิกส์การแพทย์ (สายงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลุ่มงานวิทยาศาสตร์สุขภาพและการแพทย์) โดยการกำหนดให้นักฟิสิกส์การแพทย์ได้รับเงินประจำตำแหน่งดังกล่าวจะเป็นการรักษาและดึงดูดบุคลากรที่มีความรู้ทางด้านฟิสิกส์การแพทย์ไว้ในระบบ เพื่อปฏิบัติงานที่ต้องใช้ความรู้ทางฟิสิกส์การแพทย์ร่วมกับแพทย์ เช่น การคำนวณปริมาณรังสี วัดความแรงรังสี การใช้เครื่องรังสีที่มีความซับซ้อนทางเทคโนโลยีระดับสูงและยังทำให้บุคลากรได้สั่งสมความรู้ความเชี่ยวชาญตรงตามสาขาที่ศึกษา ซึ่งจะทำให้ประชาชนได้รับการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนได้รับบริการที่มีคุณภาพและมีความปลอดภัย ตามมาตรฐานที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด ทั้งนี้ ก.พ. และ อ.ก.พ. วิสามัญเกี่ยวกับกฎหมายและระเบียบได้เห็นชอบกับร่างกฎ ก.พ. ดังกล่าวด้วยแล้ว
 
_____________________________________
1นักฟิสิกส์การแพทย์มีหน้าที่วางแผนการรักษาและการคำนวณปริมาณรังสีตามที่แพทย์กำหนดในการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง ด้วยเครื่องฉายรังสีในโรงพยาบาลและสถานบริการทางการแพทย์ รวมถึงทำหน้าที่ในการบริหารจัดการเกี่ยวกับความปลอดภัยจากการใช้รังสี ต้องมีความรู้ความสามารถในการใช้เครื่องมือที่มีความซับซ้อนทางเทคโนโลยีระดับสูง ทั้งนี้ ลักษณะงานของ นักฟิสิกส์การแพทย์และนักรังสีการแพทย์แตกต่างกันอย่างชัดเจน กล่าวคือ นักรังสีการแพทย์จะเป็นผู้ประเมินว่าผู้ป่วยเหมาะกับการรักษาโดยใช้เครื่องฉายรังสีแบบใด ส่วนนักฟิสิกส์การแพทย์จะเป็นผู้ใช้เครื่องฉายรังสีที่ต้องมีการคำนวณด้วยคอมพิวเตอร์ที่มีความสลับซับซ้อนนั้นในการรักษาผู้ป่วย
2สำหรับตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับเชี่ยวชาญและระดับทรงคุณวุฒิมีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งทุกสายงานอยู่แล้วแต่ระดับชำนาญการและระดับชำนาญการพิเศษตามกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง พ.ศ.  2567 จะได้รับเงินประจำตำแหน่งตามสายงานที่กำหนดไว้ในบัญชีกำหนดสายงานที่มีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งท้ายกฎ ก.พ. ดังกล่าวเท่านั้น จึงจำเป็นต้องเพิ่มสายงานฟิสิกส์การแพทย์ให้มีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งในระดับชำนาญการและชำนาญการพิเศษ อย่างไรก็ดีสำหรับข้าราชการที่ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับชำนาญการพิเศษ ซึ่งไม่มีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือน (เช่น นิติกร) มีสิทธิได้รับเงินค่าตอบแทน (นอกเหนือจากเงินเดือน) ในอัตราเดือนละ 3,500 บาท ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนนอกเหนือจากเงินเดือนของข้าราชการและลูกจ้างประจำของส่วนราชการ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2553
 

 
7. เรื่อง ขอความเห็นชอบการเสียภาษีสลากบำรุงสภากาชาดไทย
                     คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สภากาชาดไทยเสนอ ให้สภากาชาดไทย หรือเหล่ากาชาดจังหวัด หรือกิ่งกาชาดอำเภอ ซึ่งเป็นตัวแทนของสภากาชาดไทย ผู้รับใบอนุญาตจัดให้มีการเล่นการพนันสลากกินแบ่งหรือสลากบำรุงสภากาชาดไทย ประจำปี 2568 และสลากบำรุงสภากาชาดไทยในงานกาชาดและงานออกร้านคณะภริยาทูต ประจำปี 2568 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหารายได้มอบให้สภากาชาดไทย เสียภาษีในอัตราร้อยละ 0.5 แห่งยอดราคาสลากซึ่งมีผู้รับซื้อก่อนหักรายจ่ายตามข้อ 12 (4) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 17 (พ.ศ. 2503) ออกตามความในพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2478 และที่แก้ไขเพิ่มเติมได้
                     สาระสำคัญของเรื่อง
                     1. ที่ผ่านมาสภากาชาดไทยร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจและสถาบันการศึกษา จัดทำสลากบำรุงสภากาชาดไทยในทุก ๆ ปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหารายได้โดยเสด็จพระราชกุศลบำรุงสภากาชาดไทย
                     2. การเล่นการพนันสลากกินแบ่งหรือสลากบำรุงกาชาดไทย1 ตามบัญชี ข. หมายเลข 16 ท้ายพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2487 ซึ่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 17 (พ.ศ. 2503) ออกตามความในพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2478 ข้อ 12 (4) แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 43 (พ.ศ. 2543) [กฎกระทรวง ฉบับที่ 17 (พ.ศ. 2503)ฯ] กำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตการเล่นสลากกินแบ่งที่มีวัตถุประสงค์เพื่อนำรายได้ไปใช้ในกิจการสาธารณกุศล โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี เสียภาษีในอัตราร้อยละ 0.5 แห่งยอดราคาสลาก ซึ่งมีผู้รับซื้อก่อนหักรายจ่าย (หากไม่ใช่การออกสลากกินแบ่งที่มีวัตถุประสงค์เพื่อนำรายได้ไปใช้ในกิจการสาธารณกุศล ผู้รับใบอนุญาตการเล่นสลากกินแบ่งดังกล่าวต้องเสียภาษีร้อยละ 5 หรือร้อยละ 10 แล้วแต่กรณี2) และในครั้งนี้ สภากาชาดไทยจึงเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบให้สภากาชาดไทย ผู้รับใบอนุญาตจัดให้มีการเล่นการพนันสลากกินแบ่งหรือสลากบำรุงสภากาชาดไทย ประจำปี  2568 เสียภาษีในอัตราร้อยละ 0.5 แห่งยอดราคาสลากเช่นเดียวกับ
ทุก ๆ ปีที่ผ่านมา

 
___________________________________________
1หมายถึงสลากกินแบ่งในบัญชี ข. ท้ายพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2478 หมายเลข 16 คือ สลากกินแบ่ง สลากกินรวบหรือการเล่นอย่างใดที่เสี่ยงโชคให้เงินหรือประโยชน์อย่างอื่นแก่ผู้เล่นคนใดคนหนึ่ง
2กฎกระทรวง ฉบับที่ 17 (พ.ศ. 2503)ฯ ข้อ 12 (3) กำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตการเล่นสลากกินแบ่ง สลากกินรวบ หรือการเล่นอย่างใด ที่เสี่ยงโชคให้เงินหรือประโยชน์อย่างอื่นแก่ผู้เล่นคนใดคนหนึ่ง ต้องเสียภาษีร้อยละ 10 แห่งยอดราคาสลากซึ่งมีผู้รับซื้อก่อนหักรายจ่าย สำหรับจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี (กรุงเทพมหานคร) และร้อยละ 5 แห่งยอดราคาสลากซึ่งมีผู้รับซื้อก่อนหักรายจ่าย สำหรับจังหวัดอื่น
                    
 
8. เรื่อง แนวทางปฏิบัติเพื่อลดขั้นตอน และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4000  (One Map)
                     คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (สคทช.) เสนอ ดังนี้
                     1. เห็นชอบแนวทางปฏิบัติเพื่อลดขั้นตอน และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานปรับปรุงแผนที่   แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการมาตราส่วน 1 : 4000 (แนวทางปฏิบัติฯ) เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแนวทางปฏิบัติต่อไป
                     2. ขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2555 (เรื่อง การเสนอ       ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวเขตที่ดินให้เป็นพื้นที่ดำเนินการตามกฎหมาย) ที่กำหนดให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องต้องประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติเสียก่อนว่าแนวเขตในการดำเนินการตามร่างกฎหมายดังกล่าวว่าเป็นแนวเขตที่สามารถเข้าดำเนินการได้และไม่ทับซ้อนกับแนวเขตที่ได้มีการกำหนดไว้เป็นพื้นที่ดำเนินการตามกฎหมายอื่น และขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2565 (เรื่อง แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับกรณีการตราร่างกฎหมายหรือร่างอนุบัญญัติที่ต้องจัดให้มีแผนที่ท้าย) ที่กำหนดให้หน่วยงานของรัฐผู้เสนอร่างกฎหมายหรือร่างอนุบัญญัติตรวจสอบความถูกต้องของท้องที่การปกครอง แนวเขตการปกครองที่จำเป็นต้องระบุในเนื้อหาของร่างกฎหมายหรือร่างอนุบัญญัติและแผนที่ท้ายอันเป็นข้อเท็จจริงและรายละเอียดเชิงพื้นที่ให้เป็นปัจจุบัน รวมทั้งต้องมีผลตรวจสอบและรับรองความถูกต้องของท้องที่การปกครองและแนวเขตการปกครองจากกรมการปกครอง เสนอคณะรัฐมนตรีมาพร้อมกับร่างกฎหมายหรือร่างอนุบัญญัตินั้นด้วย ทั้งนี้ เฉพาะกรณีการดำเนินการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4000 (แผนที่ One Map)
                     3. ขอให้มอบหมายกรมธนารักษ์ กรมที่ดิน กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมพัฒนาที่ดิน สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมการปกครอง กรมแผนที่ทหาร  สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ สคทช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปฏิบัติให้เป็นไปตามแนวทางปฏิบัติเพื่อลดขั้นตอน และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานปรับปรุงแผนที่ One Map ดังกล่าว
                     สาระสำคัญของเรื่อง
                     สคทช. รายงานว่า
                     1. การดำเนินการปรับปรุงแผนที่ One Map มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประเทศไทยมีแนวเขตที่ดินของรัฐที่ถูกต้อง ทันสมัย ไม่ทับช้อนกัน อยู่บนพื้นฐานมาตราส่วน 1 : 4000 ให้ทุกส่วนราชการใช้และยึดถือในแนวทางเดียวกัน เพื่อให้การบริหารจัดการทรัพยากรที่ดินของประเทศอย่างมีเอกภาพและประสิทธิภาพ ภายใต้กรอบแนวคิด “หนึ่งพื้นที่ หนึ่งหน่วยงานรับผิดชอบ” (One Land, One Law) โดยแบ่งพื้นที่ดำเนินการออกเป็น 7 กลุ่ม ๆ ละ 11 จังหวัด ซึ่งที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว 4 กลุ่ม โดยกำหนดให้หน่วยงานที่มีที่ดินของรัฐ ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับผลการดำเนินการ One Map ให้แล้วเสร็จ ภายใน 360 วัน อาจขอขยายระยะเวลาการดำเนินการต่อคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ได้ตามเหตุผลความจำเป็นแต่ไม่เกิน 180 วัน อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติหน่วยงานยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ  เช่น พื้นที่กลุ่มที่ 1 จำนวน 11 จังหวัด ครบกำหนดเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2566 ยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ  เนื่องจากแต่ละหน่วยงานมีข้อจำกัดด้านบุคลากร งบประมาณ และมีขั้นตอน กระบวนการตามกฎหมาย และระเบียบที่จะต้องปฏิบัติจำนวนมาก
                     นอกจากนี้ ยังพบว่าในการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับผลการดำเนินการ One Map นั้น หน่วยงานต่าง ๆ ยังต้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีอีก 2 ฉบับ ได้แก่ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2555   ซึ่งได้กำหนดให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติว่า  สามารถ  ดำเนินการได้และไม่ทับซ้อนกับแนวเขตที่ดินของรัฐตามกฎหมายอื่น  และมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2565 ซึ่งได้กำหนดให้ตรวจสอบความถูกต้องของแนวเขตการปกครองและรับรองความถูกต้องจากกรมการปกครอง อันทำให้เกิดความซ้ำซ้อนและความล่าช้าในการที่จะดำเนินการให้แล้วเสร็จทันตามกรอบระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
                     2. คทช. ในคราวประชุมครั้งที่ 3/2566 เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2566  ได้รับทราบประเด็นปัญหาดังกล่าว และพิจารณาแล้วเห็นควรจะต้องมีการลดขั้นตอนและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานปรับปรุงแผนที่     One Map รวมถึงการขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีทั้ง 2 ฉบับ (มติคณะรัฐมนตรี 28 ก.พ. 2555 และ 22 มี.ค. 2565)  เนื่องจากแนวทางปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2555 เป็นหลักการเดียวกันกับการดำเนินงานปรับปรุงแผนที่ One Map  ซึ่งคณะอนุกรรมการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4000  (One Map) และแก้ไขปัญหาแนวเขตที่ดินของรัฐ (คณะอนุกรรมการ One Map) มีหน้าที่และอำนาจในการพิจารณาปรับปรุงแนวเขตที่ดินของรัฐให้สอดคล้องได้ข้อยุติ ไม่ทับซ้อนกันประกอบกับตามคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ One Map หรือคณะทำงานมีผู้แทนหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นองค์ประกอบอยู่แล้ว รวมถึงมีผู้แทนกรมการปกครองซึ่งมีหน้าที่ในการพิจารณาแนวเขตการปกครอง ด้วยเหตุนี้ คทช. จึงได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้ สคทช. กำหนดแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการปรับปรุงแผนที่ One Map และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาและเมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นชอบผลการดำเนินการ One Map แล้ว ให้นำไปจัดทำแผนที่แนบท้ายกฎหมายโดยไม่ต้องแจ้งเวียนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2555 และเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2565 และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับปรุงลดขั้นตอนในการจัดทำแผนที่แนบท้ายกฎหมายด้วย
                     3. สคทช. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำนวน 13 หน่วยงาน ได้จัดทำแนวทางปฏิบัติเพื่อลดขั้นตอน และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานปรับปรุงแผนที่ One Map  โดยแนวทางฯ มีสาระสำคัญแบ่งออกเป็น  3 ส่วน ดังนี้
                               3.1 ส่วนที่หนึ่ง การกำหนดแนวทางการดำเนินงานปรับปรุงแผนที่ One Map ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ ซึ่งมีขั้นตอนที่สำคัญ ประกอบด้วย
                                         (1) การจัดเตรียมข้อมูล
                                         (2) การจัดทำแผนปฏิบัติการกลุ่มพื้นที่และจังหวัดกรอบระยะเวลา งบประมาณ บุคลากรรับผิดชอบ
                                         (3) การจัดเตรียมข้อมูลเส้นแนวเขตที่ดินของรัฐเส้นแนวเขตการปกครอง เอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้อง
                                         (4) การตรวจสอบและรับรองความถูกต้องของหน่วยงาน
                                         (5) การนำข้อมูลเข้าระบบเพื่อบันทึกเป็นฐานข้อมูล
                                         (6) การดำเนินการปรับปรุงแผนที่ One Map ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด
                                         (7) การนำเรื่องเสนอคณะอนุกรรมการ One Map และคณะทำงานที่เกี่ยวข้อง 
                                         (8) การรับรองผลการดำเนินการ
                                         (9) การนำเรื่องเสนอ คทช. และคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา
                               3.2 ส่วนที่สอง การกำหนดแนวทางปฏิบัติการดำเนินงานปรับปรุงแผนที่ One Map หลังจากที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ซึ่งมีขั้นตอนที่สำคัญ ประกอบด้วย
                                         (1) การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องของแต่ละหน่วยงานตามผลการดำเนินงานปรับปรุงแผนที่ One Map ที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้วภายในระยะเวลาที่กำหนด
                                         (2) การเร่งดำเนินการชี้แจงสร้างการรับรู้ความเข้าใจแก่ทุกภาคส่วน
                                         (3) แนวทางการแก้ไขปัญหากรณีมีผู้ได้รับผลกระทบหรือการแก้ไขปัญหาอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้น เช่น พบความคลาดเคลื่อน ความไม่สมบูรณ์ของข้อมูลให้นำเรื่องเสนอคณะอนุกรรมการ One Map หรือคณะอนุกรรมการอื่นภายใต้ คทช. เพื่อพิจารณาและนำเสนอ คทช. เพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป
                               3.3 ส่วนที่สาม การเสนอขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี จำนวน 2 ฉบับ คือ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2555 และ 22 มีนาคม 2565  เฉพาะกรณีการดำเนินงานปรับปรุงแผนที่ One Map เพื่อเป็นการลดขั้นตอน ลดความซ้ำซ้อนของการดำเนินงาน เนื่องจากแนวทางปฏิบัติที่กำหนดขึ้นใหม่นี้ สามารถทดแทนการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวได้
                     4. คทช. พิจารณาในคราวประชุมครั้งที่ 2/2567 เมื่อวันที่  7 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบแนวทางปฏิบัติเพื่อลดขั้นตอน และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน One Map รวมทั้งเห็นชอบให้ขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2555 และเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2565 เฉพาะกรณีการดำเนินการ One Map โดยมอบหมายให้ สคทช. นำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
 
9. เรื่อง แผนการนำงานบริการของหน่วยงานของรัฐมาให้บริการบนแพลตฟอร์มดิจิทัลกลาง
                     คณะรัฐมนตรีมีติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 6  (ด้านดิจิทัล สาธารณสุข ทรัพยากรธรรมชาติ การใช้ประโยชน์ที่ดินและการบริหารจัดการน้ำ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) เป็นประธานกรรมการ เสนอ ดังนี้
                     1. เห็นชอบในหลักการกรอบระยะเวลาและวงเงินงบประมาณของแผนการดำเนินงานในการพัฒนาและเชื่อมโยงงานบริการมาให้บริการบนแพลตฟอร์มดิจิทัลกลางในกรอบวงเงิน 705 ล้านบาท ทั้งนี้สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการดังกล่าว ให้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี   ที่ได้รับจัดสรร หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ หรือโอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. 2562 และที่แก้ไขเพิ่มเติม หรือใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณในโอกาสแรกก่อน หากไม่เพียงพอ เห็นควรให้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเป็นรายกรณี ตามขั้นตอนของระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นพ.ศ. 2562 โดยคำนึงถึงความครอบคลุมของทุกแหล่งเงิน ความประหยัด ความคุ้มค่า ผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ
                     2. เห็นชอบวิธีการและกลไกการดำเนินการในการพัฒนาและเชื่อมโยงงานบริการมาให้บริการบนแพลตฟอร์มดิจิทัลกลาง และมอบหมายให้สำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่พิจารณากลั่นกรองรายละเอียดของโครงการและพิจารณางบประมาณ รวมถึงพิจารณางานบริการที่จะพัฒนาเพิ่มเติม ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร.เสนอเพิ่มเติม (ตามข้อ 1.2 และ 1.3)
                     เรื่องเดิม
                     คณะรัฐมนตรีมีมติ (9 พฤษภาคม 2566) เห็นชอบแนวทางวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นการจัดทำวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ในระยะแรกตามมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2565 และให้หน่วยงานของรัฐนำงานบริการมาให้บริการบนแพลตฟอร์มดิจิทัลกลาง (Biz Portal หรือ Citizen Portal) โดย (1) ให้หน่วยงานที่ยังไม่มีช่องทางการให้บริการในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์นำงานบริการมาพัฒนาบนแพลตฟอร์มดิจิทัลกลางดังกล่าวเป็นทางเลือกแรก (2) ให้หน่วยงาน ที่มีงานบริการที่พัฒนาเป็นรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์แล้วนำงานบริการมาเชื่อมโยงกับแพลตฟอร์ม ดิจิทัลกลาง โดยมอบหมายให้ ก.พ.ร. เป็นผู้พิจารณากรอบเวลาดำเนินการสำหรับ 2 กรณีดังกล่าวและติดตามเป็นระยะ เพื่อให้งานบริการของรัฐอยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์โดยเร็ว
                     ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี
                     คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 6 (ด้านดิจิทัล สาธารณสุข ทรัพยากรธรรมชาติ การใช้ประโยชน์ที่ดินและการบริหารจัดการน้ำ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) เป็นประธานกรรมการ พิจารณาเรื่องดังกล่าวในคราวประชุม ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2568 มีรายละเอียด ดังนี้
                     สำนักงาน ก.พ.ร. ได้เสนอข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี มีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
                     1. นับตั้งแต่สำนักงาน ก.พ.ร. ได้เสนอแผนการนำงานบริการของหน่วยงานของรัฐมาให้บริการบนแพลตฟอร์มดิจิทัลกลางมายังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีระยะเวลาได้ล่วงเลยมามากแล้ว ส่งผลให้ข้อมูลของแผนฯ ทั้งจำนวนงานบริการและงบประมาณ ที่จะใช้มีการเปลี่ยนแปลงไป ประกอบกับได้พิจารณาเห็นว่าควรเร่งพัฒนาและเชื่อมโยงงานบริการของหน่วยงานมาให้บริการบนแพลตฟอร์มดิจิทัลกลางให้แล้วเสร็จเร็วขึ้นเป็นภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 อันจะส่งผลให้ประชาชนได้รับประโยชน์เร็วขึ้น สำนักงาน ก.พ.ร. จึงได้ประสานขอให้หน่วยงานทบทวนงบประมาณสำหรับพัฒนาและเชื่อมโยงงานบริการ และแผนการดำเนินการในแต่ละปีงบประมาณ เพื่อให้เป็นข้อมูลประกอบการชี้แจงรายละเอียดแผนฯ ต่อคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี โดยมีแผนการดำเนินงานในการพัฒนาและเชื่อมโยงงานบริการมาให้บริการบนแพลตฟอร์มดิจิทัลกลางสรุปได้ ดังนี้
 

หัวข้อ รายละเอียด
1.1 กรอบระยะเวลาและวงเงินงบประมาณ จำนวนงานบริการที่จะพัฒนาและเชื่อมโยงรวมทั้งสิ้น 2,633 งานบริการ (เพิ่มเติมจากเดิม 2,101 บริการ)

ปีงบประมาณ
พ.ศ.
ประเภทงานบริการ จำนวนงานบริการ ประมาณการกรอบวงเงินที่จะขอรับงบกลาง
(ล้านบาท)
2568 1. งานบริการที่อยู่ระหว่างดำเนินการพัฒนาและเชื่อมโยงของหน่วยงาน
2. งานบริการที่เสนอของบประมาณ (งบกลาง)
340
 
 
189

 
 
29.77
2569
 
 
3. งานบริการที่อยู่ระหว่างการเสนอขอรับงบประมาณ พ.ศ. 2569 (ผ่านแผนบูรณาการรัฐบาลดิจิทัล งบปกติ หรือแหล่งอื่น)
4. งานบริการที่หน่วยงานดำเนินการเองโดยไม่ใช้งบประมาณ
5. งานบริการที่เสนอของบประมาณ (งบกลาง)
256
 
 
 
 
1,058
 
 
790

 
 
 
 

 
 
674.45
รวม 2,633 704.22

โดยมีประมาณการกรอบวงเงินที่จะเสนอของบประมาณ (งบกลาง) เป็นเงิน
705.00 ล้านบาท
ซึ่งเป็นประมาณการงบประมาณที่ได้จากการหารือร่วมกับหน่วยงาน โดยมีจำนวนงานบริการ ทั้งสิ้น 979 งานบริการ และงบประมาณ
704.22 ล้านบาท
(งานบริการที่เหลืออีก 1,654 งานบริการ เป็นงานบริการที่หน่วยงานดำเนินการได้เองโดยไม่ใช้งบประมาณหรืออยู่ระหว่างการเสนอขอรับงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569) เพื่อให้หน่วยงานใช้ในการดำเนินการพัฒนาและเชื่อมโยงงานบริการเอง หรือมอบหมายให้องค์การมหาชนดำเนินการ (ในกรณีหน่วยงานไม่พร้อมดำเนินการ)

1.2 วิธีการดำเนินการ – กรณีที่หน่วยงานมีความพร้อมที่จะดำเนินการเองในการเชื่อมโยงงานบริการ หน่วยงานสามารถนำงบประมาณที่ได้รับจัดสรรไปว่าจ้างผู้พัฒนาระบบของเอกชนในการพัฒนาและเชื่อมโยงงานบริการได้เอง
– กรณีที่หน่วยงานยังไม่พร้อมที่จะดำเนินการในการเชื่อมโยงงานบริการเอง คณะรัฐมนตรีอาจมอบหมายให้สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) เป็นผู้ดำเนินการแทนหน่วยงาน หรืออาจมอบหมายให้สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ประสานกับธุรกิจ อุตสาหกรรมดิจิทัลที่เกิดขึ้นใหม่ (Digital Startup) เพื่อให้ดำเนินการพัฒนาและเชื่อมโยงงานบริการให้กับหน่วยงาน
1.3 กลไกการดำเนินการ – ให้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่พิจารณากลั่นกรองรายละเอียดของโครงการและพิจารณางบประมาณภายใต้กรอบวงเงินงบกลางที่ได้รับการอนุมัติ สำหรับใช้ในการพัฒนาและเชื่อมโยงงานบริการมาให้บริการบนแพลตฟอร์มดิจิทัลกลาง รวมถึง พิจารณางานบริการที่จะพัฒนาเพิ่มเติม โดยมีผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงาน ก.พ.ร. ดศ. สงป. สพร. สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เป็นองค์ประกอบของคณะกรรมการ
– ให้หน่วยงานรายงานผลการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณไปยังสำนักงาน ก.พ.ร. เป็นรายไตรมาส เพื่อรวบรวมผลการดำเนินงานสำหรับใช้ในการติดตามและรายงานต่อคณะรัฐมนตรีทราบความคืบหน้าเป็นระยะต่อไป

                     2. สำนักงาน ก.พ.ร. จึงเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 6 เพื่อโปรดพิจารณา ดังนี้
                               2.1 เห็นชอบกรอบระยะเวลาและวงเงินงบประมาณของแผนการดำเนินงานในการพัฒนาและเชื่อมโยงงานบริการมาให้บริการบนแพลตฟอร์มดิจิทัลกลาง พร้อมอนุมัติกรอบวงเงินงบกลางจำนวน 705 ล้านบาท ตามข้อ 1.1 โดยให้สำนักงาน ก.พ.ร. ตรวจสอบจำนวนงานบริการพร้อมทั้งรายชื่องานบริการและงบประมาณที่จะใช้ในการพัฒนาเชื่อมโยง กับหน่วยงานอีกครั้ง ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา
                               2.2 เห็นชอบวิธีการดำเนินการในการพัฒนาและเชื่อมโยงงานบริการมาให้บริการบนแพลตฟอร์มดิจิทัลกลางตามข้อ 1.2
                               2.3 เห็นชอบกลไกการดำเนินการและมอบหมาย ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการตามข้อ 1.3
 
10. เรื่อง ขออนุมัติการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับดำเนินโครงการเร่งรัดการดำเนินงานตามหลักเกณฑ์การแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลให้แก่บุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568
                     คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กรมการปกครองดำเนินโครงการเร่งรัดการดำเนินงานตามหลักเกณฑ์การแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลให้แก่บุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 29 ตุลาคม 2567 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 วงเงินทั้งสิ้น 123,538,530 บาท รายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นต่อไป ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ
                     สาระสำคัญของเรื่อง
                     1.กระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง) มีภารกิจในการแก้ไขปัญหาสัญชาติบุคคลให้แก่บุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานานและกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรตามนโยบายรัฐบาลและหลักเกณฑ์ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2559 เพื่อให้กลุ่มบุคคลเป้าหมายภายใต้หลักเกณฑ์ดังกล่าวได้รับการพัฒนาสถานะต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย (ใบสำคัญถิ่นที่อยู่ถาวร) หรือสัญชาติไทย ซึ่งถือเป็นสถานะสำคัญอันก่อให้เกิดสิทธิตามกฎหมาย ได้แก่ สิทธิการอยู่อาศัย สิทธิเข้ารับการศึกษา สิทธิการเข้าถึงบริการสาธารณสุข รวมถึงหลักประกันสุขภาพ ตลอดจนสิทธิในการประกอบอาชีพ โดยที่ผ่านมารัฐบาลไทยและกรมการปกครองได้รับความชื่นชมจากองค์การระหว่างประเทศ เช่น สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (The United Nations High Commissioner for Refugees: UNHCR) และองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (International Organization for Migration: IOM) อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันยังมีกลุ่มบุคคลเป้าหมายที่ได้รับการสำรวจและจัดทำทะเบียนประวัติคงค้าง ซึ่งรอการพัฒนาสถานะจำนวน 483,626 คน ประกอบด้วยกลุ่มบุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน จำนวน 340,101คน และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักร จำนวน 143,525 คน
                     2. ผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลตามหลักเกณฑ์เดิมตั้งแต่ปี  พ.ศ. 2535 – ปัจจุบัน สามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาได้จำนวนประมาณ 380,000 คน เฉลี่ยแก้ไขปัญหาได้ประมาณ 11,000 คนต่อปี หากใช้หลักเกณฑ์เดิมในการพิจารณากับกลุ่มเป้าหมายคงเหลือในปัจจุบันจะต้องใช้เวลาในการดำเนินการมากกว่า 40 ปี สำหรับการพัฒนาสถานะให้แก่กลุ่มบุคคลดังกล่าว
                     3. คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 เห็นชอบหลักเกณฑ์เพื่อการแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลให้แก่บุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักร ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ เพื่อใช้ทดแทนหลักเกณฑ์เดิมตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2559 โดยมีกรอบระยะเวลาการดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันที่หลักเกณฑ์มีผลบังคับใช้ซึ่งหลักเกณฑ์ใหม่มีการลดขั้นตอนและระยะเวลาในการกำหนดสถานะของกลุ่มบุคคลเป้าหมาย เพื่อเร่งรัดการแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้รวดเร็ว มีประสิทธิภาพมากขึ้น สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
                               1) การดำเนินการขอมีสถานะคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายแก่ชนกลุ่มน้อย (ใบสำคัญถิ่นที่อยู่ถาวร) ลดระยะเวลาการพิจารณาจากเดิม 270 วัน ลดลงเหลือ 5 วัน
                               2) การดำเนินการขอมีสัญชาติไทยของบุตรบุคคลต่างด้าวที่เกิดในราชอาณาจักร แต่ไม่ได้สัญชาติไทย ลดระยะเวลาการพิจารณาจากเดิม 180 วัน ลดลงเหลือ 5 วัน
                               3) กำหนดกรอบระยะเวลาการดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันที่หลักเกณฑ์มีผลบังคับใช้และให้ประเมินผลการดำเนินการและแจ้งต่อสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติทราบเพื่อเสนอผลการดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป
                     ดังนั้น เพื่อให้การเร่งรัดการแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลตามหลักเกณฑ์ใหม่เป็นไปด้วยความมีประสิทธิภาพภายในกรอบระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นขอบมือวันที่ 29 ตุลาคม 2567 กระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง) จึงเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นตามที่สำนักงบประมาณ ได้นำเรียนนายกรัฐมนตรีเห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทย(กรมการปกครอง) ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงิน 123,538,530 บาท  เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการเร่งรัดการดำเนินงานตามหลักเกณฑ์การแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลให้แก่บุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานานและกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของจังหวัดและอำเภอในการเร่งรัดการดำเนินการแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีฯ และนโยบายของรัฐบาลเพื่อคุ้มครองสิทธิของประชาชนที่พึ่งได้รับตามกฎหมาย โดยเบิกจ่ายในงบดำเนินงาน ประกอบด้วย 2 กิจกรรม ดังนี้
                               (1) ค่าใช้จ่ายเร่งรัดการดำเนินการขอมีสัญชาติไทยของบุตรบุคคลต่างด้าวที่เกิดในราชอาณาจักรจำนวน 73,849,050 บาท
                               (2) ค่าใช้จ่ายเร่งรัดการดำเนินการขอมีสถานะคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายแก่ชนกลุ่มน้อย จำนวน 49,689,480 บาท  โดยสามารถถัวจ่ายงบประมาณภายใต้แผนงาน/ผลผลิต/กิจกรรมหลักเดียวกันได้ทุกรายการเพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณคุ้มค่าเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทางราชการ และการแก้ไขปัญหาดังกล่าวเป็นไปอย่างรวดเร็วตามกรอบระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เร่งรัดการดำเนินงานด้านสัญชาติและสถานะบุคคลตามหลักเกณฑ์ (2) เพื่อให้คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่ได้รับการพัฒนาสถานะมีบัตรประจำตัวไปติดต่อขอรับบริการจากภาครัฐและภาคเอกชน (3) เพื่อให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในระดับอำเภอและจังหวัดมีความเข้าใจขั้นตอนการปฏิบัติงานตามระเบียบกฎหมาย และ          (4) สนับสนุนงบประมาณแก่จังหวัด/อำเภอ และศูนย์บริหารการทะเบียนภาค สาขาจังหวัด และกลุ่มเป้าหมายการดำเนินการได้แก่ชนกลุ่มน้อย/กลุ่มชาติพันธุ์ที่อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานาน และบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรซึ่งรัฐบาลมีนโยบายให้สำรวจและจัดทำทะเบียนประวัติ จำนวนทั้งสิ้น 483,626 คน (กลุ่มบุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน จำนวน 340,101 คน และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักร จำนวน 143,525 คน) โดยมีระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่เดือนพฤษภาคม – 30 กันยายน 2568
 
 
11. เรื่อง ผลการพิจารณารายงานผลการพิจารณาศึกษา เรื่อง ญัตติเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนอันเกิดจากลิง ของคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร
                     คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานผลการพิจารณาศึกษา เรื่อง ญัตติเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนอันเกิดจากลิง ของคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
                     สาระสำคัญของเรื่อง
                     กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พิจารณาศึกษารายงานผลการพิจารณาศึกษา เรื่อง ญัตติเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนอันเกิดจากลิง ของคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสภาผู้แทนราษฎรแล้ว โดยสรุปผลการพิจารณาว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการในเรื่องการเร่งดำเนินการ จัดการประชากรลิง จัดหาสถานที่เพื่อดูแลลิง เพื่อให้การแก้ปัญหามีประสิทธิภาพอย่างยั่งยืนโดยมีการบริหารจัดการอาหารเหลือจากตลาดเพื่อนำมาให้ลิง ลดปัญหาลิงรบกวนประชาชนและจัดสถานที่เพื่อสร้างสถานที่ดูแลลิงรบกวนประชาชนในพื้นที่ รวมถึงได้แจ้งเวียนประกาศคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เรื่อง การกำหนดกิจการอื่นใด ที่เป็นผลประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นที่เป็นหน้าที่และอำนาจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น : ด้านการแก้ไขปัญหาสัตว์ป่าที่ก่อให้เกิดผลกระทบหรือสร้างความเดือดร้อนต่อประชาชน ลงวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2567 และประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง แต่งตั้ง พนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2567 เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการแก้ไขปัญหาสัตว์ป่าที่ก่อให้เกิดผลกระทบหรือสร้างความเดือดร้อน
 
 
12. เรื่อง มาตรการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการบรรจุบุคคลผู้ซึ่งเคยออกจากราชการเพราะกระทำผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการกลับเข้ารับราชการ
                     คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 (เรื่อง มาตรการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการบรรจุบุคคล ผู้ซึ่งเคยออกจากราชการเพราะกระทำผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการกลับเข้ารับราชการ) ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทราบต่อไป
                     2. ให้สำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 (เรื่อง มาตรการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการบรรจุบุคคลผู้ซึ่งเคยออกจากราชการเพราะกระทำผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการกลับเข้ารับราชการ) โดยให้สำนักงาน ก.พ. สรุปผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการ/ความเห็นในภาพรวมแล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีภายในเดือนกรกฎาคม 2568
                     สาระสำคัญของเรื่อง
                     เรื่องนี้เป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (22 เมษายน 2568) ที่มีมติรับทราบมาตรการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการบรรจุบุคคลผู้ซึ่งเคยออกจากราชการเพราะกระทำผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการกลับเข้ารับราชการ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) เสนอ และมอบหมายให้สำนักงาน ก.พ. เป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติโดยให้สำนักงาน ก.พ. สรุปผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการ/ความเห็นในภาพรวม แล้วส่งให้ สลค. ภายใน 30 วัน (ครบกำหนดวันที่ 23 พฤษภาคม 2568) นับจากวันที่ได้รับแจ้งจาก สลค. เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ซึ่งสำนักงาน ก.พ. ได้รายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวว่า สำนักงาน ก.พ. ได้ดำเนินการศึกษากฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว รวมทั้งกฎหมายเกี่ยวกับองค์กรกลางบริหารงานบุคคลประเภทต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม สำนักงาน ก.พ. จำเป็นต้องจัดประชุม สัมมนาร่วมกับองค์กรกลางบริหารงานบุคคลประเภทต่าง ๆ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันพิจารณาข้อเสนอและมาตรการป้องกันการทุจริตดังกล่าว โดยมีกำหนดที่จะจัดขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคม 2568 และเมื่อได้ข้อมูลครบถ้วนแล้ว สำนักงาน ก.พ. จะวิเคราะห์ผลการดำเนินการเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
 
 
13. เรื่อง (ร่าง) ข้อเสนอแก้ไขปัญหาการส่งออกทุเรียนไทยไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน
                     คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบ (ร่าง) ข้อเสนอแก้ไขปัญหาการส่งออกทุเรียนไทยไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน และมอบหมายให้ กษ. เป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และให้รับความเห็นของ ทส. สงป. สศช. สสว. และคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ รวมทั้งข้อสังเกตของ สคก. ไปประกอบการพิจารณาเพื่อดำเนินการตามความจำเป็นเหมาะสมต่อไปด้วย
                     สาระสำคัญของเรื่อง
                     สภาเกษตรกรแห่งชาติ (สภช.) ขอเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ (ร่าง) ข้อเสนอแก้ไขปัญหาการส่งออกทุเรียนไทยไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาพบว่า มีการตรวจพบการปนเปื้อนสารแคดเมียม (Cd) และสาร Basic Yellow 2 (BY2) เกินค่ามาตรฐานในทุเรียน ที่ส่งออกจากประเทศไทยไปยังประเทศจีน ซึ่งส่งผลให้มีผลผลิตตกค้างอยู่ที่ด่านฝั่งไทยและเกิดความเสียหายคิดเป็นมูลค่าถึง 100 ล้านบาท โดยทางการจีนจึงได้กำหนดให้ทุเรียน ทุกล็อตที่ส่งออกไปยังจีนต้องแนบผลวิเคราะห์สารแคดเมียม (Cd) และสาร Basic Yellow 2 (BY2) โดยผลการตรวจสารแคดเมียม (Cd) ต้องไม่เกิน 0.05 มิลลิกรัม/กิโลกรัม และต้องไม่พบสาร Basic Yellow 2 (BY2) และทางการจีนจะมีการสุ่มตรวจที่ด่านนำเข้าทุกล็อตทั้งทางบก ทางอากาศ และทางเรือ หากพบสารดังกล่าวจะถูกระงับการนำเข้าทันที ในการนี้ สภช. จึงมีข้อเสนอเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวและสร้างความเชื่อมั่นแก่ทุเรียนไทยต่อตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะตลาดจีน ดังนี้ (1) เร่งรัดส่งเสริมและสนับสนุนการสร้างความเชื่อมั่นทุเรียนไทย (2) สนับสนุนงบประมาณในการจัดตั้งห้องปฏิบัติการตรวจวิเคราะห์สารตกค้างในผลผลิตทุเรียนที่ได้มาตรฐานให้ครอบคลุมพื้นที่ปลูกทุเรียนทั่วประเทศ (3) กำหนดวิธีการสุ่มเก็บตัวอย่างสารห้ามใช้ในทุเรียนผลสดส่งออกไปประเทศจีนให้ชัดเจน (4) สนับสนุนการจัดทำแผนที่ความเสี่ยงสารแคดเมียม (Cd) เพื่อใช้กำหนดโซนนิ่งการปลูกทุเรียน (5) ส่งเสริมและสนับสนุนระบบห่วงโซ่การผลิตทุเรียนให้สอดคล้องกับข้อกำหนดและมาตรฐานการผลิตทุเรียนของประเทศคู่ค้า (6) ส่งเสริมระบบฐานข้อมูลทุเรียนที่ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ และ (7) ส่งเสริมและสนับสนุนการจัดตั้งคณะกรรมการทุเรียนระดับประเทศและระดับจังหวัดโดยมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) กรมควบคุมมลพิษ สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เป็นต้น รับ (ร่าง) ข้อเสนอดังกล่าวไปดำเนินการ ทั้งนี้ กษ. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ (สงป.) สสว. และคณะกรรมการพัฒนาและบริหาร จัดการผลไม้ (คณะกรรมการฯ) พิจารณาแล้วไม่ขัดข้อง/เห็นชอบ/เห็นด้วยในหลักการ โดย กษ. และ พณ. ได้มีการดำเนินการแก้ไขปัญหาการส่งออกทุเรียนไทยไปยังประเทศจีนมาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) มีความเห็น/ข้อเสนอ/ข้อสังเกตเพิ่มเติม ดังนี้

ประเด็น ความเห็น/ข้อเสนอ/ข้อสังเกตเพิ่มเติม
การดำเนินการตาม (ร่าง) ข้อเสนอแก้ไขปัญหาการส่งออกทุเรียนฯ – การจัดตั้งห้องปฏิบัติการในภูมิภาคต่าง ๆ ควรพิจารณาให้เอกชนเป็นผู้ลงทุนหลักในการจัดตั้ง โดยมีภาครัฐทำหน้าที่กำกับดูแล กำหนดมาตรฐาน และให้การรับรองห้องปฏิบัติการ เพื่อให้มั่นใจว่าการวิเคราะห์สารตกค้างเป็นไปตามมาตรฐานสากลและควรประเมินศักยภาพและคุณภาพการให้บริการของห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองแล้วเป็นระยะ (สศช. และคณะกรรมการฯ) ทั้งนี้ สคก. เห็นว่าตามพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าเกษตร พ.ศ. 2551 ให้อำนาจ มกอช. พิจารณาออกใบอนุญาตแก่เอกชนให้เป็นผู้ประกอบการตรวจสอบมาตรฐานได้ จึงเห็นควรส่งเสริมให้มีการใช้ห้องปฏิบัติการของเอกชนที่ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบการตรวจสอบมาตรฐานภายใต้การดำเนินการตามพระราชบัญญัติดังกล่าว
การจัดตั้งคณะกรรมการทุเรียนระดับประเทศและระดับจังหวัดควรคำนึงถึงความจำเป็นและเหมาะสมในหลากหลายมิติ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรหารือร่วมกันในการพิจารณา เพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงแก่เกษตรกรผู้ปลูกทุเรียน ผู้ประกอบการส่งออกทุเรียนและผู้ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ (สศช.) ทั้งนี้ สคก. เห็นว่า การจัดตั้งคณะกรรมการอาจมีความซ้ำซ้อนกับคณะกรรมการที่มีอยู่แล้วตามกฎหมายปัจจุบัน โดยเฉพาะคณะกรรมการฯ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ พ.ศ. 2550
การจัดทำแผนที่ความเสี่ยงสารแดดเมียม (Cd) ควรบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐ โดยเชื่อมโยงข้อมูลภาคการเกษตรเพื่อให้ง่ายต่อการใช้งานของเกษตรกร ผู้ประกอบการ และผู้ที่เกี่ยวข้อง (สศช.)
การดำเนินการเกี่ยวกับ
สารปนเปื้อน
– ควรเร่งตรวจสอบแหล่งที่มาของสารแคดเมียม (Cd) ที่ปนเปื้อนในทุเรียนและตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างผลิตภัณฑ์สารเคมีในพื้นที่ที่ตรวจพบสารแคดเมียม (Cd) สูงเกินค่ามาตรฐานเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการวางแผนแก้ไขปัญหาด้วย (ทส.)
– คณะรัฐมนตรีอาจพิจารณามอบหมายให้ มกอช. รับไปดำเนินการจัดให้มีมาตรฐานสินค้าเกษตรสำหรับทุเรียนผลสด โดยกำหนดให้เป็นมาตรฐานบังคับในเรื่องความปลอดภัยจากการปนเปื้อนสารแคดเมียม (Cd) และสาร Basic Yellow 2 (BY2) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภค (สคก.)
งบประมาณ ค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินการ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับการจัดสรร หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ หรือโอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร แล้วแต่กรณีในโอกาสแรกก่อน (สงป.)
อื่น ๆ ควรประชาสัมพันธ์มาตรการแก้ไขปัญหาทุเรียนส่งออกไปยังประเทศจีนไปยังผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างทั่วถึงเพื่อให้เกิดความชัดเจนและความถูกต้องในการปฏิบัติ (สศช.)

 
 
14. เรื่อง แผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569
                     คณะรัฐมนตรีรับทราบแผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 (แผนปฏิบัติการฯ) และใช้พิจารณาในการจัดทำงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ตามความนัยมาตรา 17 (2) แห่งพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 25611 ตามที่คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) เสนอ
                     สาระสำคัญ
                     1.กนช. ในการประชุมครั้งที่ 2/2568 [รองนายกรัฐมนตรี (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) เป็นประธาน] เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ประชุมมีมติ ดังนี้
                               1.1 เห็นชอบการปรับปรุงแผนปฏิบัติการฯ ภายใต้แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี2 (แผนแม่บทฯ) จำนวน 55,003 รายการ วงเงิน 439,440.77 ล้านบาท
                               1.2 ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สขนช.) นำแผนปฏิบัติการฯ เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาในการจัดทำงบประมาณประจำปี ตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 มาตรา 17 (2) ต่อไป
                     2. แผนปฏิบัติการฯ เป็นการรวบรวมโครงการด้านน้ำของหน่วยงานต่าง ๆ ทั่วประเทศที่จะดำเนินการในแต่ละปีมารวมไว้ด้วยกัน เพื่อเชื่อมโยงกับเป้าหมายด้านน้ำของประเทศตามที่ระบุในแผนแม่บทฯ โดยแผนปฏิบัติการฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 มีโครงการ/กิจกรรม จำนวน 55,003 รายการ วงเงิน 439,440.77 ล้านบาท จาก 22 หน่วยงาน 8 กระทรวง 67 จังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 1,643 แห่ง กรุงเทพมหานครและเมืองพัทยา โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
                               2.1 ผลสัมฤทธิ์ คือ เพิ่มความจุกักเก็บน้ำ 1,654.05 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยจะมีพื้นที่รับประโยชน์ 9,266,886 ไร่ และมีประชาชนได้รับประโยชน์ 5,566,528 ครัวเรือน รวมถึงมีพื้นที่ได้รับการป้องกัน (เช่น การป้องกันน้ำท่วม) 3,721,926 ไร่
                               2.2 แผนปฏิบัติการฯ ถูกจำแนกเป็น 2 กลุ่ม ตามลำดับความสำคัญ ได้แก่
                                         2.2.1 กลุ่มที่ 1 คือ แผนงานโครงการที่ให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกที่ควรได้รับจัดสรรงบประมาณก่อน ประกอบด้วย โครงการเดิมที่ต้องขับเคลื่อนให้บรรลุเป้าหมาย โครงการตามนโยบายรัฐบาลและโครงการสำคัญตามมติ กนช. โครงการที่สอดคล้องกับปัญหาและความต้องการจากทั้งระดับจังหวัดและระดับลุ่มน้ำและโครงการที่สามารถขับเคลื่อนให้บรรลุเป้าหมายตามแผนแม่บทฯ ได้ โดยแผนปฏิบัติการฯ ในกลุ่มนี้มีจำนวน 9,654 รายการ วงเงิน 159,030.9 ล้านบาท มีผลสัมฤทธิ์ คือ เพิ่มความจุกักเก็บน้ำ 735.68 ล้านลูกบาศก์เมตร มีพื้นที่รับประโยชน์ 2,818,951 ไร่ ประชาชนได้รับประโยชน์ 1,890,807 ครัวเรือน และมีพื้นที่ได้รับการป้องกัน 1,981,660 ไร่
                                         2.2.2 กลุ่มที่ 2 คือ แผนงานโครงการที่มีความสำคัญในระดับรองลงมา และให้นำไปขอรับการสนับสนุนงบประมาณในแหล่งงบประมาณเพิ่มเติมตามความเหมาะสมต่อไป โดยแผนปฏิบัติการฯ ในกลุ่มนี้มีจำนวน 45,349 รายการ วงเงิน 280,409.87 ล้านบาท มีผลสัมฤทธิ์ คือ เพิ่มความจุกักเก็บน้ำ 918.37 ล้านลูกบาศก์เมตร มีพื้นที่รับประโยชน์ 6,447,935 ไร่ ประชาชนได้รับประโยชน์ 3,675,721 ครัวเรือน และมีพื้นที่ได้รับการป้องกัน 1,740,266 ไร่
                               2.3 แผนปฏิบัติการฯ มีตัวอย่างโครงการ/กิจกรรมซึ่งจำแนกตามด้านของแผนแม่บทฯ ได้ ดังนี้

ด้านตาม
แผนแม่บทฯ
รวม  
กลุ่มที่ 1
(แผนงานโรงการที่ให้
ความสำคัญเป็นลำดับแรก)
กลุ่มที่ 2
(แผนงานโรงการที่มี
ความสำคัญรองลงมา)
จำนวน
(รายการ)
วงเงิน
(ล้านบาท)
จำนวน
(รายการ)
วงเงิน
(ล้านบาท)
จำนวน
(รายการ)
วงเงิน
(ล้านบาท)
ด้านที่ 1
การจัดการน้ำอุปโภคบริโภค
10,975 47,067.38 2,529 11,652.29 8,446 35,415.09
ตัวอย่างโครงการ/กิจกรรม เช่น
(1) โครงการพัฒนา/ขุดเจาะน้ำบาดาล [กระทรวงกลาโหม (กห.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.)]
(2) โครงการก่อสร้างระบบประปา และปรับปรุงคุณภาพน้ำประปา [กระทรวงมหาดไทย (มท.)]
(3) โครงการก่อสร้างชุดบริการน้ำดื่มและอาคารบริการน้ำดื่ม (กห.)
(4) งานวางท่อขยายเขตจำหน่ายน้ำ (มท.)
ด้านที่ 2
การสร้าง
ความมั่นคงของน้ำ
ภาคการผลิต
29,280 214,810.46 3,884 61,869.56 25,396 152,940.90
ตัวอย่างโครงการ/กิจกรรม เช่น
(1) โครงการก่อสร้างสถานีสูบน้ำพร้อมระบบส่งน้ำและอาคารประกอบ และงานบำรุง/ซ่อมแซมต่าง ๆ เช่น ซ่อมแซมอ่างเก็บน้ำ ท่อส่งน้ำ อาคารต่าง ๆ เป็นต้น [กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.)]
(2) โครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำ (ทส.)
(3) งานก่อสร้างแหล่งน้ำในไร่นานอกเขตชลประทาน (กษ.)
(4) โครงการก่อสร้างฝาย (มท.)
(5) งานพัฒนาบ่อน้ำบาดาล (กห. ทส.)
ด้านที่ 3
การจัดการ
น้ำท่วมและอุทกภัย
5,366 129,970.46 2,097 74,685.21 3,269 55,285.43
ตัวอย่างโครงการ/กิจกรรม เช่น
(1) โครงการศึกษาความเหมาะสมและสำรวจออกแบบรายละเอียดระบบป้องกันน้ำท่วมและระบบระบายน้ำหลักเพื่อบรรเทาปัญหาน้ำท่วม (มท.)
(2) โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง [กระทรวงคมนาคม (คค.) มท.]
(3) งานขุดลอกดินตะกอนและแหล่งน้ำ (กห. คค. มท.)
ด้านที่ 4
การอนุรักษ์
ฟื้นฟูระบบนิเวศ
ทรัพยากรน้ำ
8,520 16,822.83 871 6,418.05 7,649 10,404.78
ตัวอย่างโครงการ/กิจกรรม เช่น
(1) โครงการก่อสร้างระบบรวบรวมน้ำเสียเพิ่มเติมริมคลองแสนแสบ (กรุงเทพมหานคร)
(2) โครงการลดผลกระทบจากภาคปศุสัตว์ร่วมแก้ปัญหาลุ่มน้ำวิกฤติอย่างยั่งยืน (กษ.)
(3) โครงการส่งเสริมการปลูกไม้ป่าในเขตบริหารเพื่อการอนุรักษ์ และโครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำ (ทส.)
(4) โครงการก่อสร้างศูนย์บริหารจัดการคุณภาพน้ำ (มท.)
ด้านที่ 5
การบริหาร
จัดการ
862 30,769.46 273 4,405.79 589 26,363.67
ตัวอย่างโครงการ/กิจกรรม เช่น
(1) ค่าใช้จ่ายในการจ้างที่ปรึกษาสำรวจ ออกแบบ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและปรับปรุงระบบผลิตประปาหมู่บ้าน (ทส.)
(2) โครงการติดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพน้ำอัตโนมัติ (มท.)
(3) โครงการศึกษาความเหมาะสมและประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากการก่อสร้าง     ต่าง ๆ เช่น อ่างเก็บน้ำ เป็นต้น (กษ.)
(4) โครงการติดตั้งสถานีโทรมาตรอัตโนมัติ เพื่อตรวจวัดข้อมูลภูมิอากาศ ปริมาณน้ำฝนและระดับน้ำ ในพื้นที่ป่าต้นน้ำ [กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)]
รวมทั้งสิ้น 55,003 439,440.77 9,654 159,030.90 45,349 280,409.87

                     ทั้งนี้ กห. กษ. คค. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และ สทนช. พิจารณาแล้วเห็นชอบ/เห็นควรรับทราบตามที่ กนช. เสนอ โดย สศช. มีความเห็นเพิ่มเติมว่า เห็นควรให้หน่วยงานรัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เสนอแผนงานโครงการที่จะขอรับการจัดสรรงบประมาณภายใต้แผนปฏิบัติการฯ จัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้มีความพร้อมในการดำเนินการทันที โดยครอบคลุม รายละเอียดแผนการก่อสร้าง ความสามารถในการใช้จ่ายและการก่อหนี้ภายในปีงบประมาณและการขออนุญาตใช้พื้นที่ประเภทต่าง ๆ เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป
 
 
___________________________________________________
1พระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 มาตรา 17 (2) บัญญัติให้ กนช. มีหน้าที่และอำนาจพิจารณาให้ความเห็นชอบแผนปฏิบัติการของหน่วยงานของรัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวกับทรัพยากรน้ำและแผนงบประมาณการบริหารทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการให้สอดคล้องกับนโยบายและแผนแม่บทและเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาในการจัดทำงบประมาณประจำปี
2แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี เป็นแผนแม่บทในการบริหารจัดการน้ำเพื่อเป็นกรอบในการพัฒนาด้านทรัพยากรน้ำของประเทศ ประกอบด้วย 5 ด้าน ได้แก่ (1) การจัดการน้ำอุปโภคบริโภค (2) การสร้างความมั่นคงของน้ำภาคการผลิต (3) การจัดการน้ำท่วมและอุทกภัย (4) การอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศทรัพยากรน้ำ และ (5) การบริหารจัดการ
                 
15.  เรื่อง ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับนโยบายด้านภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของภาคเอกชนต่อภาครัฐจากกิจกรรมเสวนา “ถอดรหัสนโยบายภาษีทรัมป์ : โอกาสสู่การค้ายุคใหม่”
                     คณะรัฐมนตรีรับทราบข้อเสนอแนะเกี่ยวกับนโยบายด้านภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของภาคเอกชนต่อภาครัฐจากกิจกรรมเสวนา “ถอดรหัสนโยบายภาษีทรัมป์ : โอกาสสู่การค้ายุคใหม่” ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ
                     สาระสำคัญของเรื่อง
                     กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ได้ร่วมกับหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ และผู้แทนภาคเอกชนจากกลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญที่คาดการณ์ว่าจะได้รับผลกระทบจากนโยบายด้านภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จัดกิจกรรมเสวนา “ถอดรหัสนโยบายภาษีทรัมป์ : โอกาสสู่การค้ายุคใหม่” เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2568 ณ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (ถ.รัชดาภิเษก) ซึ่งข้อเสนอแนะของภาคเอกชนจากการจัด กิจกรรมเสวนาดังกล่าว รัฐบาลและหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องสามารถใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาในการกำหนดทิศทาง/แนวทางรับมือกับนโยบายภาษีของสหรัฐอเมริกา
                     1. การกำหนดยุทธศาสตร์และท่าที่ในการเจรจาการค้ากับสหรัฐอเมริกา
                                         • เจรจากับสหรัฐอเมริกาอย่างมีกลยุทธ์ โดยพิจารณาจากอุตสาหกรรมจุดแข็งของไทย และหลักผลประโยชน์ร่วมกัน (Mutual Benefit)
                                         • ใช้ข้อมูลข้อเท็จจริง (Facts) เช่น สัดส่วนมูลค่าการส่งออกของไทยจากบริษัทสหรัฐอเมริกาที่มาลงทุนในประเทศไทยเป็นเครื่องมือในการต่อรอง เป็นต้น
                     2. การกำกับดูแลทางการค้าและการป้องกันผลกระทบ
                                         • ควบคุมสินค้าจากต่างประเทศที่สวมสิทธิส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาและสินค้าด้อยคุณภาพจากต่างประเทศที่อาจทะลักเข้ามาในประเทศไทยจากมาตรการภาษีดังกล่าวอย่างเคร่งครัด
                                         • มีมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการที่จะได้รับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเจรจาฯ เช่น การเปิดตลาดสินค้าเกษตรจากสหรัฐอเมริกา เป็นต้น
                                         • ติดตามการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมการรับมือ
                     3. การปฏิรูปเชิงโครงสร้างเพื่อความยั่งยืน
                                         • ปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมและสนับสนุนสินค้าตามสัดส่วน Local content ที่สร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศสูง
                                         • ปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัยและกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อลดอุปสรรคของผู้ประกอบการในการเข้าถึงการสนับสนุนจากภาครัฐ อาทิ คำจำกัดความของ “วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม” ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดในการเข้าถึงความช่วยเหลือจากภาครัฐของผู้ประกอบการบางขนาด
                     4. การขยายตลาดและกระจายความเสี่ยงด้านการค้า
                                         • ขยายการส่งออกไปยังตลาดอื่น ๆ เพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ โดยเร่งรัดการเจรจา FTA กับภูมิภาคอื่น เช่น สหภาพยุโรป ตะวันออกกลาง เป็นต้น
                                         • หาตลาดใหม่และกระชับความสัมพันธ์เพื่อต่อยอดทางการค้ากับในกลุ่มประเทศที่มี FTA กับไทยอยู่แล้ว เช่น อินเดีย กลุ่มประเทศละตินอเมริกา เป็นต้น
                     5. การพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย
                                         • ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการผลิต
                                         • ลดต้นทุนการผลิตและพัฒนาสินค้าให้ตรงกับความต้องการในแต่ละตลาดและแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลก เช่น สินค้าที่มีเทคโนโลยีสูง สินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

  
16. เรื่อง ความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยและรัฐสุลต่านบรูไนดารุสซาลามเพื่อการขจัดการเก็บภาษีซ้อนในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ และการป้องกันการหลบหลีกและการหลีกเลี่ยงรัษฎากร
                     คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ ดังนี้
                     1. เห็นชอบต่อร่างความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนไทย – บรูไนดารุสซาลาม (ร่างความตกลงฯ) (ฉบับภาษาอังกฤษ) จำนวน 1 ฉบับ และหากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารที่ไม่ใช่สาระสำคัญ หรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้ กค. ดำเนินการต่อไปได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง
                     2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในร่างความตกลงฯ และให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ที่ได้รับมอบหมายดังกล่าวด้วย
                     3. มอบหมายให้ กต. ดำเนินการแจ้งหนังสือผ่านช่องทางการทูตถึงการดำเนินการตามกระบวนการภายในที่จำเป็นเพื่อให้ความตกลงฯ มีผลใช้บังคับเสร็จสมบูรณ์ ทั้งนี้ กค. ได้จัดทำคำแปลร่างความตกลงฯ (ฉบับภาษาไทย) เพื่อวัตถุประสงค์ในการอำนวยความสะดวกสำหรับการปฏิบัติงานภายในประเทศเท่านั้น
                     สาระสำคัญของเรื่อง
                     1.ที่ผ่านมาประเทศไทยได้จัดทำอนุสัญญาหรือความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนกับประเทศต่าง ๆ ที่มีผลใช้บังคับแล้ว จำนวน 61 ฉบับ [ประเทศไทยได้จัดทำอนุสัญญาหรือความตกลงดังกล่าวกับประเทศต่าง ๆ ในอาเซียนแล้ว 9 ประเทศ เหลือประเทศบรูไนดารุสซาลามเป็นประเทศสุดท้าย (เสนอมาในครั้งนี้)] ซึ่งร่างความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนไทย – บรูไนดารุสซาลาม (ร่างความตกลงฯ) เป็นการจัดทำให้เป็นไปตามกรอบความร่วมมือเพื่อป้องกันการกัดกร่อนฐานภาษีและโอนกำไรไปยังประเทศที่มีอัตราภาษีต่ำ [Inclusive Framework on Base Erosion and Profit Shifting Project (BEPS) (กรอบความร่วมมือ BEPS) ที่กำหนดให้ ประเทศสมาชิกต้องดำเนินการตามมาตรฐานขั้นต่ำ 4 ปฏิบัติการ ได้แก่ ปฏิบัติการที่ 5 ปฏิบัติการที่ 6 ปฏิบัติการที่ 13 และปฏิบัติการที่ 14
                     2. กระทรวงการคลัง (กค.) จึงขอให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อร่างความตกลงฯ (ฉบับภาษาอังกฤษ) จำนวน 1 ฉบับ ซึ่งเป็นความตกลง เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนที่ประเทศไทยทำกับประเทศในอาเซียนเป็นประเทศสุดท้าย โดยอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนาม ในร่างความตกลงฯ และให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) แจ้งหนังสือผ่านช่องทางการทูตถึงการดำเนินการตามกระบวนการภายในที่จำเป็นเพื่อให้ความตกลงมีผลใช้บังคับเสร็จสมบูรณ์ ทั้งนี้ ร่างความตกลงฯ มีสาระสำคัญเป็นการบรรเทาหรือขจัดภาระภาษีซ้ำซ้อนในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเงินได้ระหว่างประเทศอันเป็นผลจากอำนาจในการจัดเก็บภาษีของประเทศคู่สัญญาซึ่งทำให้เกิดการจัดเก็บภาษีซ้ำซ้อนบนฐานรายได้จำนวนเดียวกัน และป้องกันการนำความตกลงดังกล่าวไปปรับใช้โดยมิชอบเพื่อการหลบหลีกและการหลีกเลี่ยงภาษี หรือการวางแผน เพื่อหลบเลี่ยงภาษีและการเคลื่อนย้ายกำไรไปต่างประเทศที่มีอัตราภาษีต่ำ (BEPS) ตลอดจนการไม่จัดเก็บภาษีในประเทศคู่สัญญาทั้งสองประเทศ (Double non – taxation) ซึ่งในการจัดทำความตกลงดังกล่าวจะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันและเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการของทั้ง 2 ประเทศ ในการขยายตลาดทางการค้าและการลงทุน ส่งเสริมให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุนและเทคโนโลยีระหว่างประเทศ รวมทั้งเป็นการสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านภาษีอากรของไทยกับประเทศสมาชิกอาเซียนตามกรอบพิมพ์เขียวอาเซียน (ASEAN Economic Community Blueprint 2025)
 
17. เรื่อง  ขอความเห็นชอบการปรับโอนพิกัดศุลกากรของกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้า ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีไทย – ชิลี (TCFTA)
                     คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่ กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ ดังนี้
                     1.  เห็นชอบบัญชีกฎถิ่นกำเนิดสินค้าเฉพาะรายสินค้า [Product Specific Rules of Origin (PSRs:)] ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีไทย – ชิลี (Thailand-Chile Free Trade Agreement (TCFTA) ฉบับพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ ปี 2022 [Harmonized System 2022 (HS 2022)] ทั้งนี้ ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องปรับปรุงถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลผลประโยชน์ของไทย ให้ พณ. สามารถดำเนินการโดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก
                     2. เห็นชอบการลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายไทย เพื่อดำเนินการแก้ไขภาคผนวก (เรื่อง กฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้า) ของความตกลง TCFTA (หนังสือแลกเปลี่ยนฯ)  ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำในหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้ พณ. ดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
                     3. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ข้างต้น
                     4. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนฯ
                     5. มอบหมายให้ พณ. และกระทรวงการคลัง (กค.) ดำเนินกระบวนการภายในเพื่อให้บัญชีกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้าภายใต้ความตกลง TCFTA ฉบับ HS 2022 เริ่มมีผลบังคับใช้ภายในครึ่งปีแรกของปี 2568
                     สาระสำคัญของเรื่อง
                     1. ไทยได้เข้าร่วมเป็นภาคีความตกลง TCFTA โดยเริ่มมีผลใช้บังคับตั้งแต่พฤศจิกายน 2558 ภายใต้ความตกลงดังกล่าวได้มีการกำหนดกฎ PSRs ตามพิกัดศุลกากรระบบ HS 2007 เป็นภาคผนวก 4.2 ของความตกลงดังกล่าว เพื่อใช้เป็นเกณฑ์การพิจารณาถิ่นกำเนิดของสินค้าแต่ละรายการ โดยที่ผ่านมาคณะอนุกรรมการฯ ได้ดำเนินการหารือทางเทคนิคเพื่อปรับโอนพิกัดศุลกากรของกฎ PSRs จาก HS 2012 เป็น HS 2022 ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมาธิการการค้าเสรีไทย -ชิลี [Free Trade Commisson (FTC)] ครั้งที่ 4 ภายใต้ TCFTA เมื่อเดือนพฤษภาคม 2566 ได้มีมติเห็นชอบการปรับโอนพิกัดศุลกากรของกฎ PSRs จากฉบับ HS 2012 เป็นฉบับ HS 2022 เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ ในหัวข้อเรื่อง การแก้ไขของความตกลง TCFTA ระบุว่าคู่ภาคีอาจตกลงกันเป็นลายลักษณ์อักษรในการปรับเปลี่ยนหรือเพิ่มเติมใด ๆ ต่อความตกลงดังกล่าว โดยให้มีผลบังคับใช้ 60 วัน หรือภายในระยะเวลาอื่นที่ภาคีได้ตกลงกัน หลังจากวันที่มีการแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งสุดท้ายว่าภาคีเสร็จสิ้นกระบวนการทางกฎหมายภายในที่จำเป็นแล้ว ประกอบกับในหัวข้อเรื่อง ภาคผนวกและหมายเหตุ กำหนดให้ภาคผนวกและหมายเหตุถือเป็นส่วนหนึ่งของความตกลง TCFTA ดังนั้น การแก้ไขภาคผนวก 4.2 (เรื่อง กฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้า) เพื่อนำกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้าฉบับ HS 2022 มาใช้แทนที่ฉบับ HS 2012 จึงต้องดำเนินการตามหัวข้อเรื่อง การแก้ไขของความตกลง TCFTA โดยไทยและชิลีเห็นพ้องที่จะแลกเปลี่ยนหนังสือ (Exchange of Note) เพื่อยืนยันข้อตกลงในการแก้ไขภาคผนวก 4.2 เป็นลายลักษณ์อักษร
                     2. ไทยโดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม FTC ครั้งที่ 5 เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2567 ซึ่งที่ประชุมได้มีมติรับรองหนังสือแลกเปลี่ยนฯ โดยในเบื้องต้นไทยและชิลีตั้งเป้าให้บัญชีกฎ PSRs ฉบับ HS 2022 มีผลใช้บังคับภายในครึ่งปีแรกของปี 2568 ทั้งนี้ สองฝ่ายได้ให้การรับรองสรุปรายงานการประชุม (Agreed Minutes) ของการประชุม FTC ครั้งที่ 5 เมื่อเดือนมีนาคม 2568
                     3. การปรับโอนพิกัดศุลกากรของกฎ PSRs ภายใต้ความตกลง TCFTA จากฉบับHS 2012 เป็นฉบับ HS 2022 ประกอบด้วยพิกัดศุลกากรทั้งหมด จำนวน 5,612 รายการ (พิกัดศุลกากรในระดับ 6 หลัก) [เพิ่มขึ้น 407 รายการ จากพิกัดศุลกากรเดิม (HS 2012) ที่มีอยู่จำนวน 5,205 รายการ แต่ประเภทสินค้ายังคงเหมือนเดิม] โดยสามารถแบ่งการปรับโอนพิกัดศุลกากรของกฎ PSRS ออกเป็น 3 กรณี ดังนี้

กรณี จำนวน (รายการ)
(1) พิกัดศุลกากรและกฎ PSR: ไม่เปลี่ยนแปลง เช่น สัตว์มีชีวิต พืชผัก/ผลไม้ อาหารกระป๋องแปรรูป กระดาษ เหล็กและผลิตภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ และเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เป็นต้น 4,992
(2) พิกัดศุลกากรไม่เปลี่ยนแปลง แต่กฎ PSR: เปลี่ยนแปลง เนื่องจากองค์การศุลกากรโลกมีการจัดประเภทสินค้าใหม่จึงมีการรวมสินค้าที่มีปริมาณการซื้อขายน้อยมาอยู่ในพิกัดศุลกากรเดิมที่มีอยู่ และต้องปรับกฎ PSRs เพื่อคงเจตนารมณ์เดิมที่เคยเจรจาไว้ ได้แก่ การนำโดโลไมต์แรมมิงมิกซ์ มารวมอยู่ในพิกัดศุลกากรเดียวกับพิกัดของซีเมนต์ที่ทนไฟ 1
(3) พิกัดศุลกากรและกฎ PSRs ใหม่ เนื่องจากองค์การศุลกากรโลกมีการจัดประเภทสินค้าใหม่ จึงมีการยกเลิกพิกัดศุลกากรเดิมและทำให้สินค้าในพิกัดศุลกากรเดิมย้ายไปอยู่ที่พิกัดศุลกากรใหม่ เช่น ไม้สัก พรมและสิ่งทอปูพื้นอื่น ๆ เสื้อโอเวอร์โค้ททำด้วยขนแกะหรือขนละเอียดของสัตว์ และเส้นใยคาร์บอน เป็นต้น 619
รวมทั้งสิ้น 5,612

                     4. พณ. แจ้งว่า
                                4.1 กค. (กรมศุลกากร) ได้ตรวจสอบร่างบัญชี PSRs ฉบับ HS 2022 เรียบร้อยแล้ว และมีประเด็นแก้ไขต่อร่างบัญชีดังกล่าว โดยเป็นการแก้ไขความเรียบร้อยของการจัดเรียงข้อมูลซึ่งไม่กระทบต่อเกณฑ์ถิ่นกำเนิดสินค้าที่ได้ตกลงร่วมกันไปเรียบร้อยแล้ว
                               4.2 พณ. (กรมการค้าต่างประเทศ) พิจารณาแล้วเห็นว่า การปรับโอน HS ของกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้าภายใต้ความตกลง TCFTA เป็นฉบับปี 2022 ไม่ส่งผลกระทบใด ๆ เนื่องจากเป็นการดำเนินการทางเทคนิคสอดคล้องกับการปรับโอน HS ขององค์การศุลกากรโลกทุก 5 ปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการในการดำเนินพิธีการศุลกากรลดความผันผวนด้านเอกสารอันเกิดจากการใช้ HS ที่ไม่เป็นปัจจุบัน ทั้งนี้ การแก้ไขกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าเรื่องขนาดของหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (CO) ของชิลีให้ตรงกับขนาดที่ใช้จริงและการยอมรับการใช้ CO ในรูปแบบ PDF เป็นต้นฉบับไม่ส่งผลกระทบใด ๆ เนื่องจากเป็นการแก้ไขให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติในปัจจุบันและอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการในการดำเนินธุรกิจให้คล่องตัวมากยิ่งขึ้น
 
18. เรื่อง ท่าทีไทยในการประชุมสหประชาชาติด้านมหาสมุทร ครั้งที่ 3 (3rd United Nations Ocean Conference: UNOC-3)
                     คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ ดังนี้         
                     1.เห็นชอบต่อร่างปฏิญญาทางการเมือง Our ocean, our future: united for urgent action (ร่างปฏิญญาฯ) โดยหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้ ทส. สามารถดำเนินการได้ โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
                     2. เห็นชอบต่อการประกาศคำมั่นโดยสมัครใจ จำนวน 2 เรื่อง ได้แก่การลดมลพิษทางทะเล และการป้องกันและบริหารจัดการระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่งอย่างยั่งยืน
                     3. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้แทนร่วมรับรองร่างปฏิญญาฯ โดยไม่มีการลงนาม
[จะมีการรับรองร่างปฏิญญาฯ และประกาศคำมั่นโดยสมัครใจในระหว่างการประชุมสหประชาชาติด้านมหาสมุทร ครั้งที่ 3 (* United Nations Ocean Conference : UNOC-3) (การประชุมๆ)ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9 – 13 มิถุนายน 25658 เมืองนีซ สาธารณรัฐฝรั่งเศส]
                     สาระสำคัญ
                     ร่างปฏิญญาทางการเมือง Our ocean, our future : united for urgent action มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองและการยกระดับการดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ 14 คือ การอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากมหาสมุทร ทะเล และทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืน แบ่งออกเป็น 3 ประเด็น ได้แก่ 1) การอนุรักษ์มหาสมุทรและระบบนิเวศทางทะเล 2) การส่งเสริมเศรษฐกิจที่พึ่งพามหาสมุทรอย่างยั่งยืน และ 3) การเร่งรัดการดำเนินการในด้านต่าง ๆ เช่น การรับรองความตกลงเกี่ยวกับการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเล ส่วนประกาศคำมั่นโดยสมัครใจ จำนวน 2 เรื่อง ได้แก่ 1) การลดมลพิษทางทะเล และ 2) การป้องกันและบริหารจัดการระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่งอย่างยั่งยืน ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการประกาศจุดยืนในการแก้ไขปัญหาการจัดการขยะพลาสติก และการตั้งเป้าหมายในการอนุรักษ์พื้นที่ทางทะเลและการฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเลที่เสื่อมโทรม ไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ภายในปี พ.ศ. 2573 โดย ทส. แจ้งว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะเข้าร่วมการรับรองปฏิญญาฯ และประกาศคำมั่นโดยสมัครใจข้างต้นในการประชุมสหประชาชาติ ด้านมหาสมุทร ครั้งที่ 3 ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9 – 13 มิถุนายน 2568 ณ เมืองนีซ สาธารณรัฐฝรั่งเศส ซึ่ง กต. (กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย) พิจารณาแล้วไม่ขัดข้อง รวมทั้งกต. (กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย) และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่า เรื่องนี้ไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แต่โดยที่เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันรัฐบาลไทย จึงเข้าลักษณะเรื่องที่เสนอคณะรัฐมนตรีได้ตามนัยมาตรา 4 (7) แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548
 
 
19. เรื่อง ขออนุมัติการจัดทำและลงนามร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย กับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ว่าด้วยกรรมสิทธิ์ การใช้การบริหาร และการบำรุงรักษา สะพานมิตรภาพไทย – ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ – บอลิคำไซ)
                     คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่ กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอดังนี้
                     1. อนุมัติการจัดทำและลงนามร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวว่าด้วยกรรมสิทธิ์ การใช้ การบริหาร และการบำรุงรักษา สะพานมิตรภาพไทย – ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ – บอลิคำไซ) (ร่างความตกลงฯ) และหากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าว ที่ไม่ใช่สาระสำคัญ หรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทยให้ คค. ดำเนินการโดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง
                     2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย และมีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมาธิการบริหาร (ฝ่ายไทย) ตามนัยข้อ 4 ของร่างความตกลงฯ
                     3. อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายสำหรับการลงนามดังกล่าว
[คค. แจ้งว่าราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) มีกำหนดจัดพิธีเทคอนกรีตเชื่อมสะพานและพิธีลงนามร่างความตกลงฯ ในวันที่ 6 มิถุนายน 2568]
                     สาระสำคัญ
                     1. ผ่านมาคณะรัฐมนตรีมีมติ (4 มิถุนายน 2562) อนุมัติในหลักการให้ คค. ดำเนินโครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย – ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ – บอลิคำไซ) วงเงินรวมทั้งสิ้น 2,630 ล้านบาทตามความเห็นสำนักงบประมาณ รวมทั้งจัดทำและลงนามร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ว่าด้วยการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย – ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ – บอลิคำไซ) โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและรัฐมนตรีกระทรวงโยธาธิการและขนส่ง สปป.ลาว ได้มีการลงนามความตกลงดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2562 ซึ่งปัจจุบันการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย – ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ – บอลิคำไซ) มีความคืบหน้าร้อยละ 98 (ณ วันที่ 30 เมษายน 2568)
                     2. ต่อมา คค. (กรมทางหลวง)ได้จัดทำร่างความตกลงฯ ซึ่งจะเป็นการสนับสนุนการเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมขนส่งระหว่างราชอาณาจักรไทยและ สปป.ลาว และส่งเสริมการค้าชายแดน การท่องเที่ยว และเศรษฐกิจระหว่างประเทศ รวมถึงกำหนดกฎเกณฑ์การบริหารและบำรุงรักษาสะพานไว้อย่างชัดเจน โดยทั้งราชอาณาจักรไทยและ สปป.ลาว ได้เห็นชอบรายละเอียดของร่างความตกลงฯ ร่วมกันแล้ว
 
 

 
20.  เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ    (กระทรวงสาธารณสุข)
                     คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง นายปิยะ  เกียรติเสวี ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรม สาขาออร์โธปิดิกส์) โรงพยาบาลเลิดสิน กรมการแพทย์ ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาออร์โธปิดิกส์) โรงพยาบาลเลิดสิน กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์  
                     ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป
 
21. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงยุติธรรม)  
                     คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเสนอ แต่งตั้ง พันตำรวจโท พงษ์ธร ธัญญสิริ  ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการยุติธรรม ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง  กระทรวงยุติธรรม เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป
 
 
22. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์)
                     คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอแต่งตั้ง นายธัญญวัฒน์  พากเพียร  เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายอัครา พรหมเผ่า) ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป
 
23. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงกลาโหม)
                     คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเสนอ แต่งตั้ง ร้อยตำรวจเอกหญิง อัยรดา บำรุงรักษ์  ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม  [ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม (พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์)]  ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป
 
24. เรื่อง การแต่งตั้งผู้แทนองค์กรเอกชนเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 มาตรา 4 (5)
                     คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เสนอแต่งตั้ง นายอนันต์ ดิสระ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 มาตรา 4 (5) แทน นางเสาวนีย์ ประทีปทอง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากได้ถึงแก่กรรม ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป และผู้ได้รับแต่งตั้งแทนนี้อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้รับแต่งตั้งไว้แล้ว
 
25.  เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิแทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่พ้นจากตำแหน่งก่อนครบกำหนดวาระ และแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพิ่มเติมในคณะกรรมการเฉพาะด้าน การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ข้อมูล
                     คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) ประธานกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการเฉพาะด้านการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ข้อมูลแทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่พ้นจากตำแหน่งก่อนครบกำหนดวาระ จำนวน 1 คน และแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพิ่มเติม จำนวน 1 คน รวม 2 คน ดังนี้
                     1. นางศรีดา ตันทะอธิพานิช กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านสังคมศาสตร์
                     2. นางปิยนุช วุฒิสอน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูล หรือด้านบริหารข้อมูล
                     ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป และผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิแทนตำแหน่งที่ว่างหรือเพิ่มเติมนั้นดำรงตำแหน่งได้เท่ากับวาระที่เหลืออยู่
 
26. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
                     คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเสนอ แต่งตั้ง นายทรงพันธ์ เจิมประยงค์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระเนื่องจากขอลาออก ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป และผู้ได้รับแต่งตั้งแทนตำแหน่งที่ว่างนั้นอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว
 
27. เรื่อง การแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ
                     คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ) ประธานกรรมการสรรหากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ จำนวน 10 คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปี ดังนี้
                     1. นายปกรณ์ นิลประพันธ์                                       (ด้านนิติศาสตร์)
                     2. นายเสรี นนทสูติ                                                (ด้านนิติศาสตร์)
                     3. นายศุภวุฒิ สายเชื้อ                                            (ด้านเศรษฐศาสตร์)
                     4. นายฉัตรชัย พรหมเลิศ                                         (ด้านรัฐศาสตร์)
                     5. ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ                  (ด้านบริหารรัฐกิจ)
                     6. นายภูมินทร์ หะรินสุต                                          (ด้านบริหารธุรกิจ)
                     7. นายกิตติ ตั้งจิตรมณีศักดา                                     (ด้านบริหารธุรกิจ)
                     8. นายกุลิศ สมบัติศิริ                                            (ด้านการเงินการคลัง)
                     9. นายปิยวัฒน์ ศิวรักษ์                                          (ด้านจิตวิทยาองค์การ)
                     10. นายแบ๊งค์ งามอรุณโชติ                                    (ด้านสังคมวิทยา)
                     ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป
 
28. เรื่อง แต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์
                     คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวจิราพร สินธุไพร) เสนอแต่งตั้ง นายไชยยง รัตนอังกูร เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ แทน นางอรรชกา สีบุญเรือง ประธานกรรมการเดิมที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากขอลาออก ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป และผู้ได้รับแต่งตั้งแทนนี้อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของผู้ซึ่งตนแทน
 
29. เรื่อง ขอความเห็นชอบในการแต่งตั้งผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
                     คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคม เสนอแต่งตั้ง นายกาจผจญ อุดมธรรมภักดี เป็นผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ตามมติคณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ในการประชุม (นัดพิเศษ) เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2568 และครั้งที่ 6/2568 เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
 

*****************************

———————————-
News Source : https://www.google.com/url?rct=j&sa=t&url=https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/97128&ct=ga&cd=CAIyHDI4ODcxZTExZDQzMWVlYzA6Y29tOnRoOlRIOlI&usg=AOvVaw06jpgVIcxHkcVCH3VE5_i_

Related Post

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *